วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568

อภัยให้ตัวเอง คือ การกลับใจที่เลิศสุด

 

อภัยให้ตัวเอง คือ การกลับใจที่เลิศสุด

            กาลเวลาชีวิตผันผ่าน หลายคราวต่อสู้ดิ้นรน

หลายหนผูกมัด รัดตรึงตัวเองกับความเกลียด เครียดแค้น

หลายคนต้องสู้มาทุกรูปแบบ

แต่ยากที่สุด คือ สู้เพื่อกลับใจเราเอง

ความผิดพลาดไม่น่ากลัว...

แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือ รู้ตัวว่าผิด แต่ก็ไม่กลับใจ


แน่ละ ไม่มีใครในโลกสะอาดหมดจด

ฉะนั้นแล้วอย่าเกลียดตัวเองที่มีเรื่องด่างพร้อย

ให้อภัยตัวเองให้เป็น กับความผิดพลาดที่อาจมี

ไม่ใช่เพื่อที่จะผิดอีก

แต่เพื่อจะมีได้มีหัวใจที่ใหญ่พอ

ที่จะก้าวไปต่ออย่างคนที่ดีกว่าเดิม

และพร้อมที่จะให้อภัยความผิดพลาดของคนอื่น

โลกสวย ไม่ใช่เพราะมีแต่เรื่องดี ๆ โลกงดงาม            เพราะมีที่ยืนสำหรับคนที่กลับใจ อย่าไปล็อคตายหัวใจไว้กับความขุ่นเคือง อาจจะมีบางเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับเราอย่างไม่ทันตั้งตัว

โลกสวย เพราะใจคนที่ยอมรับความจริง โลกจะสันติสุข หากเราทุกคนพร้อมที่จะให้อภัยตัวเองและให้อภัยกันและกันเสมอ

            โลกสวย ด้วยมือ ด้วยหัวใจเราทุกคน .....

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เตือนภัย เตือนใจ และเตือนตน

 

เตือนภัย เตือนใจ และเตือนตน

พฤศจิกายน 2568 น้ำท่วมสิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา และถล่มหาดใหญ่จมทั้งเมือง ผู้คนหลายแสนจมอยู่ในความงงงวย ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้ง ๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ควรเกิดขึ้นในศตวรรษนี้ ปรากฏการณ์ท่วมรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์…

นี่คือภัยธรรมชาติ หรือ เป็นความล้มเหลวในการเตรียมพร้อมในชีวิตของคนเรา

และดูเหมือนเป็นความบังเอิญที่มีความคล้ายกับในพระวรสารวันนี้

      “ในสมัยก่อนน้ำวินาศนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานกันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ  ไม่มีใครนึกระแวงว่าอะไรจะเกิดขึ้นจนกระทั่งน้ำวินาศมากวาดพวกเขาไปหมดสิ้น”

เราสร้างบ้านเมืองเต็มไปด้วยตึกเพื่อให้เห็นว่า นี่คือ ความเจริญ สร้างคันดิน คอนกรีต กั้นน้ำ กลับกลายเป็นการขังน้ำเสียมากกว่า บ้านเรือนควรสร้างเป็นระบบการระบายน้ำ ก็กลายเป็นอ่างใหญ่ที่น้ำไม่มีทางไป

ในวันที่มีเครื่องมือสื่อสารล้ำยุค แต่กลับล้มเหลวเรื่องการสื่อสาร มีระบบ Cell Broadcast ส่งข้อความเตือน แต่ไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอะไร อย่างไร การเตือนจึงไร้ความหมาย

ใช่หรือไม่ ความจริงวันนี้ คนไทยในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ที่น้ำไล่ท่วมในครั้งนี้ ไม่ได้แพ้ฝนหรือแพ้น้ำ แต่แพ้ระบบที่เต็มไปด้วยพิธีรีตอง และการเล่นพรรคเล่นพวก

