วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ผิวสี สีผิว

ผิวสี สีผิว

มนุษย์เรานี่ก็แปลกประหลาด ตั้งแต่จำความได้เริ่มพูดจากันรู้เรื่อง ก็เริ่มที่จะมีอารมณ์หยอกล้อเล่นกับเพื่อนๆ เรื่องที่นำมาล้อกันเล่นก็ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องปมด้อยของเพื่อนบางคน ใช่หรือไม่ นอกจากการล้อชื่อพ่อชื่อแม่แล้ว สิ่งที่สร้างความสุขอีกชนิดหนึ่งนั่นคือการล้อเรื่องหน้าตา ผิวสี คนไหนที่ผิวคล้ำหน่อย ก็จะถูกล้อว่า หนูดำบ้าง ดำดีสีไม่ตก ข้าวนอกนา แกะดำ และอีกหลายๆชื่อ สุดแต่การสร้างสรรค์คำในแต่ละยุคแต่ละสมัย และไม่น่าเชื่อว่าเรื่องสีผิวกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกปัญหาหนึ่ง

ใครกันหนอ เป็นผู้นิยามว่า คนผิวขาวย่อมดูดีกว่าคนผิวดำ ใครกันหนอเป็นผู้เริ่มทัศนคติที่ฝังสมองผู้คนทั้งโลกจนกลายเป็น DNA ให้ผู้คนเหยียดหยามคนผิวสี หรือว่าผู้ที่มีบทบาท ผู้ที่คิดค้นความเจริญทั้งหลายทั้งปวงเริ่มจากชนชั้นผิวขาวที่มีความพร้อมทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และทรัพยากรในการเข้าถึงความเจริญ และก็ใส่ Memory ลงไปให้ดูแคลนคนผิวสี

การเหยียดผิว มีในรูปแบบและระดับที่แตกต่างกัน เป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นในมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปี ปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิวเป็นปัญหาสำคัญและปรากฏอยู่ทั่วไปรอบๆตัวเรา แม้กระทั่งในเกมฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมของผู้คนทั่วโลกก็มีปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิว แฝงอยู่อย่างมาก และกลายมาเป็นสัญลักษณ์เรียกร้องความเท่าเทียมในหลายๆนัดของการแข่งขัน ก็ยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

จากการสืบค้นเพื่อดูว่าปัญหานี้เริ่มมาจากตรงไหน ก็พบข้อมูลว่า หลังจากที่มีการเลิกทาส ในยุโรปได้มีกลุ่มที่เรียกว่า KKK ก่อตั้งขึ้นโดยพวกเมกันที่เกลียดคนผิวดำ และไม่ยอบรับแนวคิดที่จะให้คนผิวดำมีสิทธิมีเสียงเท่าคนผิวขาว ก็เลยตั้งขบวนการใต้ดินไว้ทำร้าย ข่มขู่คนผิวดำในยุคปี 60

ในปัจจุบันนี้ปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิวได้ลดระดับลงไปได้บ้าง เห็นได้จากการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อมใจกันเลือกประธานาธิบดีผิวสีคนแรก ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคมโลก และยังมีการรณรงค์เรียกร้องจากองค์กรต่างๆ ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ การเหยียดสีผิวแท้จริงแล้วหมายถึงการเหยียดหยามความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เพียงแค่คนเหล่านั้นคิดแตกต่างกับเรา มีวัฒนธรรมแตกต่างกับเรา และก็ประเมิน ความเป็นคน ของผู้อื่นจากสิ่งภายนอกที่มองเห็น เป็นเสมือนการมืดบอดของสังคมโลกโดยแท้ ละเลยความเป็นบุตรของพระเจ้า ไม่เคารพฉายาลักษณ์ของพระองค์ในเพื่อนพี่น้อง นี่จึงเป็นที่มาของการจงเกลียดจงชัง เลือกที่รักมักที่ชัง ตามมาด้วยการทำลายล้างกัน ภัยพิบัติจากธรรมชาติว่าน่ากลัวแล้ว ภัยจากความขุ่นเคือง เกลียดชังกันระหว่างคนกับคนอันตรายกว่าหลายเท่าตัว

เมื่อเร็วๆนี้มีเด็กอัฟริกันคนหนึ่งได้เขียนกลอนเข้าประกวดจนได้รับรางวัลชนะเลิศยอดเยี่ยมจากองค์การ UNบท

When I born, I black : เมื่อผมเกิด ผมผิวดำ
When I grow up, I black : เมื่อผมโตขึ้น ผมก็ยังผิวดำอยู่
When I go in Sun, I black : เมื่อผมอยู่ใต้แสงแดด ผมก็คงยังผิวดำ
When I scared, I black : เมื่อผมกลัว ผมก็ผิวดำ
When I sick, I black : เมื่อผมป่วย ผมก็ยังผิวดำ
And when I die, I still black : และเมื่อผมตาย ผมก็ยังคงผิวดำ
And you white fellow : และคุณ...เพื่อนมนุษย์ผิวขาว
When you born, you pink : เมื่อแรกเกิด คุณมีผิวสีชมพู
When you grow up, you white : เมื่อคุณโตขึ้น คุณมีผิวสีขาว
When you go in sun, you red : เมื่อคุณอยู่ใต้แสงแดด คุณมีผิวสีแดง
When you cold, you blue ; : เมื่อคุณหนาว คุณมีผิวสีน้ำเงิน
When you scared, you yellow : เมื่อคุณกลัว คุณมีผิวสีเหลือง
When you sick, you green : เมื่อคุณป่วย คุณมีผิวสีเขียว
And when you die, you grey : เมื่อคุณตาย คุณมีผิวสีเทา

And you calling me colored?? : และคุณเรียกผมว่า คนผิวสี

(อ่านแล้วรู้สึกอย่างไง.... คนเราผิวสีต่างกันแต่เลือดสีเหมือนกันไม่ใช่หรือ)

จงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า” (โรม 6:13) พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอด และคนหูหนวกให้หาย เป็นการยืนยันถึงความเคารพในความเป็นมนุษย์และการให้เพื่อนมนุษย์ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการสรรเสริญ ความดี ความงามและความรักของพระเจ้าบนโลกใบนี้ มันถูกต้องแล้วหรือ ที่เราจะตัดสินคนๆ หนึ่งได้ จากสีผิวที่แตกต่างไปจากพวกเรา เรามีสิทธิ์อะไร...

ไม่มีความคิดเห็น: