วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

หมู่มากนิยม

หมู่มากนิยม

คนเราทุกคนต่างก็มีความทุกข์ หากเรานำเอาความทุกข์ยากปัญหาของผู้คนทั้งโลกมากองรวมกันจะก้อนขนาดไหน คงจะใหญ่โตกว่าโลกนี้หลายเท่าตัว เพราะในแต่ละวัน แต่ละคน ล้วนแล้วแต่พบเจอปัญหาอุปสรรคความทุกข์ยากด้วยกันทั้งนั้น เป็นความทุกข์ที่เกิดจากใจ จิตที่ไม่นิ่ง ใจที่ไม่สงบ เกิดจากความอยากได้อยากมี ทุกข์ที่เกิดจากการเปรียบเทียบ หลายคนก็ทุกข์เพราะคิดมาก คิดไปเอง คาดการณ์เกินเลยจนกลายเป็นความกลัว พอกลัวแล้วก็ทุกข์ ทุกข์แล้วก็เกิดปัญหาตามมา เครียด เบื่อหน่าย ซึมเศร้า บางคนอมทุกข์ทั้งวันทั้งคืน ตื่นขึ้นมา กองทุกข์ก็ทับถมจนโงหัวไม่ขึ้น นั่นเป็นเพราะก่อนเอนกายลงนอน เอากองทุกข์เป็นหมอนข้าง เอาปัญหาเป็นผ้าห่ม ไม่ยอมปล่อยวางและปลดปลง ถามกันตรงๆตอบกันจริงๆ ชีวิตนี้มีเพื่ออะไร!!! เพื่อทุกข์ฉะนั้นหรือ แบกกองทุกข์กันจนหลังอาน และก็หลังยาวไม่หาทางแก้ทุกข์ เพราะมัวแต่ไปแก้กรรม ตัดกรรม

กับวันเวลาที่ผ่านไปผ่านมา เคยคิดว่าเป็นพระพร ที่จะนำพาความสันติสู่จิตใจกันบ้างหรือเปล่า ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนเพราะนั่งจมอยู่กับสิ่งเดิมๆปัญหาเก่าๆ ไม่กล้าก้าวสู่ความงดงามแห่งชีวิตที่สถิตกับเราตลอดมา ความงดงามในสายลมแสงแดด ความงดงามของจิตใจมนุษย์ ความงดงามที่เกิดจากความเมตตาอาทร ความงดงามที่มาพร้อมกับความรัก

กระแสสังคมมักหลอก สร้างภาพลวงตาให้จมไปกับมายาภายนอก ความสุข คือต้องมีสิ่งเสพ ความสุข คือ ความสำเริงสำราญ ความสุข คือ การได้ครอบครอง คนหมู่มากคิดอะไรก็ต้องเดินตามกันไปเป็นขบวน ใช่หรือไม่ ชีวิตแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับทาสในเรือนดิจิตอล(ทาสในเรือนเบี้ย) คนปั่นกระแสมีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนกับพร้อมใจกระโดดลงไปเวียนว่ายในกระแสธารที่จอมปลอม คนหมู่มากกลับไปเชื่อฟังคนไม่กี่คน คนไม่กี่คนก็ใช้พลังความเป็นมวลชนสร้างราคาค่างวดให้ตนเอง สังคมที่ไร้สุข เพราะทุกคนขาดจุดยืน ขาดหลักยึด ขาดความลึกซึ้งในแก่นของศาสนาและผสมกับความต้องการส่วนตัว ทัศนะส่วนตนที่ได้ยินได้ฟัง ฝังหัวกลายเป็นค่านิยม

ยิ่งในยุคข้อมูลข่าวสารที่ไหลบ่ายิ่งกว่าฝนโหมเท ยิ่งกว่าพายุซัดสาด จนไม่มีเวลาไตร่ตรอง ตรวจสอบ ในความชั่ว-ดี-ถี่-ห่าง หลงกลหลงลม ถูกชวนก็เชื่อ ถูกชี้ก็เชื่อง หากลองนั่งคิดสักนิดที่เขาสั่งให้ไปนั้นหน่ะ จะไปไหน ไปทำอะไร เราอาจจะพบแต่ความว่างเปล่า ในสังคมหมู่มากนิยม เอาเข้าจริงความเป็นตัวตน ความเป็นคนของปัจเจกแทบไม่เหลือหรอ ใช่..บางครั้งเราตะโกนกู่ก้องร้องพร้อมเพียงกันว่า อยากให้สังคมเปลี่ยน แต่เรายังยืนอยู่ในจุดเดิม ในรูปแบบเดิมๆ อย่างงั้นหรือ