น้ำท่วมประเทศไทยปีนี้ จึงเป็นภาพจำลองของการใช้ชีวิตแบบไทย ๆ วิกฤตครั้งนี้ คือบทเรียนราคาแพง เรื่อง “ระบบที่ต้องปรับตัวตามโลก” และเราต้องเตือนตนเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

ในชีวิตคนเราดำเนินมาไม่น้อยก็นาน ล้วนเจอทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย ทุกอย่างเป็นเครื่องเตือน

บางคนเติบโตมาเพราะการวางแผน บางคนเติบโตเพราะการหลงทาง

และเมื่อเวลาชีวิตมากขึ้น ลมหายใจก็สั้นลง

วันนี้ เราได้เตือนใจตัวเองบ้างหรือยัง? เส้นผมที่เริ่มเปลี่ยนสี ดวงตาที่พร่ามัว เตือนว่าเรากำลังจะจากลาโลกนี้ไป ผิวหนังที่เริ่มโรยรา เตือนว่าความงามภายนอกไม่ยั่งยืน ทรัพย์สินพร้อมจะสูญหาย ลมหายใจและความดีที่ต้องรักษาไว้

ความทรงจำเริ่มหล่นหาย และหลงลืม ย้ำเตือนเราว่า ความสัมพันธ์ ผูกพัน ของคนข้างกาย ต้องถนอม ร่างกายเริ่มอ่อนล้าเหนื่อยง่าย เตือนให้เราพัก อย่ารอให้หมดแรงแล้วมานั่งเสียดายเวลาที่ผ่านไป

เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสติและใช้เวลาอย่างมีคุณค่า  

ในโลกที่ทุกอย่างดูเหมือนเร่งรีบและไม่มีที่สิ้นสุด ต้องหมั่นเตือนใจให้ตระหนักถึงความเปราะบางและจำกัดของเวลา และสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นอย่างไม่เคยพบเจอมาก่อน

การให้คุณค่ากับทุกวินาทีหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความหวังที่เต็มไปด้วยความหมาย

การไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้ประทานลมหายใจที่เราได้รับ ทำให้ทุกวินาทีกลายเป็นของขวัญที่มีค่าอย่างแท้จริง ทุกความเหนื่อยล้า คือ เครื่องเตือนใจว่าเรากำลังเดินอยู่บนหนทางสวรรค์

แม้ว่าความเหนื่อยล้าจะทำให้เรารู้สึกท้อแท้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราระลึกได้ว่า เราไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ และก้าวไปพร้อม ๆ กับพระเยซูเจ้า

การที่เรายังรู้สึกเหนื่อยแสดงว่าเรายังไม่ยอมแพ้และยังเดินหน้าต่อไป

ยอมรับความเหนื่อยล้าและใช้มันเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองต่อไป

วันนี้ธรรมชาติเตือนภัย เพื่อให้เราเตือนใจ และเตือนตน เตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ เพราะเรามีพระเจ้าอยู่กับเราในทุกกรณี....

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

สงครามในหัว

 

สงครามในหัว

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกวันนี้ถูกขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว

หลายคน หลายเวลา เหนื่อยจนล้มไม่ลุก

เสียงคนรอบข้างบอกให้ “สู้สู้” “ลุยเลย” “อย่าหยุด”

แต่เสียงในหัวของเราบอกว่า “คนเราไม่ใช่เครื่องจักร”

ไม่จำเป็นต้อง ชนะทุกวัน ไม่ต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ

และไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งตลอดเวลา

มันเหมือนเกิดความขัดแย้ง เป็นสงครามย่อย ๆ ภายใน

จะฟังเสียงในหัวที่มาจากใจหรือจะฟังเสียงสังคม

แต่...ก็มักจะแพ้กระแสเสียงสังคม

เหมือนถูกรุมล้อม หาทางออกแทบไม่ได้..


สงครามใดมิเท่าสงครามภายในใจตน

ในทุก ๆ วัน ต้องรบรากับความคิดตนเองตลอดเวลา

ใช่หรือไม่ เมื่อใดเอาชนะใจตนเองได้ชีวิตเราจะสงบลงทันที

สงครามจะไม่เกิด ถ้าเราชนะจิตใจตน

คิดดีและลงมือทำย่อมได้ชีวิตที่ดี

สงคราม ความรุนแรง สภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคม เหตุการณ์บ้านเมือง

ความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตใจและพฤติกรรมของผู้คน

ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่เราจะกะเกณฑ์ได้ เราจะทำได้เพียง

ดูแลความโลภ ความโกรธ ความหลงของตัวเองให้ดี

ดูแลความคิด คำพูด และการกระทำให้ สะอาดเท่าที่ทำได้

บางวันไม่ต้องชนะใคร แค่รักษาใจตัวเองให้ไม่ล้ม

จงฟังเสียงหัวใจตัวเองให้ชัดที่สุดไม่ต้องพยายามสู้ทุกวัน...

บางวันแค่ “ไม่แพ้ใจตัวเอง” นี่แหละชัยชนะที่ควรคู่

โลกนี้ล้วนหลากหลาย เป็นแสงส่องในแบบของตัวเองให้ได้ อย่างไรเสียแสงของเราก็อาจจะสว่างให้กับใครก็ได้ที่ผ่านไปผ่านมา

อย่าปล่อยให้ความคิดด้านลบ พาเราดิ่งลงไป ก็ถือว่า “ชนะแล้ว” เพราะศัตรูที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่ปัญหาภายนอก แต่คือ “ใจเราเอง”

บางครั้งเราอยากสนทนาธรรม อยากแบ่งปันข้อคิดดี ๆ  แต่กลับพบว่า...ไม่มีใครอ่าน หรืออ่านแล้วก็วิจารณ์

โลกที่เต็มด้วยผู้คน แต่รู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนเสียงของเราหายไปในอากาศ แต่ความจริง เสียงที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เสียงคนอื่นหรอก แต่คือ “เสียงหัวใจของเราเอง”

หัวใจเราฟังเพื่อให้เราเข้าใจตัวเอง คือ เสียงที่ซื่อสัตย์ที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด และไม่มีวันโกหก

อย่าปล่อยให้สงครามในตัวเราเกิดขึ้น เพราะกลัวคนอื่น ประสานเสียงในใจและเสียงในหัวให้เป็นหนึ่งเดียว และเราจะพบกับสัญญาณของกาลเวลา เพื่อเราจะได้เตรียมในทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ โดยมีพระเจ้าเป็นกำลัง เป็นพลังให้เราเสมอ...

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

วันวัดว่าง

 

วันวัดว่าง

ยามบ่ายของวันหนึ่ง ฝนตกอยู่นาน จะไปไหนก็ลำบาก

ตัดสินใจเดินไปหลบฝน เข้ามาในวัด เป็นวัดที่ว่าง ๆ ไม่มีพิธีกรรมใด ๆ ในเวลานี้

ดูนิ่ง สงบ ไปเสียทุกอย่าง แม้ด้านนอก จะมีฝนฟ้า ถนนเต็มได้ด้วยรถรา

คิดถึงถ้อยคำของ อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่เขียนไว้ว่า

สถานที่อันพึงเคารพของทุกศาสนา เต็มล้นไปด้วยเครื่องบูชาสักการะ และถ้อยคำอธิษฐาน วิหารในใจเรากับว่างเปล่ามาเนิ่นนาน ...” (วิหารที่ว่างเปล่า)

            รำพึงต่อ เมื่อใจนิ่ง ทุกอย่างก็จะค่อย ๆ เงียบตามมา

บางเวลาในวิถีชีวิต สิ่งที่ยากจะจัดการคือ “ใจข้างใน” ที่วุ่นวาย

เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ คำพูดธรรมดาก็กลายเป็นมีดบาดใจ            

นี่ไม่ใช่การ “นิ่งเฉย” แต่คือ “นิ่งเพื่อมองเห็น”  

วัดว่าง ๆ
        
   
  ฉันจะ
ไม่ติเตียน จะไม่วิจารณ์ จะไม่ยุ่งเรื่องของใคร…เพราะตัวเองก็ไม่ใช่คนดี เรื่องลำพังก็ยังเอาตัวไม่รอด ตัวเองไม่ได้สมบูรณ์แบบ 

        ฉันจะไม่ถกเถียง จะไม่ตัดสินใคร… เพราะไม่ได้คิดถูกทุกอย่างเสมอไป ตัวเองก็ยังเคยพลาดพลั้งนับครั้งไม่ถ้วน

ฉันจะไม่ซ้ำเติม จะไม่ดูถูกใครใคร… เพราะยังหวังว่าคนอื่นจะให้อภัยในวันที่ผิดพลาด และรู้ว่าชีวิตมีขึ้นมีลง มีวงจรชีวิต มีจังหวะเวลา

ฉันขอเพียงจะพยายามแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้นในทุกวัน จะไม่ไปตำหนิคนอื่นให้เสียเวลาชีวิต

วัดที่ว่างเปล่าดูสงบ พาให้วิหารในใจปล่อยวางจากความวุ่นวายทั้งปวง มาสร้างวิหารในใจของเราให้ศักดิ์สิทธิ์และสวยงามด้วยกัน

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หยาดหยดยุติธรรม

 

หยาดหยดยุติธรรม

ยามเช้าสดชื่นเสมอ เป็นความยุติธรรมที่พระเจ้าประทานมา

พระเจ้ายุติธรรมไม่เอนเอียง ใจคนต่างหาก ที่เอนเอียง ไร้คุณธรรม


ผู้คนบนโลกไม่เคยยุติธรรม
เราให้ความหวังดีกับใคร

ใช่ว่าคนอื่นจะหวังดีกับเรา

โลกก็เป็นเช่นนี้มานาน คนอ่อนแอ ก็มักจะถูกรังแก

อย่าไปยึดติดว่าทำดีต้องได้ดีเสมอ

การทำดีคือพื้นฐานการใช้ชีวิต

ฉะนั้น เอาพื้นฐานความดีเป็นที่ตั้ง

แล้วก็เรียนรู้จักระวัง ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น

มนุษย์หลอกคนทั้งโลกได้ แต่ไม่อาจหลอกพระเจ้าได้

หยาดหยดแห่งความยุติธรรม เป็นพลังในทุกยามเช้า

ผู้ที่ทำความดี ไม่หวังสิ่งตอบแทน  พระเจ้าย่อมจารึกไว้ในเส้นทางแห่งสวรรค์

ผลของความดีจะมาถึงแน่นอน เหมือนรุ่งอรุณที่ตามหลังราตรี

พระเจ้ามิได้ลำเอียง ผู้ทำดีย่อมได้รับพระพร ผู้ทำผิดย่อมได้รับผลแห่งการกระทำนั้น

แม้มนุษย์จะไม่เห็น พระเจ้าก็เห็น แม้คนจะไม่พูดถึง พระเจ้าก็จดจำไว้ในความเงียบ

ทำดีแม้ไม่มีผู้ใดเห็น เพราะพระเจ้าย่อมชื่นชม เพียงมี พระเจ้าเห็นก็เพียงพอแล้ว

อย่าลืมว่า พระเจ้าทรงมีเหตุผลที่ “ดีที่สุด” สำหรับเราเสมอ...

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2568

ไม่ใช่ทุกข์ลมหายใจ

ไม่ใช่ทุกข์ลมหายใจ

>>> ยิ้มให้กับทุกวันที่ยังสัมผัสลมหายใจได้อยู่ <<<

ในยามตื่นขึ้นมานั่นคือพระพร เพราะหมายถึง เรายังมีเวลาสะสมความดี ในวันนี้และวันต่อ ๆ ไป หากการเดินทางชีวิตเรายังไม่สิ้นสุด โลกก็ยังสวยงามเสมอ  เพราะแต่ละวันไม่เคยมีภาพซ้ำ  ขอเพียงแค่เราเดินออกจากความคุ้นชินเดิม ๆ แหงนหน้ามองท้องฟ้าแม้บางวันจะอึมครึม บางวันสดใสงดงาม หมู่เมฆออกอวดลวดลาย ไม่เคยซ้ำ นำมาเป็นบทเรียนสอนใจเรา   ชีวิตย่อมเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้เสมอ ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เพราะคนเราเข้าใจผิดไปเองว่า ชีวิตที่สมบูรณ์ต้องไม่มีทุกข์ เราจึงเป็นทุกข์อยู่ทุกลมหายใจ ใช่หรือไม่ มีความสุขมาก ๆ ย่อมทำให้เราขาดความระมัดระวัง เพลิดเพลิน มีความทุกข์มาก ๆ บ่อยครั้งกลับทำให้เราพบสัจธรรมชีวิต

คนเรานั้นมีความทุกข์ทุกลมหายใจเข้าออกกันด้วยทุกคนนั่นแหละ คนที่ทุกข์มาก ๆ ก็ต้องต่อสู้เยอะตามไปด้วย โดยเฉพาะต่อสู้กับตัวเอง บางคนอาจต้องใช้พลังมหาศาลและลมหายใจสุดท้ายเพื่อสู้กับจิตใจของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ยิ่งการยอมรับความจริงและยอมเจ็บปวดที่ต้องบังเอิญพบเจอ ต้องเรียนรู้ลดละ ปล่อยวาง ยิ่งยึดติดก็ยิ่งทุกข์มาก เมื่อเจอกับทุกข์จึงอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ อย่าเพิ่งหมดเรี่ยวแรง เตือนไว้เสมอว่า ไม่ใช่เราคนเดียวในโลกที่ต้องเผชิญเจอเช่นนี้ คนเราเกิดมาทุกคนก็ทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครเลยที่จะไม่ทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นคนดี คนไม่ดี ก็ทุกข์หมดเพียงแต่บางทีเรามักจะมองข้ามความจริงนี้ไป

หากเรามองภาพกว้าง ๆ ของโลกวันนี้ เราต่างพบกับความทุกข์ของผู้คนมากมาย เดี๋ยวก็เกิดขึ้นที่นั่น ที่นี่ เกิดจากผู้คนต่างกระทำต่อกันเอง เกิดจากภัยทางธรรมชาติ เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบและความเห็นแก่ตัว จากสงคราม ตามข่าวสารที่มีมาทุกวัน จากรัสเซีย ยูเคน อิสราเอล กาซา การประท้วงใหญ่ที่อินโดนีเซีย และเนปาล พอแคบเข้ามาในที่ที่เราอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมหานครแห่งนี้ เจอน้ำฝนเทลงมาติดต่อกันหลายวัน วันละหลายชั่วโมง น้ำท่วม ถนนลื่น รถติด ล้วนแต่เป็นทุกข์ประจำวัน ทุกข์ในทุกลมหายใจ แต่กระนั้นก็ดี เราต้องเชื่อมั่นว่า ผ่านทางกางเขนนี้ไปได้ เราจะพบความสุข แต่สำคัญระหว่างทางเราต้องมีความหวังเสมอ แน่นอน มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพ้นผ่านไปได้ เพราะเรามักใจร้อนและใจร้ายได้ตลอดเวลา

ความทุกข์ยากในชีวิตประจำวันของเราก็เป็นกางเขนที่เราต้องแบก สำคัญคือ การที่จะรู้จักแบกอย่างไรให้มีความสุข แบกอย่างไรให้เบาลง และต้องช่วยกันแบกบ้างเป็นบางเวลา ล้มแล้วก็ลุก อย่าปล่อยให้กางเขนทับจนพิกลพิการ ทุกลมหายใจเข้าออก คือ โอกาสใหม่ในการเริ่มต้นอย่างสงบ ในชีวิตที่วุ่นวาย เต็มไปด้วยความคาดหวังและแรงกดดัน เรามักหลงลืมสิ่งง่าย ๆ อย่าง “ลมหายใจ” แท้จริงแล้ว ทุกครั้งที่เราสูดลมหายใจเข้า มันคือ การเริ่มต้นใหม่ และทุกครั้งที่เราผ่อนลมหายใจออก มันคือ การปล่อยวางความหนักอึ้งในใจ

 ลมหายใจหล่อเลี้ยงร่างกาย เป็นเครื่องมือพาเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความสงบ และเตือนเราว่า เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ไม่ว่าจะผิดพลาด แบกรับ หรือสับสนแค่ไหน ลองหยุดพักสักครู่ หลับตา หายใจเข้าให้เต็มปอด  แล้วปล่อยออกมาช้า ๆ ทุกลมหายใจ คือ โอกาสใหม่ ที่เราจะเลือก เริ่มต้นอีกครั้ง ในวันที่ชีวิตเหมือนตกอยู่ในห้วงทุกข์ อยากให้รู้ไว้ว่า... มันจะไม่อยู่กับเราตลอดไปรับมือกับมัน เรียนรู้ บางครั้ง “ทุกข์” มาสอนให้เราเติบโต บางที “สุข” ก็มาเพื่อให้เราชื่นชมกับชีวิตเล็ก ๆ ในจักรวาลนี้...

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2568

เลือก : เสียสละ

 

เลือก : เสียสละ

>>> จริง ๆ แล้วเรามีสิทธิ์เลือกทุกอย่าง และเลือกที่จะเสียสละบางอย่างในชีวิตได้ <<<

นับว่าเป็นช่วง อลวน อลหม่านกับการเมืองประเทศไทย ที่จะเลือกเดินไปทางไหน แต่ดูแล้วก็ยังจมอยู่กับการยึดโยง เกาะแน่น อยู่กับอำนาจและผลประโยชน์ของฝ่ายตน ไม่คำนึงถึงประเทศชาติประชาชนเหมือนตอนตะโกนหาเสียงกันเลย ไม่มีใครยอมเสียสละ เพราะจะเป็นการแพ้พ่าย เป็นการเสียเชิง ต้องช่วงชิงจังหวะ ช่วงชิงพรรคพวกให้ถึงที่สุด ทำให้เรามองเห็นว่า ที่สุดแล้ว คนเรามักจะเลือกเห็นแก่ตัวเป็นอันดับต้น ๆ ของชีวิต

ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยทางเลือก ผู้คนมักคิดวนเวียนอยู่กับว่า เมื่อเลือกแล้วเราจะต้องเสีย อะไรไปบ้างในสิ่งที่ไม่ได้เลือก จนลืมสิ่งดี ๆ ที่ได้เลือก ใช่หรือไม่ เราสามารถเลือกที่จะอยู่หรือจะไป เลือกที่จะทำหรือไม่ทำ เลือกที่จะมีความสุขกับสิ่งใหม่ หรือเลือกที่จะจมปลักอยู่กับเรื่องเดิม ๆ เลือกที่จะเริ่มต้นใหม่ หรือ เลือกที่จะวนอยู่กับความเคยชินเดิม ๆ  บ่อยครั้งเราเลือกได้ แต่มักไม่ค่อยกล้าเลือก การไม่เลือก ก็คือ การไม่ทำ ไม่ทำอะไรที่ดีกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ อย่าปล่อยให้การตัดสินใจในการเลือกไปอยู่ในมือของคนอื่น ความสุขไม่ได้เกิดจากเลือกถูกเสมอไป แต่อยู่กับการทำเต็มที่แล้วกับสิ่งที่เลือก กระทั่งค้นพบความหมาย คุณค่า บนเส้นทางนั้นต่างหาก

ชีวิต คือ การเดินทาง และทุกการเดินทางย่อมต้องเจอ “ทางแยก” และต้องพบช่วงเวลาที่ต้อง “เลือก” เสมอ บางครั้งมันเป็นทางแยกเล็ก ๆ แต่บางครั้งมันเป็นทางแยกที่เปลี่ยนทั้งชีวิต บ่อยไปเราก็มักไม่กล้าเลือกในทางแยกที่เราไม่คุ้นเคย กลัวที่จะหลงทาง กลัวที่จะไม่ได้ไปถึงจุดหมายปลายทาง ทำไมเราจึงกลัวการเลือก เพราะการเลือก หมายถึง “ต้องละทิ้งบางอย่าง” เมื่อเราเลือกเดินทางหนึ่ง เราต้องยอมรับว่าอีกทาง เราจะไม่ได้เดิน นี่แหละคือ สิ่งที่ทำให้ใจเรากังวล  กลัวจะเลือกผิด กลัวจะเสียใจภายหลัง แต่ชีวิตจริง การเลือกที่จะเสียสละ ไม่ใช่หนทางที่ผิด แต่คือหนทางของพระเจ้า  ที่เราต้องเลือกเดินตามพระองค์ไปเสมอ แล้วเราจะพบกับความสุขที่เที่ยงแท้....

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568

มองอิฐไม่เป็นอิจ

 

มองอิฐไม่เป็นอิจ

>>> ก่ออิฐให้รากฐานที่มั่นคง อิจ(ฉา)ทำร้ายจิตใจให้แตกสลาย <<<

ฉลองวัดเราคราวใด ใจก็อดที่จะคิดถึงผู้ก่อตั้ง ผู้รังสรรค์สร้างวัดเซนต์หลุยส์ของเราให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ได้ และมองลึกลงไปก็มีข้อคิดให้คำนึงถึงได้เสมอมา มองเห็นอิฐ มองเห็นความจริงว่า ยิ่งก่อ ยิ่งสง่า อิฐ เป็นวัสดุก่อสร้างที่แข็งแรง ทนทาน  ยิ่งสร้างมาก ยิ่งดูสง่างาม มั่นคง  แต่กว่าจะได้ความแข็งแกร่งต้องผ่านการเผาไหม้ตัวตนมาอย่างโชกโชน ผ่านการคลุกเคล้าขัดเกลา เหยียบย่ำ บดละเอียดและอัดแน่น และเมื่อถูกนำมาก่อสร้างอิฐจะกลายเป็นวัสดุชนิดหนึ่งที่ช่วยคลายความร้อนได้ดี และยิ่งนำมารวมกันเป็นชั้นเป็นกำแพง ยิ่งแข็งแกร่ง ดูงดงาม น่าเคารพ 

เมื่อเห็นอิฐก็อดที่จะคิดถึงคำว่า “อิจ” (พ้องเสียง) คือ อิจฉา ที่ยิ่งก่อ ยิ่งทำลาย เป็นความไม่พอใจเมื่อเห็นคนอื่นได้ดี  ยิ่งสะสมมาก ยิ่งทำให้เสียหาย สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์บนโลกนี้ คือ “ความอิจฉา” เพราะมันพร้อมจะให้เราทำลายทุกอย่าง แม้กระทั่งตัวเอง ความอิจฉานั้น ยิ่งสั่งสมมาก ยิ่งทำให้จิตใจผุพัง ถึงแม้ว่า ความอิจฉาจะเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ตราบใดที่ยังอยู่ในสังคม ความรู้สึกนี้จะมีอยู่เสมอ แต่ความต่างของความอิจฉา อยู่ที่วิธีการจัดการ คนเขลาใช้ความอิจฉาเป็นไฟเผาตัวเองกลายเป็นคำถากถาง อคติ และความไม่พอใจ คนมีปัญญาใช้ความอิจฉาเป็นเชื้อเพลิงไตร่ตรองว่า ทำไมเขาถึงสำเร็จ? และรู้จักที่จะเปลี่ยนความรู้สึกนั้น ให้เป็นแรงผลักดัน ขับเคลื่อนสู่การพัฒนาตนยิ่ง ๆ ขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง ความอิจฉาอาจทำร้ายเราได้ แต่ถ้าเราใช้มันให้ถูก มันก็อาจกลายเป็น แรงส่งให้เราเติบโตได้เร็วที่สุด อย่าให้ความอิจฉาเป็น “ไฟเผาไหม้จิตใจเรา” แต่จงให้เป็น “พลังงานนำทาง” เราก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จและสันติสุข มาเปลี่ยนอิจให้เป็นอิฐ เพื่อความแข็งแรงของจิตวิญญาณ เหมือนดังวัดเซนต์หลุยส์ของเราที่ตั้งสง่างามท่ามกลางเมืองที่วุ่นวาย...

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2568

พร้อมกันหรือยัง..?

 

พร้อมกันหรือยัง..?

>>> หลายครั้งต้องรอให้พร้อมถึงจะทำ แต่ถ้าพร้อมเสมอจะทำเมื่อไรก็ได้ <<<

วันเวลาผ่านพ้นเราไปอย่างรวดเร็ว วัน ๆ มีเรื่องราวหลากหลายเกิดขึ้น บางทีตั้งใจจะทำโน่นทำนี่ก็ยังไม่ได้ทำ โดยมักมีข้ออ้างว่า “ไม่พร้อม” “ไม่ว่าง” พอหันกลับมาอีกทีโลกวิ่งไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ในชีวิตเรามักคิดกันว่ามีเวลาอีกมากมาย เดี๋ยวก่อนก็ได้ แต่ใครจะรู้เล่าว่า จะมีพรุ่งนี้สำหรับเราอีกหรือเปล่า? โลกนี้โหดร้าย ไม่ปลอดภัย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในทุกเสี้ยววินาที เตรียมพร้อมจึงเป็นเกราะป้องกันให้เราดำเนินชีวิตอย่างปลอดโปร่ง

“สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคืออะไร? เด็กชายถามชายชราผู้เปี่ยมปัญญา “ไม่ใช่เงินทอง ชื่อเสียง หรืออำนาจ แต่เป็น เวลา ชายชราตอบพร้อมรอยยิ้ม “เพราะเวลาเป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียม แต่เมื่อสูญเสียไปแล้ว ไม่อาจเรียกคืน ช่วงเวลาที่ใช้อย่างไร้ค่าย่อมสูญสลายตลอดกาล ขณะที่ทุกนาทีที่ใช้อย่างมีคุณค่าคือของขวัญแก่ตนเองและผู้อื่น”

“แต่ถ้าเรามีเงิน เราก็ซื้อเวลาเพิ่มได้ไม่ใช่หรือ? เด็กชายสงสัย ชายชราหัวเราะเบา ๆ “ไม่เลย เจ้าหนู เงินทองซื้อได้หลายสิ่ง แต่ซื้อเวลาเพิ่มไม่ได้ และหากซื้อได้จริง จะมีประโยชน์อันใดหากปราศจากปัญญาใช้มันให้คุ้มค่า?

“แล้วผมจะใช้เวลาให้คุ้มค่าได้อย่างไร? เด็กชายเริ่มเข้าใจ “จงใช้เวลาสร้างสิ่งดีงามแก่โลก ช่วยเหลือผู้อื่น เรียนรู้สิ่งใหม่ ทำตามความรัก และอย่าลืมว่า ทุกวินาทีคือของขวัญ จงใช้มันอย่างรู้คุณค่า” นับแต่นั้น เด็กชายให้ความสำคัญกับทุกห้วงเวลาแห่งชีวิต และใช้มันเพื่อสร้างโลกที่ดีกว่า จนเติบใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและเปี่ยมด้วยความสุข  (เพจ Black & White)