วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มั่วนิ่ม

มั่วนิ่ม

ถนนสาทรหน้าวัดของเราได้รับการปรับปรุงให้เป็นถนนที่สวยงามและราบเรียบมากยิ่งขึ้น ถ้าสังเกตเห็นในตอนที่กำลังทำการปรับปรุงพื้นผิวถนนใหม่ๆ และตอนที่ยังไม่มีการตีเส้นแบ่งช่องทางการเดินรถ จะเห็นว่าผู้ขับขี่ต่างก็ขับรถกันแบบมั่วๆซั่วๆไร้ความเป็นระเบียบ ใครอยากจะออกไปทางไหนก็ไป เบียดแย่งกัน ทั้งๆที่ถนนเส้นนี้รถราติดเป็นนิจอยู่แล้ว พอมีการปรับปรุงผิวถนน ไม่มีเส้นแบ่งช่องทางชัดเจน รถราก็สะเปะสะปะ ติดหนึบหนักกว่าเดิม แต่โชคดีที่เขาเร่งวันเร่งคืน เพื่อฟื้นผิวถนนให้กลับมามีสภาพที่ดีกว่าเดิม และพอมีการตีเส้น ขีดแบ่งช่องทาง รถราต่างๆก็เข้ากรอบ เข้าเลนไม่ต้องเบียดแย่งแข่งขันวุ่นวาย

ใช่หรือไม่ บางครั้งการมีกรอบ มีเส้นแบ่ง มีกฎเกณฑ์กติการ่วมกันก็ทำให้สังคมโดยรวมมีระเบียบ และทำให้เราเคารพกันและกันมากยิ่งขึ้น ทุกวันนี้มีกระแสหนึ่งที่กำลังมาแรง เรียกว่า กระแสมั่วนิ่ม ต่างคนต่างถูก ต่างคนต่างมีแนวความคิดเป็นของตัวเอง การสนใจผู้อื่นก็น้อยลง และที่ร้ายไปกว่านั้น เราก็มักแอบอ้างการกระทำของคนอื่นที่ผิดกรอบนอกเกณฑ์ว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญประจำสังคม จนมีคำพูดว่า ใครก็ทำกัน เราจะทำบ้างไม่ได้เชียวหรือ บังเอิญได้อ่านเจอบทความบทหนึ่งทางอินเตอร์เน็ท เป็นเรื่องทำนองนี้ เรามาลองดูว่าถ้าสังคมปลูกฝัง สังคมสอนเด็กให้อยู่ในกระแสมั่วนิ่ม ทำๆตามกันไปแบบนี้สังคมไทยจะเป็นเช่นไร ลูกหลานเราจะเป็นอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้

เมื่อชัยอายุ 6 ขวบ ขณะที่นั่งรถไปกับพ่อ ถูกตำรวจจับเพราะขับรถเร็วเกินกำหนดพ่อแอบยื่นเงิน 500 บาท ให้ตำรวจและได้รับอนุญาตปล่อยตัวไปพ่อหันมาพูดกับชัยว่า ไม่เป็นไรลูกเงินแค่นี้ซื้อเวลา ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ

เมื่อชัยอายุ 8 ขวบ ป้าพาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเงิน 75 บาท
เมื่อป้าไปชำระเงิน ยื่นธนบัตรร้อยบาทให้พนักงาน ได้รับเงินทอน 55 บาท
เพราะลูกค้ามากและเข้าใจว่าธนบัตร 50 บาท คือ 20 บาท ป้ารับเงินทอนและใส่กระเป๋าทันที แทนที่จะบอกพนักงานว่าทอนเงินผิด เมื่อออกจากร้านป้าก็พูดกับชัยว่า ไม่เป็นไรหลานความผิดของเขาเอง ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ

เมื่อชัยอายุ 9 ขวบ ครูให้การบ้านปลูกต้นหอมแดงในกระบะ 2 สัปดาห์
แล้วนำไปส่งที่โรงเรียน แม่ลืมซื้อหัวหอมแดงมาให้ชัย เมื่อครบกำหนดวันส่งแม่ให้พ่อไปซื้อต้นหอมแดงที่ตลาดและฝังลงในกระบะ ให้ชัยนำไปส่งครูและพูดว่า ไม่เป็นไรลูก ครูไม่รู้หรอกมีส่งก็ดีแล้ว ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ

เมื่อชัยอายุ 12 ขวบ ชัยทำแว่นตาใหม่ราคาแพงของลุงแตก ลุงจึงนำใบเสร็จไปอ้างกับบริษัทเครดิตที่ลุงใช้บริการอยู่ว่าแว่นตาถูกขโมย ได้รับเงินชดใช้มา 15,000 บาท เต็มราคาที่ซื้อมา ลุงพูดกับชัยอย่างภาคภูมิใจว่า ไม่เป็นไรหรอกหลาน สิทธ์ของเรา ใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ

เมื่อชัยอายุ 15 ปี ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน ครูฝึกได้สอนวิธีกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บโดยไม่ผิด ถือว่าอยู่ในเกม ครูฝึกบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ได้เปรียบไว้ก่อนเป็นดี ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ

เมื่อชัยอายุ 16 ปี ได้ไปทำงานระหว่างปิดเทอมที่แผนกซูปเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อแห่งหนึ่ง หัวหน้าแผนกให้ชัยจัดกระเช้าผลไม้ โดยแนะนำให้จัดวางผลที่ไม่สวยจวนจะเน่าอยู่ก้นตะกร้า คัดผลสวย ใบโตสีสด จัดวางอยู่ส่วนบน หัวหน้าแผนกสอนว่า ไม่เป็นไรหรอกผู้ซื้อไม่ได้ใช้เอง แต่นำไปฝากคนอื่น ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ

เมื่อชัยอายุ 18 ปี ได้สมัครสอบเพื่อเข้าขอรับทุนของมหาวิทยาลัยปรากฏผลทราบเป็นการภายในว่ามาเป็นอันดับ 2 เมื่อพ่อรู้เข้าจึงไปพูดกับกรรมการซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในที่สุดชัยก็ได้รับทุน พ่อพูดกับชัยว่า ไม่เป็นไรลูกเป็นโอกาสของเรา ใครใครถ้ามีโอกาสเขาทำกันทั้งนั้นแหละ

เมื่อชัยอายุ 19 ปี เพื่อนเอาข้อสอบปลายปีที่ขโมยมาขายกับชัยเป็นเงิน 1,500
บาท ชัยลังเลใจและตัดสินใจซื้อในที่สุด เพราะเพื่อนพูดว่า ไม่เป็นไรหรอกชัย
เกรดมีผลกับอนาคตนะ ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ

เมื่อชัยอายุ 24 ปี ชัยถูกจับข้อหายักยอกเงินบริษัท 700,000 บาท และต้องติดคุก พ่อกับแม่ไปเยี่ยมและตัดพ้อต่อว่า ทำไมลูกทำอย่างนี้กับพ่อแม่ ที่บ้านเราไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนขี้โกงเลยนะ (จาก แนวคิดจาก It' s ok , son , everybody does it . By Jack … Griffin ผู้เรียบเรียง

และวันนี้เราออกจากวัดเห็นเส้นแบ่งช่องทางถนน ก็อย่าขับไปกินเลน เกินช่องทางที่เขากำหนด ลองฝึกฝนวินัยเล็กๆน้อยๆ และทำในสิ่งที่ถูก อาจจะตรงข้ามกับสิ่งที่ใครใครเขาก็ทำกัน ให้ลูกหลานได้เห็นบ้าง จะได้ช่วยกันลดกระแสมั่วนิ่มที่กัดกินสังคมไทยเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ต่อยอด

ต่อยอด

บนหนทางชีวิตที่พ้นผ่านไปในแต่ละวัน แต่ละนาที มีคุณค่าและมีความหมายอะไรบ้างทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น บางครั้งบางวันเราก็ดูเหมือนเหยียบย่ำอยู่กับสิ่งเดิม ทำงานในรูปแบบเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะพัฒนาสติปัญญา พัฒนาคุณธรรมประจำตน หรือกระทั่งละเลยการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ บ่อยครั้งเราได้ทำวันเวลาหล่นหาย สลายไปกับอากาศ โอกาสที่จะทำความดี ที่จะเป็นคนดีหลุดลอยไป เพราะไม่มีวิญญาณทัศน์ที่กว้างไกล

บางคนใช้ชีวิตมาหลายสิบปี เหลียวกลับไปมองชีวิตก็ใจหาย ไหง!!! เรายังย่ำรอยอยู่กับที่ ไม่ได้เติบโตในขบวนการคิด ไม่ได้เติบใหญ่ในการงาน และก็พาลไปโทษโน้น โทษนี่ เข้าประเภทความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ คนเรามีชีวิตนั้นไม่ทำชั่วนั่นคือพื้นฐานของความเป็นคน แต่ถ้าพ้นจากนี้คือการพยายามพัฒนาคุณงามความดีที่มีอยู่ในตน และเมื่อพัฒนาแล้วผลนั้นส่งไปยังคนรอบข้าง ส่งให้สังคมมีความผาสุก เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของความเป็นคน

คนเราเกิดมามีลมหายใจแรกเหมือนกัน กายเปลือยเปล่าเหมือนกัน มีหัวใจมีสมองสองมือสองเท้าเหมือนกัน จากนั้นขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ การอบรมสั่งสอน สะสม พัฒนาเป็นรูปเป็นร่าง เป็นผู้เป็นคน และเป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่จะต่อยอดความหมายของความเป็นคนโดยสมบูรณ์ ใครที่ฝึกฝนจิตใจให้กล้าแกร่งตั้งแต่เด็ก คราถึงวันที่เติบใหญ่ย่อมมีสายตาที่กว้างและยาวไกลกว่าคนอื่น

มีเรื่องเล่าว่า เสนาแทน และ เสนาธง เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันเกิดปีมะแมเหมือนกัน เข้ามารับใช้ในวังเหมือนกัน ช่วงเวลาการรับราชการก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก ทั้งสองคนมีความขยันตั้งใจในการทำงานเหมือนกัน แต่ห้าปีต่อมา เสนาธงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆจนได้เป็นหัวหน้าแผนกเสบียงหลวง แต่สำหรับเสนาแทนนั้นยังเป็นเสนาต๊อกต๋อยเหมือนเดิม และดูเหมือนทุกคนจะลืมไปว่ามีเขาอยู่ในวังนี้ด้วย

จนวันหนึ่งเสนาแทนซึ่งหมดความอดทนได้เข้ามาขอยื่นใบลาออกจากราชการกับขุนนางหลวง เหตุผลก็คือ เขาได้ทำงานรับราชการมาอย่างหนัก แต่ไม่เคยประจบประแจงเจ้านาย ขุนนางคนใด หรือเป็นคนคุยโวโอ้อวดผลงานของตน เขาจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของเหล่าขุนนางในการเลื่อนตำแหน่งหรือได้งานสำคัญๆทำเลย เมื่อขุนนางหลวงได้ฟังเสนาแทนพูดจบ เขาทราบว่า เสนาแทนนั้นทำงานหนักจริง แต่ขาด
คุณสมบัติไปข้อหนึ่ง ถ้าพูดไปตรงๆ อาจทำให้เสนาแทนไม่สบายใจจึงพูดว่า

เสนาแทน บางทีฉันอาจจะตาลายดูไม่ทั่วถึงนะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้เธอไปที่ตลาดดูว่าวันนี้ที่ตลาดมีอะไรมาขายบ้าง

เสนาแทนรีบควบม้าออกไปตลาดแล้วก็กลับมารายงานขุนนางหลวงว่า ผมพบว่ามีชาวนาชายคนหนึ่ง มีแผลเป็นที่หน้าผากท่าทางเป็นต่างถิ่น อายุประมาณ ๕๕ ปี ใช้ม้าสีน้ำตาลตัวเมียลากรถมาขายถั่วลิสงครับ ขุนนางหลวงถามว่า เขามีถั่วกี่กิโล เสนาแทนก็ขอควบม้ากลับไปดูใหม่สักครู่ก็กลับมารายงานว่า มีถั่วลิสงยังไม่ต้ม 40 กว่าถุงปุ๋ย น้ำหนักถุงละประมาณ20กิโลกรัมครับ ขุนนางหลวงจึงถามอีกว่า เขาจะขายถั่วราคากิโลละเท่าไหร่เสนาแทนก็จะขอควบม้ากลับไปดูใหม่ แต่ขุนนางหลวงได้เรียกให้เขาหยุดและให้เขาพักผ่อนให้สบายใจสักครู่

จากนั้นก็ให้คนไปเรียกเสนาธงมาพบต่อหน้าเสนาแทนแล้วพูดว่า เสนาธง ให้ไปตลาดนะดูว่าวันนี้มีอะไรมาขายบ้าง ครึ่งชั่วโมงต่อมา เสนาธง ก็กลับมาแจ้งว่า ที่ตลาดมีชาวนาชราคนหนึ่งนำถั่วลิสงมาขาย มีอยู่ประมาณ 40 กว่าถุง รวมแล้วหนักราว800 กิโลกรัม ตรวจคุณภาพถั่วแล้วใช้ได้ดี เขาขายปลีกถุงละ ๓๐๐ บาท แต่ถ้าเราซื้อทั้งหมดเขาจะขายให้ถุงละ ๒๓๐บาท ซึ่งถ้าจะเอาทั้งหมดจริงๆ น่าจะต่อรองลงได้อีกถุงละสิบบาท เราสามารถนำไปขายต่อได้ถุงละ ๒๘๐ บาท มีกำไรทันที ๒๔๐๐ บาทครับ
จากนั้นเสนาธงก็นำตัวอย่างถั่วลิสงหนึ่งกำมือให้ขุนนางหลวงดู แล้วพูดต่อว่า พรุ่งนี้เขาจะนำถั่วแบบเดียวกันนี้อีก 1 เกวียนมาขายที่นี่ ถ้าท่านเห็นชอบผมจะไปรับซื้อเพื่อนำไปขายให้เมืองอื่นต่อไปดีไหมครับ

เสนาแทนซึ่งยืนอยู่ข้างๆเริ่มหน้าแดงเขาขอร้องให้ขุนนางหลวงคืนใบลาออกให้กับเขาและก็เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตัวเขาเองกับเสนาธงแล้ว

คนที่จะประสบความสำเร็จก้าวหน้าในชีวิตนั้นจะต้องมีความคิดที่ไกล ลึกซึ้งและก้าวหน้ากว่าคนอื่น มีความคิดที่ก้าวไกลทันต่อสถานการณ์ และต่อยอดในสิ่งที่ได้เรียนรู้ ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่แรกเกิด นี่แหละถึงจะเรียกว่า เกิดมาทั้งทีชีวิตไม่สูญเปล่า ต่อยอดพระพรของพระเจ้าได้อย่างมีคุณค่า ก้าวหน้าไปในความรักของพระเจ้าและมองเห็นคุณค่าของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้......

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สลักรักบนแผ่นหิน

สลักรักบนแผ่นหิน

ช่วงต้นเดือนเป็นวันเกิดครบรอบ 72 ปี ของแม่พอดี แม่เกิดในเดือนสิงหาคมซึ่งถือว่าเป็นเดือนแห่งแม่ พี่ๆน้องๆจึงนัดหมายรวมตัวกันเพื่อไปฉลองให้แม่ ถึงแม้ว่าจะมีบางคนติดธุระ ติดภารกิจการงานก็ต้องไปให้ได้ เป็นคำสั่งขั้นเด็ดขาดจากพี่ใหญ่ในบ้าน ซึ่งเราทุกคนก็ตั้งใจไปกันทุกคนในครอบครัวเพื่อที่จะทำให้แม่ได้ดีใจ ท่ามกลางโต๊ะอาหารใหญ่ที่มีสมาชิกสิบกว่าคน แม่ได้แต่นั่งยิ้มและก็คอยจิ้มนั่นยื่นนี่ให้ลูกคนนั้น ให้ลูกคนนี้ เห็นแม่แล้วก็อดคิดในใจว่า นี่คืออนุสาวรีย์ที่ดีงาม อนุสาวรีย์ที่มีชีวิต หาใช่อนุสาวรีย์ที่ให้รถวนเวียนไปมาเท่านั้น แม่สร้างความดี ความงาม และความรักลงในใจของลูกๆทุกคน ซึ่งแต่ละคนอาจจะรับได้ไม่เท่ากัน แต่แม่ได้ให้เหมือนๆกัน ซึ่งแม่กล่าวตอนหลังว่าภูมิใจในลูกทุกคน เราก็อยากจะบอกว่า เราภาคภูมิใจมากที่เกิดมาเป็นลูกแม่ ลูกทุกคนต่างก็ภูมิใจในแม่ของตน เป็นความงดงามของโลกอย่างหนึ่ง....

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในขณะที่กำลังเดินทางสัญจรร่วมกับผู้คนอีกหลายสิบคน ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อเป็นภาษาอังกฤษว่า Never Forgive Never Forget แปลได้ว่าไม่เคยลืมและไม่เคยให้อภัย ทำไมแรงจัง!!!! (ซึ่งเธออาจจะไม่เข้าใจความหมาย) แต่ถ้าทุกคนคิดเช่นนี้โลกเราจะเป็นเช่นไรหนอ หรือว่าวันนี้ ขณะนี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเกลียดชัง ยุคแห่งการเคียดแค้น ยุคที่ไร้การอภัย และถ้าแม่ทุกคนเป็นเช่นนี้หล่ะ พ่อทุกคนเป็นดังคำนี้หล่ะ ลูกหลานเราจะเป็นเช่นไร เคยมีคนกล่าวไว้ว่า หน้าที่ที่สำคัญของพ่อแม่คือการสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีกว่าเราตอนมีชีวิตอยู่ แต่พ่อแม่ยุคใหม่อาจจะคิดเพียงว่า สอนให้ลูกรวยกว่าตนเป็นอันใช้ได้ โดยละเลยการปลูกฝังคุณธรรมขั้นพื้นฐานและการสร้างจิตสำนึกแห่งการเป็นคนดี

มีเรื่องเล่าว่า.... มีชายสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานับครั้งไม่ถ้วน เดินทางผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไม่เคยมีปัญหากัน แต่แล้วครั้นเมื่อต้อง
ร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วยกัน ท่ามกลางความร้อนระอุ ท่ามกลางความกระหายน้ำ น้ำอดน้ำทนเริ่มจางหาย น้ำจิตน้ำใจเริ่มร่อยหรอ รอจังหวะถึงขั้นแตกหัก แล้วระหว่างทางก็เกิดการโต้เถียงขัดแย้ง ไม่เข้าใจกัน ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ก็เกิดเรื่องจนได้

จนทำให้เพื่อนคนหนึ่งบันดาลโทสะพลั้งมือ ตบหน้าอีกฝ่ายหนึ่งเต็มแรง เพื่อนคนที่ถูกทำร้ายรู้สึกเจ็บปวด รวดร้าว เพื่อนกันทำไมถึงทำเราได้ถึงเพียงนี้ แต่ไม่เอ่ยวาจา ด่ากลับเพราะจะทำให้สถานการณ์แย่ลง เพื่อระบายความคับแค้นใจ (คนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูน จะได้ไร้ความรู้สึก) ก็เลยเขียนลงบนผืนทรายว่า

วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า

แล้วทั้งสองก็ยังคงเดินทางร่วมกันต่อไปเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง

จากทะเลทรายที่ร้อนระอุ ทำให้ใจคนสั่นคลอน ต่างคนต่างเดินทางไม่กล่าว ไม่พูดอะไร เพื่อให้เวลาลบล้างบาดแผลใจในครั้งนี้ กระทั่งมาถึงแหล่งน้ำ ทั้งสองดีใจเป็นอย่างยิ่ง หันมายิ้มให้กัน และรีบไปดื่มน้ำในบ่อให้ชื่นใจ จากนั้นก็ตัดสินใจกันว่าจะอาบน้ำชำระกาย ให้โล่งปลอดโปร่ง พลันเพื่อนคนที่เคยถูกตบหน้ากลับจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอรีบกระโดดลงไปช่วยชีวิต ทั้งสองรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แบบเส้นยาแดงผ่าแปด เส้นยาดำผ่าเก้า...

คนรอดตาย ยังงงและสับสนกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป แม้จะเอ่ยวาจายังไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ แต่กลับสลักลงไปบนหินแผ่นใหญ่ว่า...

วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้

อีกคนก็ไม่เข้าใจจึงถามว่า

เมื่อถูกฉันตบหน้า เหตุใดเพื่อนจึงเขียนลงทราย แล้วทำไมเมื่อครู่ต้องสลักบนแผ่นหินด้วยเล่า

อีกคนยิ้มพราย กล่าวตอบ

เมื่อถูกเพื่อนรักทำร้าย เราควรเขียนมันไว้บนทราย ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน ลบล้างไม่เหลือ แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย บังเกิดขึ้นในชีวิตเราควรสลักมันไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ ซึ่งจะไม่มีวันที่สายลม พายุแรงเพียงใดจะลบล้างทำลายลงได้

คนที่เคยตบหน้าเพื่อนและได้ช่วยชีวิตเพื่อนเอาไว้จึงถามต่อว่า

และเหตุใด เพื่อนจึงไม่ต่อว่าด่าทอตอบโต้เมื่อถูกตบ และไม่กล่าวขอบคุณเมื่อได้รอดชีวิตครั้งนี้เล่า

เพื่อนผู้รอดตายกล่าวว่า วาจาโบยบิน อักษรคงอยู่

หากว่าวันนี้เราร่วมกันสลักรักลงในแผ่นหิน สลักการให้อภัยลงบนศิลา สังคมเราจะเป็นเช่นไร อยากรู้จัง ลองมาช่วยกันสลักลงในแผ่นหินแห่งความทรงจำด้วยความดี ความรัก และการให้อภัยกันดีไหม.....

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนึ่งลมหายใจ

หนึ่งลมหายใจ

ท่ามกลางเชื้อโรคใหม่ๆที่อุบัติขึ้นมาในโลกวันนี้ ทำให้ร่างกายของผู้คนที่ไร้ภูมิต้านทานอยู่แล้วกลับอ่อนแอลงไปอย่างเห็นได้ชัด โรคหวัด โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส จึงแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จากมลพิษในอากาศไปสู่สัตว์ จากสัตว์สู่คน จากคนสู่คน จากเมืองสู่เมือง จากประเทศสู่ประเทศ เชื้อโรคยังไม่ยอมตกยุค ยังคงทันสมัยไปกับโลกาภิวัฒน์ แล้ว...ผู้คนทั้งโลกก็หันมารักษาตัวกันอย่างขมีขมัน เพื่อให้รอดพ้นจากเชื้อร้าย ในขณะที่เห็นการระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 (ชื่อยาวแบบนี้หรือป่าวที่เป็นเหตุให้มีการระบาดไปมาก บรรดาหมอดูชื่อดังควรจะหาทางแก้เคล็ดด้วยการเปลี่ยนชื่อให้สั้นลง) ก็รู้สึกว่าเริ่มมีอาการแปลกๆเกิดขึ้น โดยเฉพาะในเวลากลางคืนมักจะตื่นขึ้นมากลางดึก เหตุเพราะคัดจมูก หายใจไม่ออก เดี๋ยวก็ข้างซ้าย เดี๋ยวก็ข้างขวา ก็ยังดี ถ้าเกิดติดขัดคัดขึ้นมาพร้อมกันทั้งสองข้างจะทำอย่างไรดี เพราะไม่สามารถหายใจทางเหงือกได้....

การที่เราหายใจไม่ออก ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของลมหายใจ ทั้งๆที่ในวันๆหนึ่งเราหายใจเข้าออกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยใส่ใจ ตราบจนกระทั่งในคืนวันที่เราหายใจไม่ออก เราจึงรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของลมหายใจ เพราะกลัวจะไม่มีลมหายใจนั่นเอง ใช่หรือไม่ ในชีวิตของเรามีหลายๆเรื่อง หลายๆมิติ ก็เป็นเช่นนี้ สิ่งใดที่ทำกันจนคุ้นชิน คนไหนที่อยู่กันจนคุ้นเคย เราก็มักจะไม่ใคร่จะใส่ใจ เพราะเห็นกันอยู่ทุกวัน ใช้มันอยู่บ่อยๆ แต่หากว่าวันหนึ่งวันใดสิ่งนั้นเกิดหายไปจากที่ที่คุ้นชิน เราถึงจะเริ่มใส่ใจ นั่นแค่สิ่งของ และกับคนด้วยกันหล่ะ มีอีกไม่น้อยที่มานั่งเสียใจ ตรอมใจในภายหลัง ที่เฉยเมยต่อบุคคลรอบข้าง จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของคนเหล่านั้นสิ้นสุดลง จึงทำให้หยุดคิด เสียดายเวลาที่ผ่านมา ที่ปล่อยปละละเลย ไม่เคยดูแลกัน นั่งร้องห่มร้องไห้เรียกร้องเวลาให้คืนกลับ ก็ขออย่าให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับพวกเราเลย อย่างน้อยๆก็ใช้ลมหายใจที่มีอยู่ช่วยต่อลมหายใจให้คนที่เรารักและคนที่รักเรา ให้ได้มีชีวิตที่พร้อมจะหมดลมหายใจครั้งสุดท้ายอย่างสงบ...

ลมหายใจแรกมาพร้อมกับชีวิตและลมหายใจสุดท้ายก็คือการจากไปของชีวิตบนโลกนี้ การหายใจเข้าออกเป็นการเพิ่มพลัง เป็นลมปราณที่ชุบชูชีวิตเติบโตและก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน เป็นสายลมแห่งพระจิตเจ้าที่เข้ามาสนิทในร่างกาย ก่อเกิดสติปัญญาและวิจารญาณในการดำเนินชีวิต เป็นแรงผลักดันให้เรามีจิตวิญญาณที่แข็งแรง อาจจะมีบ้างบางครั้งที่ลมหายใจติดขัด ก็เป็นเพราะเพื่อเรียกร้องให้เราเจ้าของร่างกายหันมาใส่ใจดูแลเรือนร่างก่อนจะสิ้นใจไปเสียก่อน เพื่อให้เราได้กลับมาทบทวนเรียนรู้ถึงคุณค่าชีวิตที่แท้จริง รู้ถึงความงดงามของชีวิต...

ลมหายใจที่หมดไปในแต่ละวัน ไม่ได้เพียงแค่หมายความว่าเรามีชีวิตมาแล้วกี่วันกี่เดือนกี่ปีแล้ว หากแต่ว่าตลอดเวลาที่เราหายใจเข้าหายใจออก คือ ชีวิตที่เติบโตขึ้น บรรลุมากขึ้น แต่ที่เราไม่ค่อยรู้สึกถึงลมหายใจนั้น เพราะใจเรามัวยุ่งคิดอยู่แต่เรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาระในการแสวงหาความรู้ ในการหาเงินหาทองเลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัวในการสนองความทะยานอยากในสิ่งต่างๆอันมากมายไม่รู้จบสิ้น จิตใจจิตสำนึกของเราเลยหายไป เมื่อเราคิดในเรื่องต่างๆมากเท่าไหร่ เราก็จะต้องทำเรื่องต่างๆเหล่านั้นตามมา ก็ยิ่งเครียดมาก ก็เกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ใช่หรือไม่ วันนี้ผู้คนมักป่วยไข้กันง่าย เพราะสังคมมีแต่เรื่องเครียดๆ

พอเครียดมากๆ ก็วุ่นวายใจ สุขภาพจิตก็แย่ ทำให้ทุกข์ใจ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ

บางครั้งบางคนมีแต่เรื่องยุ่งๆ มีเวลาทำงานยุ่งๆทั้งปี ก็อาจหลงลืมไปว่า เรื่องอะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา ปล่อยให้ชีวิตหล่นหายไปท่ามกลางความวุ่นวาย ลมหายใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้ แต่กลับไม่มีใครจำได้เลยว่าเคยหายใจไปแล้วกี่ครั้งในแต่ละวัน แต่ที่แปลกก็คือในวันที่เราเห็นลมหายใจสุดท้ายของพ่อ แม่ พี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้กำลังจะจากไป เราก็มักสวดภาวนาวอนขอพระเจ้าให้ช่วยต่อลมหายใจให้กับพวกเขาเหล่านั้น ให้ยืดเวลาให้นานที่สุด แต่ในขณะที่ยังมีเวลาหายใจลดต้นคอกันอยู่ เรากลับทำลาย ทำร้ายกันนับครั้งไม่ถ้วน

ลมหายใจ คือ ชีวิต ลมหายใจ คือ สายพระพรของพระเจ้าที่ทรงมอบให้เราทุกวารวัน หนึ่งลมหายใจที่เข้าออก คือ ความรักของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต และรักนี้จะต้องถูกส่งผ่านออกมาเพื่อคนรอบๆข้าง หรือว่าวันนี้ ลมหายใจของเราใกล้หมดกันเต็มทีแล้ว สังคมถึงได้โรยระรินเหมือนกำลังสิ้นความหวังจมสู่ความมืดมน และหากว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าตื่นขึ้นเรายังมีลมหายใจอยู่ ขอเพียงหนึ่งลมหายใจที่จะรับและส่งความรัก เพื่อสร้างโลกนี้ให้กลับมาสวยงาม เพื่อต่ออายุของโลกใบนี้...

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

งานเข้า

งานเข้า

ภาษาที่เราใช้พูดใช้เขียนกันก็มักจะมีคำเกิดขึ้นมาใหม่ๆ บางคำก็อาจจะเป็นคำที่นิยมใช้กันอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้าลองสังเกตดูดีๆเราจะพบความหมายและค่านิยมแห่งยุคสมัยแฝงอยู่ อย่างเช่นในขณะนี้ (2009) คำว่า งานเข้า กำลังเป็นคำที่นิยมพูดกันบ่อยในขณะที่ต้องเจออะไรแย่ๆ เจออะไรเร่งด่วน ที่ผิดปกติวิสัย คำนี้ก็ได้มาจากละครตลกทางโทรทัศน์นั่นเอง

คำว่า งานเข้า หากเรามองในแง่ดี เราทุกคนน่าจะชอบนะ เพราะมีงานให้ทำ มีสิ่งที่เราจะได้ใช้ความสามารถได้ใช้พรสวรรค์สร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ใช้หัวสมองที่มีแต่ขี้เลื่อยเพิ่มรอยหยักให้มันบ้าง และที่สุดเราก็จะได้ผลงานที่มีคุณค่าฝากไว้บนโลกนี้ แต่...ในวันนี้หากใคร งานเข้า ก็จะรู้สึกว่าแย่ขึ้นมาทันที รู้สึกว่าทำไมชีวิตเจอแต่เรื่องเลวร้าย ไม่ปกติสุข ไม่สบายเหมือนที่ผ่านมาๆ ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ยุคสมัยนี้ เราทำงานกันเพื่ออะไร เราทำงานกันอย่างไร หรือว่าการกระทำทุกอย่างในวิถีชีวิตวันนี้ต้องมีสิ่งแฝงเร้นอยู่ แม้แต่การคบเพื่อนฝูง ก็คุยกันอย่างไม่เต็มปากอย่างไม่เต็มใจ เพราะต่างฝ่ายต่างคุมเชิง เพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบแห่งตน

ทำงานก็มักทำกันตามเวลาที่กำหนด ตามเงินเดือน ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้วก็เสร็จกัน (ไม่ใช่บริษัทของเรา เราก็แค่ลูกจ้าง) ไม่ได้ต่อยอดจากงาน ไม่ได้ใช้งานเพื่อการสร้างสรรค์ แต่ถ้ามีเงินมาล่อ มีทองมาหลอก เราก็พร้อมถวายชีวิตเพื่อการนั้น และหากว่ามีอะไรนอกเหนือจากขอบเขตที่ได้กระทำในทุกวัน มีอะไรพิเศษเราก็มักจะบ่น มักจะเกี่ยง มักจะหาทางหลบหลีก และไม่ชอบให้งานเข้า กลัวจะเดือดร้อน กลัวจะหาเรื่องใส่ตัว ท่ามกลางคำพูดแห่งยุคสมัย งานเข้า เราจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่รักส่วนรวมไร้จิตอาสา ไม่มีใจกุศล คบเพื่อนก็ไม่มีความจริงใจให้กัน ทำงานร่วมกันก็ขัดแข็งขัดขา นินทากล่าวร้ายกัน คำว่าเสียสละหาไม่ได้ในยุคงานเข้าเช่นนี้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหงส์ฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำใหญ่ อยู่มาวันหนึ่ง นกหงส์ 2 - 3 ตัวในฝูง บินไปหากินที่สระบัวหลวงที่อยู่ห่างไกลออกไป เป็นสระบัวที่กว้างใหญ่สวยงาม และเป็นที่อาศัยหากินของนกเป็นจำนวนมาก เมื่อพบเหล่งอาหารขนาดใหญ่ ก็ทำให้นกหงส์รู้สึกพอใจ จึงกลับมาเล่าให้พญาหงส์ฟัง และอยากกลับไปหากินที่สระนั้นอีก พญาหงส์ห้ามว่า สระนั้นเป็นถิ่นมนุษย์มีอันตรายมาก ไม่ควรไป แต่บริวารก็อ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า พญาหงส์จึงยินยอม และบอกว่าจะตามไปด้วย

พอร่อนลงเท่านั้น พญาหงส์ก็ติดบ่วง บ่วงของพรานรัดเท้าไว้แน่น พญาหงส์ดึงเท้าอย่างแรงด้วยคิดว่าจะทำให้บ่วงขาด ปรากฏว่าครั้งแรกหนังถลอก ครั้งที่สองเนื้อขาด พอถึงครั้งที่สาม เอ็นขาด ถึงครั้งที่สี่ บ่วงกินลึกลงไปถึงกระดูก เลือดไหลมาก เจ็บปวดแสนสาหัส (งานเข้าพญาหงส์แบบเต็มๆ)

พญาหงส์คิดว่า ถ้าหากตนร้องขึ้นว่า งานเข้าแล้วเราติดบ่วง บริวารซึ่งกำลังกินอาหารอยู่เพลินๆก็จะตกใจ กินอาหารไม่ทันอิ่ม พอบินกลับไม่มีกำลังพอ จะตกทะเลตาย กันหมด จึงเฉยๆอยู่ รอให้บริวารกินอาหารจนอิ่ม ยอมทนทุกข์ทรมานด้วยบ่วงนั้น เมื่อเวลาล่วงไปพอสมควร เหล่าหงส์อิ่มแล้ว พญาหงส์ก็ร้องขึ้นด้วยเสียงดังว่า ติดบ่วง พอได้ยินดังนั้น หงส์บริวารทั้งหลายก็ตกใจ บินหนีกลับไปหมด

มีหงส์อยู่ตัวหนึ่ง ทีแรกก็บินไปกับบริวารเหมือนกัน แต่เมื่อบินไปสักครู่หนึ่งก็เกิดเฉลียวใจว่าพญาหงส์อาจติดบ่วงก็ได้ จึงมองหาพญาหงส์ เมื่อไม่เห็น ก็คิดว่าอันตรายคงเกิดขึ้นแก่พญาหงส์เป็นแน่แล้ว จึงรีบบินกลับมาที่สระบัว เมื่อเห็นพญาหงส์ติดบ่วงอยู่ก็ปลอบใจว่าอย่ากลัวเลยตนเองจะสละชีวิตแทน

ด้านพญาหงส์กล่าวว่า ฝูงหงส์บินหนีไปหมดแล้ว ขอท่านจงเอาตัวรอดเถิด ไม่มีประโยชน์อะไรในการอยู่ที่นี่ เมื่อข้าพเจ้าติดบ่วงอยู่เช่นนี้ ความเป็นสหายจะมีประโยชน์อะไรเล่า

หงส์ตัวนั้นกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะอยู่จะไปก็ต้องตายอยู่ดี จะหนีความตายหาได้ไม่ เมื่อท่านมีสุข ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ เมื่อท่านมีทุกข์ ข้าพเจ้าจะจากไปเสียได้อย่างไร การตายพร้อมกับท่านประเสริฐกว่าการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีท่าน เมื่อท่านมีทุกข์อยู่เช่นนี้ ข้าพเจ้าจะไปเสียดูจะไม่เป็นธรรมเลย
พญาหงส์กล่าวว่า จะมีประโยชน์อะไรในการยอมตายกับข้าพเจ้า ท่านมายอมสละชีวิตในเรื่องที่มิได้เห็นคุณอย่างแจ่มแจ้ง เหมือนคนตาบอดทำกิจการในที่มืดจะให้สำเร็จประโยชน์อย่างไรเมื่อนกทั้งสองกำลังเจรจากันอยู่นั้น นายพรานก็มาถึง และนิยมสรรเสริญในน้ำใจอันภักดีและเสียสละของหงส์ จึงได้ปล่อยทั้งสองไป

ในยุคที่เห็นงานเข้าเป็นเรื่องที่แย่ เราจะหวังเห็นน้ำจิตน้ำใจแห่งมิตรภาพเช่นนี้หรือไม่ เราจะฝากความอาทรไว้ในโลกหรือจะมีแต่ความละโมบอยู่เต็มหล้า งานเข้าแล้วล่ะพี่น้องคริสตชนทั้งหลาย....