การที่เรามาร่วมกันเป็นคนหมู่มาก มิติที่ลึกซึ้งกว่าการเรียกร้อง คือ พลัง คือ ความสามัคคีที่ยิ่งใหญ่ หากรวมกันมากโดยปราศจากการเรียกร้อง ความรักความเมตตา อันยิ่งใหญ่อยู่ตรงนั้น ในความมืดมนถ้าเราจุดเทียนขึ้นมาหนึ่งเล่ม ยื่นต่อให้กันไปเรื่อยๆความสว่างก็เกิดขึ้นในพื้นแผ่นดิน แต่หากว่าเราจุดเทียนไปแล้วปากก็ก่นด่าสายลม มือก็ปกป้องแต่เทียนของตัวเอง และเมื่อไรเล่าความสว่างจะเกิดในแผ่นดิน ต้นไม้ต้นเดียวมิอาจจะยืนยงต้านสายน้ำหลากได้ แต่เมื่อรวมกันเป็นกอเป็นเหล่า ยามพายุกระหน่ำ ต่างเกี่ยวเกาะกัน ผลึกรวมตัวกันเป็นหนึ่ง ป่าใหญ่ที่ร่มรื่นก็มาจากสิ่งนี้มิใช่หรือ ...

หลายครั้งในชีวิตของเรา การรับใช้ การช่วยเหลือคนอื่นดูเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องเสียหน้า เสียฟอร์ม เนื่องจากเราแต่ละคนปรารถนาที่จะให้คนอื่นมาเอาใจใส่ มา ปรนนิบัติรับใช้เรามากกว่า (เราจึงชอบไปอยู่กับคนหมู่มาก ชอบอยู่ฝ่ายที่ได้เปรียบเสมอ) ในพระวรสารนักบุญมาระโกบอกเราว่า ถ้าใครอยากเป็นที่หนึ่งก็ให้ผู้นั้นเป็นคนสุดท้ายและรับใช้ผู้อื่นทุกคนเถิด (มก.9:35) ตามความเชื่อคาทอลิก เราทุกคนเป็นพระศาสนจักรของพระเป็นเจ้า เป็นพระกายทิพย์ ที่มีหน้าที่เกื้อกูลกัน หน้าที่ของเราที่เป็นส่วนหนึ่งในพระศาสนจักร คือ การรับใช้ ซึ่งจะต้องอาศัยความสุภาพ ความเรียบง่ายแบบเด็ก ๆ และพร้อมที่จะรับทนทุกข์ต่างๆที่ถาถมโหมเข้าใส่มาในชีวิตของเรา หลายครั้งหลายเหตุการณ์ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำใจยอมรับได้ แต่เราก็ต้องไม่ท้อ ต้องมีความหวัง ที่สำคัญต้องมีความเชื่อ พระศาสนจักรที่แท้จริงย่อมก่อเกิดจากการรวมกันเป็นกายเป็นใจเดียวกัน ความมั่นคง ก็จะยิ่งทวีพัฒนาสู่ความถาวร อาศัยหมู่มากหลากหลายอวัยวะ ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ความทุกข์ใดเล่าจะเอาชนะได้ แก่นของหมู่มากนิยมอยู่ตรงที่แต่ละคนรู้จักหน้าที่ของตัวเอง และใช้หน้าที่นั้นเพื่อช่วยปลดปล่อยความทุกข์ แก้ปัญหาให้กันและกัน คริสตชนเรามีตรงนี้อยู่แล้ว แต่วันนี้อาจจะเลือนหายไปบ้าง ก็ช่วยกันฟื้นฟูให้กลับคืนมาโดยเร็ววัน.....

ไม่มีความคิดเห็น: