วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568

มองอิฐไม่เป็นอิจ

 

มองอิฐไม่เป็นอิจ

>>> ก่ออิฐให้รากฐานที่มั่นคง อิจ(ฉา)ทำร้ายจิตใจให้แตกสลาย <<<

ฉลองวัดเราคราวใด ใจก็อดที่จะคิดถึงผู้ก่อตั้ง ผู้รังสรรค์สร้างวัดเซนต์หลุยส์ของเราให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ได้ และมองลึกลงไปก็มีข้อคิดให้คำนึงถึงได้เสมอมา มองเห็นอิฐ มองเห็นความจริงว่า ยิ่งก่อ ยิ่งสง่า อิฐ เป็นวัสดุก่อสร้างที่แข็งแรง ทนทาน  ยิ่งสร้างมาก ยิ่งดูสง่างาม มั่นคง  แต่กว่าจะได้ความแข็งแกร่งต้องผ่านการเผาไหม้ตัวตนมาอย่างโชกโชน ผ่านการคลุกเคล้าขัดเกลา เหยียบย่ำ บดละเอียดและอัดแน่น และเมื่อถูกนำมาก่อสร้างอิฐจะกลายเป็นวัสดุชนิดหนึ่งที่ช่วยคลายความร้อนได้ดี และยิ่งนำมารวมกันเป็นชั้นเป็นกำแพง ยิ่งแข็งแกร่ง ดูงดงาม น่าเคารพ 

เมื่อเห็นอิฐก็อดที่จะคิดถึงคำว่า “อิจ” (พ้องเสียง) คือ อิจฉา ที่ยิ่งก่อ ยิ่งทำลาย เป็นความไม่พอใจเมื่อเห็นคนอื่นได้ดี  ยิ่งสะสมมาก ยิ่งทำให้เสียหาย สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์บนโลกนี้ คือ “ความอิจฉา” เพราะมันพร้อมจะให้เราทำลายทุกอย่าง แม้กระทั่งตัวเอง ความอิจฉานั้น ยิ่งสั่งสมมาก ยิ่งทำให้จิตใจผุพัง ถึงแม้ว่า ความอิจฉาจะเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ตราบใดที่ยังอยู่ในสังคม ความรู้สึกนี้จะมีอยู่เสมอ แต่ความต่างของความอิจฉา อยู่ที่วิธีการจัดการ คนเขลาใช้ความอิจฉาเป็นไฟเผาตัวเองกลายเป็นคำถากถาง อคติ และความไม่พอใจ คนมีปัญญาใช้ความอิจฉาเป็นเชื้อเพลิงไตร่ตรองว่า ทำไมเขาถึงสำเร็จ? และรู้จักที่จะเปลี่ยนความรู้สึกนั้น ให้เป็นแรงผลักดัน ขับเคลื่อนสู่การพัฒนาตนยิ่ง ๆ ขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง ความอิจฉาอาจทำร้ายเราได้ แต่ถ้าเราใช้มันให้ถูก มันก็อาจกลายเป็น แรงส่งให้เราเติบโตได้เร็วที่สุด อย่าให้ความอิจฉาเป็น “ไฟเผาไหม้จิตใจเรา” แต่จงให้เป็น “พลังงานนำทาง” เราก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จและสันติสุข มาเปลี่ยนอิจให้เป็นอิฐ เพื่อความแข็งแรงของจิตวิญญาณ เหมือนดังวัดเซนต์หลุยส์ของเราที่ตั้งสง่างามท่ามกลางเมืองที่วุ่นวาย...

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2568

พร้อมกันหรือยัง..?

 

พร้อมกันหรือยัง..?

>>> หลายครั้งต้องรอให้พร้อมถึงจะทำ แต่ถ้าพร้อมเสมอจะทำเมื่อไรก็ได้ <<<

วันเวลาผ่านพ้นเราไปอย่างรวดเร็ว วัน ๆ มีเรื่องราวหลากหลายเกิดขึ้น บางทีตั้งใจจะทำโน่นทำนี่ก็ยังไม่ได้ทำ โดยมักมีข้ออ้างว่า “ไม่พร้อม” “ไม่ว่าง” พอหันกลับมาอีกทีโลกวิ่งไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ในชีวิตเรามักคิดกันว่ามีเวลาอีกมากมาย เดี๋ยวก่อนก็ได้ แต่ใครจะรู้เล่าว่า จะมีพรุ่งนี้สำหรับเราอีกหรือเปล่า? โลกนี้โหดร้าย ไม่ปลอดภัย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในทุกเสี้ยววินาที เตรียมพร้อมจึงเป็นเกราะป้องกันให้เราดำเนินชีวิตอย่างปลอดโปร่ง

“สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคืออะไร? เด็กชายถามชายชราผู้เปี่ยมปัญญา “ไม่ใช่เงินทอง ชื่อเสียง หรืออำนาจ แต่เป็น เวลา ชายชราตอบพร้อมรอยยิ้ม “เพราะเวลาเป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียม แต่เมื่อสูญเสียไปแล้ว ไม่อาจเรียกคืน ช่วงเวลาที่ใช้อย่างไร้ค่าย่อมสูญสลายตลอดกาล ขณะที่ทุกนาทีที่ใช้อย่างมีคุณค่าคือของขวัญแก่ตนเองและผู้อื่น”

“แต่ถ้าเรามีเงิน เราก็ซื้อเวลาเพิ่มได้ไม่ใช่หรือ? เด็กชายสงสัย ชายชราหัวเราะเบา ๆ “ไม่เลย เจ้าหนู เงินทองซื้อได้หลายสิ่ง แต่ซื้อเวลาเพิ่มไม่ได้ และหากซื้อได้จริง จะมีประโยชน์อันใดหากปราศจากปัญญาใช้มันให้คุ้มค่า?

“แล้วผมจะใช้เวลาให้คุ้มค่าได้อย่างไร? เด็กชายเริ่มเข้าใจ “จงใช้เวลาสร้างสิ่งดีงามแก่โลก ช่วยเหลือผู้อื่น เรียนรู้สิ่งใหม่ ทำตามความรัก และอย่าลืมว่า ทุกวินาทีคือของขวัญ จงใช้มันอย่างรู้คุณค่า” นับแต่นั้น เด็กชายให้ความสำคัญกับทุกห้วงเวลาแห่งชีวิต และใช้มันเพื่อสร้างโลกที่ดีกว่า จนเติบใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและเปี่ยมด้วยความสุข  (เพจ Black & White)

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568

โลกเป็นไรหรือเพราะเราให้เป็นแบบนี้

 

โลกเป็นไรหรือเพราะเราให้เป็นแบบนี้

>>> ผู้ที่รู้จักตน ย่อมเป็นผู้มีปัญญา ผู้ที่ชนะตนเอง ย่อมเป็นผู้กล้าหาญ”  คัมภีร์เต๋า <<<

ท่ามกลางความขัดแย้งในดินแดน ในขอบเขตที่ยึดครอง จนทำให้บ้านเมืองเราตกอยู่ในภาวะการสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้าน นำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก ยังไม่สามารถรู้ได้ถึงจุดสุดท้ายว่าจะลงเอ่ยกันอย่างไร? ภัยพิบัติก็เริ่มรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ และอื่น ๆ ปีนี้โลกเป็นอะไรไม่รู้ดูเหมือนตกอยู่ในภาวะตกต่ำไปในทุก ๆ ด้าน หรือว่าโลกนี้ไม่ได้เป็นอะไรเลย มันก็หมุนไปตามวาระของมัน เพียงแต่เรามนุษย์นี่แหละ ที่เป็นตัวการทำให้โลกตกต่ำลง จิตใจผู้คนต่ำเตี้ยใช่หรือไม่ เราต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ยึดโยงทุกสิ่งอย่างมาเป็นของตน เพื่อให้ตัวเองมีมาก เราต่างก็โลภสะสม โอ้อวด โดยมิสนใจเลยว่าสิ่งที่ทำไปนั้นมันส่งผลกระทบกระเทือนไปทั้งโลก ถึงสวรรค์ชั้นฟ้า พระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องพลอยเดือดร้อน ตามคำวอนขอของผู้คน

คนที่โลภ อยาก หวัง จะสรรหาสะสม มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ อยากมีไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด ก่อเกิดทุกข์ กิเลสมากมายในใจ เวลาในชีวิตของแต่ละคนเหลือกันเท่าไหร่  ไม่มีใครรู้ได้ แล้วจะเสียเวลาไปกับความทุกข์ที่เป็นเหมือนกำแพงกั้นนี้กันอยู่ทำไม เมื่อพอเพียง สร้างความสุขให้เราได้ เหตุใดจึงไม่รู้จักพอกันบ้าง แสวงหากันมากมาย สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้อะไรกันเลย

ใช่หรือไม่ คนเราย่อมมีความอยากด้วยกันทุกคน แต่ไม่ควรมีความโลภ เราย่อมมีความรัก โลภ โกรธ หลง แต่ก็ต้องรู้จักที่จะระงับและควบคุมอารมณ์เหล่านั้นให้ได้ เราทุกคนย่อมมีบาป แต่ควรละอายและเลี่ยงการสร้างความชั่ว ควรสร้างแต่ความดี ไม่มีใครจะได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ แน่ล่ะ หวังได้ แต่ก็ใช่จะต้องสมหวังทุกเรื่อง ไม่มีใครที่มีแต่ความสุข และเช่นกันก็ไม่มีใครที่มีแต่ความทุกข์ตลอด อย่าหลงกับความสุขจนเกินไป และอย่าจมกับความทุกข์จนกลายเป็นเศร้า  ลดตัวตนลงบ้าง ความอยาก ความโลภ ก็จะลดลงตาม เราต้องค่อย ๆ เรียนรู้ และเข้าใจด้วยตัวเอง จากการฝึกฝนรู้จักที่จะก้าวข้ามผ่านความโลภไปให้ได้

 ชายคนหนึ่งเขาบอกทุกคนว่า “โลกนี้เต็มไปด้วยทางตัน มีแต่ความเจ็บ มีแต่ความแคบ มีแต่ความมืด” เขาตื่นเช้ามาทำสิ่งเดิม ๆ พูดกับคนเดิม ๆ คิดเรื่องเดิม ๆ อยู่ในวังวน เหมือนอยู่ในห้องขังไม่มีประตู เหนื่อย แต่ไม่ยอมพัก กลัว แต่ไม่กล้ายอมรับ ท้อ แต่ก็ยังฝืนทำให้เหมือนปกติ เขาเคยลอง “ทลายปัญหา” ด้วยแรง ทุบกำแพงด้วยกำปั้น แต่กำแพงแข็งกว่า และมือเขาก็บาดเจ็บเลือดไหล

วันหนึ่งในความเงียบ เขานั่งอยู่คนเดียวในห้องนั้น และเพิ่งสังเกตเห็นว่า ประตูเปิดอยู่แล้ว เพียงแค่เขา “หันกลับไปมอง” จึงพบว่าที่เขาติดอยู่ไม่ใช่เพราะไม่มีทางออก แต่เพราะไม่เคยเชื่อว่าตัวเองออกไปได้ เพราะมีแต่ของที่สะสมกางกั้น คนจำนวนมากไม่ได้แพ้เพราะไม่มีทางออก แต่แพ้ใจตัวเอง และต้องทนอยู่กับความทุกข์ ความกล้าไม่ใช่แค่เดินหน้า บางทีมันคือการยอมรับ การไม่มีบางอย่าง แต่เราจะพบหลายอย่างด้วยซ้ำไป ไม่ต้องมีเหมือนคนอื่น เราจะกลายเป็นน่ารักในสายพระเนตรของพระเจ้า

สงคราม ความรุนแรง สภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคม เหตุการณ์บ้านเมือง ความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตใจ และพฤติกรรมของผู้คน ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่เราจะกะเกณฑ์ได้ แต่ใช่ว่าเราจะทำอะไรไม่ได้เลย เพียงแค่เราต่างต้องดูแลความโลภ ความโกรธ ความหลงของตัวเองให้ดี ดูแลความคิด คำพูด และการกระทำให้สะอาดเท่าที่ทำได้ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับโลกร้อน ๆ ใบนี้ และเราจะได้พบสวรรค์ตั้งแต่บนโลกนี้....

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดก็ได้มั้ง

 

ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดก็ได้มั้ง

>>> เราไม่ต้องเก่งที่สุด…แค่ใจดีที่สุด โลกก็อบอุ่นขึ้นแล้ว <<<

และแล้วครึ่งปีหลังก็ย่างกรายเข้ามาอีกคำรบหนึ่ง ในปีที่แสนจะยากลำบาก ในปีที่โลกนี้เริ่มซบเซา ในปีที่โลกว้าวุ่นและวุ่นวาย ในช่วงเวลาที่เราเห็นคนเก่งมากมายตามสื่อโซเชี่ยล แต่สถานการณ์โลกกลับเหมือนกำลังดำดิ่งลงในทุกองคาพยพ หรือว่า...เรามีแต่ความเก่งกาจเฉพาะตัวเอง เอาความเก่งสร้างเกราะกำบัง เอาความเก่งเข้ากอบโกย เอาความเก่งหาช่องรอดเพื่อคดโกง โลกที่เก่งไปด้วยคำพูดมากมายจนกลายเป็นขยะแห่งความปลอม


สังคมวันนี้จะมีสักกี่คนที่ยอมรับฟังคนอื่นอย่างใจสงบ และพร้อมที่จะโอบกอดทุกคนอย่างอบอุ่น เราโอบกอดลูกที่ไม่เก่ง ที่พลาดพลั้งอย่างจริงจังกันได้บ้างหรือเปล่า เราโอบกอดลูกน้อง ลูกจ้างด้วยใจเมตตาอย่างคนเข้าใจผู้คนกันบ้างไหม เราอาจจะเป็นเพียงผู้วิเศษด้วยอำนาจ ด้วยตำแหน่ง ด้วยวัยที่มากกว่าเท่านั้น หากเรามีใจเมตตาในวันที่โลกเป็นเช่นนี้ เราก็จะมีความสุขสันติกันมากขึ้น เราลองทำตัวเป็นผู้วิเศษด้วยหัวใจที่ดีงาม เหมือนดังในนิทานเรื่องนี้

ในอาณาจักรแห่งหนึ่งที่เหล่าผู้วิเศษมากมายแข่งขันกันด้วยพลังและปัญญาต่างคนต่างแสดงความสามารถอย่างยิ่งใหญ่ มีทั้งพ่อมดผู้ท่องเวทมนตร์ได้เร็วดั่งสายฟ้า แม่มดที่เรียกพายุได้ด้วยเสียงกระซิบ นักเวทย์ที่พูดทีเดียวทำให้คนทั้งเมืองคล้อยตาม

แต่ในมุมเงียบ ๆ ของอาณาจักรนั้น มีพ่อมดชราผู้หนึ่งเขาไม่ได้มีพลังวิเศษหวือหวา เขาไม่ได้พูดเก่ง ไม่ได้เสกคาถาได้วิเศษเกินใคร แต่ความพิเศษของเขาอยู่ที่ ใจดีมีเมตตา

ครั้งหนึ่งมีแม่มดน้อยเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย “ท่านพ่อมด ทำไมท่านถึงไม่แข่งเวทมนตร์กับใครเลย?พ่อมดเงยหน้ามามองเด็กน้อย ยิ้มเบา ๆ แล้วตอบว่า“ข้าไม่เก่งขนาดนั้นหรอกหนูเอ๋ย แต่ข้ารู้ว่า อะไรคือสิ่งที่โลกนี้ต้องการจริง ๆ”

แม่มดน้อยนิ่งงันพ่อมดยังคงพูดต่ออย่างใจเย็น “โลกไม่ได้ต้องการแต่เสียงที่ดังที่สุด แต่ต้องการหัวใจที่ฟังได้ลึกที่สุด ไม่ต้องมีพลังที่สุด แต่มีเมตตาที่สุด นั่นแหละ คือ เวทมนตร์ที่แท้

ไม่นานนัก…แม่มดน้อย แม่มดตัวจิ๋วทั้งหลาย เริ่มทยอยมาหาพ่อมดผู้เงียบสงบ พวกเขาไม่ได้มาขอคาถา แต่พากันนั่งเงียบ ๆ ใกล้ ๆ เหมือนหัวใจพวกเขาสงบแค่ได้อยู่ใกล้ชายชราผู้ใจดี และจากวันนั้น แม้เขายังไม่เคยขึ้นเวทีแข่งขันใด แต่ผู้คนทั้งอาณาจักร ก็พร้อมใจกันยกมือขึ้น…เมื่อมีใครถามว่า “ใครคือพ่อมดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด?

ใช่หรือไม่ ท่ามกลางกระแสของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่จิตใจผู้คนกลับสับสนวุ่นวาย เจอแต่เรื่องร้าย ๆ หนึ่งวันพันเรื่องราว ทำให้ความสงบภายในพลอยโดนทำลายลง พบเห็นแต่ด้านลบด้านร้าย จิตวิญญาณจึงลดระดับลงจวนเจียนจะติดพื้น จิตใจที่เคยอ่อนโยนกลายเป็นหยาบกระด้าง ที่เคยใจเย็นเห็นสรรพสิ่งสวยงามก็กลายเป็นใจร้อนเห็นแก่ตัวเอง โลกวันนี้แข่งขันกันเก่ง แข่งขันกันโอ้อวดสารพัดเพื่อให้ผู้คนยกย่อง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า คำยกย่องเหล่านั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ ที่ต่างต้องกดไลค์กดหัวใจให้กัน เพื่อให้มีตัวตนบนโลกออนไลน์ คำถามที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร? ตามน้ำ ตามกระแสน่าจะพอไปได้กระมัง!!! แท้จริง เราต้องยึดองค์แห่งความจริงเป็นหนทาง เพื่อให้ชีวิตเราเป็นพระพร พระเยซูเจ้าผู้มีหัวใจแห่งความเมตตา เป็นหัวใจที่เปลี่ยนโลกมานับศตวรรษ เราควรเลียนแบบเริ่มด้วยเมตตาต่อตัวเองให้เป็น แล้วเริ่มเมตตาต่อคนรอบตัวเรา คนใกล้ตัวเรา ไม่จำเป็นต้องเก่งให้คนอื่นเห็น แค่เป็นคนดีมีเมตตาต่อคนที่อยู่กับเราทุก ๆ วัน นี่แหละ คือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ขัดเกลาความขัดแย้ง

 

ขัดเกลาความขัดแย้ง

>>> จิตใจที่อ่อนโยนมักถูกขัดเกลาจากความขัดแย้ง <<<

ท่ามกลางการสู้รบและยิงขีปนาวุธข้ามประเทศใส่กันระหว่างอิสราเอลกับอีหร่าน ต่างฝ่ายต่างก็ใช้กลวิธีสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ฝ่ายตนเป็นผู้ชนะ อาศัยกองเชียร์กองแช่งที่ใส่สีตีข่าว ลงในแพลตฟอร์ม ในสื่อสมัยใหม่ บ้างก็ใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างหลักฐานเท็จให้สมจริง จนกระทั่งว่า ความจริงมันคืออะไรกันแน่ เรากำลังอยู่ทำกลางความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงขึ้นทุกวัน

วันนี้เราระลึกถึงนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ ผู้วางรากฐานให้กับพระศาสนจักรจนมั่นคงดำรงอยู่มาถึงทุกวันนี้ นักบุญเปโตรและเปาโล ทั้งสองท่านมีความแตกต่างและขัดแย้งในวิธีการแพร่ธรรมในช่วงแรกๆ แต่พวกเขาก็ไว้วางใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในอีกฝ่ายหนึ่ง เปาโลเชื่อว่าเปโตรเป็นหัวหน้าพระศาสนจักรที่มองเห็นได้บนโลกจริง ๆ และไว้วางใจในการตัดสินใจ เปโตรเชื่อว่าพระเยซูปรากฏแก่เปาโลจริงๆ บนเส้นทางสู่ดามัสกัส และทรงใช้เปาโลเป็นส่วนสำคัญในแผนการที่จะนำทั้งโลกมารู้จักพระเจ้า

บางเวลาเรามักมีความขัดแย้งทางบุคลิกภาพกับใครสักคน จงพยายามนึกถึงนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล แทนที่จะโกรธและแสดงความขุ่นเคือง ก็จงเชื่อใจว่าอีกฝ่ายกำลังแสวงหาสิ่งดี ๆ อย่างแท้จริง จากความรับผิดชอบที่พระเจ้าได้มอบให้กับเขา ตั้งใจฟังและดูว่าสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ พระเจ้าจะขัดเกลาเราเช่นเดียวกับนักบุญทั้งสองท่าน หากเราเต็มใจที่จะฟัง

แม้ว่า “ความขัดแย้ง” มักถูกมองในแง่ลบ แต่ในหลายสถานการณ์ ความขัดแย้งกลับมีข้อดี และจำเป็นต่อการเติบโตของโลกนี้ ความขัดแย้งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ก่อให้เกิดการคิดและสร้างสรรค์ ผ่านทางความขัดแย้งช่วยให้เกิดการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบหรือโครงสร้างที่ดีกว่าเดิม แต่วันนี้เรามักเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมให้ความขัดแย้งขัดเกลาจิตวิญญาณ จึงมีแต่ความรุนแรงเข้าประหัตประหารกัน มาสร้างความขัดแย้งให้กลายเป็นพลังบวกกันดีกว่า

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ใจที่ไร้พรมแดน

 

ใจที่ไร้พรมแดน

>>> บางครั้งชัยชนะ ก็ซ่อนอยู่ในความพ่ายแพ้ <<<

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาติดตามข่าวความขัดแย้งถึงขึ้นทำสงครามใส่กันระหว่างอิสราเอลกับ อิหร่าน มีความรู้สึกว่ามนุษย์เราฉลาดคิดค้นอุปกรณ์อาวุธล้ำสมัยขึ้นมาเพื่อทำร้ายกัน เพื่อทำลายโลกนี้ให้เร็วขึ้น การสู้รบแม้ไม่ต้องเผชิญหน้ากันเหมือนสมัยก่อน แต่กลับกลายเป็นการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้มากมายมหาศาล ไหนจะรัสเซียกับยูเครนก็เริ่มบดบี้กันหนักขึ้น เพิ่งจางไปก็อินเดียกับปากีสถาน และประเทศเรากับเพื่อนบ้าน ก็ทำสงครามข่าวสาร ปลุกระดมในสื่อที่ไร้พรมแดน เพียงเพื่อช่วงชิงดินแดน มีคำถามหลากหลายที่เกิดขึ้น เป็นข้อสงสัยในกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น อาทิ ทำไมประเทศหนึ่งผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ แต่พอประเทศหนึ่งจะผลิตบ้างก็ห้าม ก็ถูกลงโทษ เท่าที่พอจะหาความรู้ได้ ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการ 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริการัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน เพราะเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และได้รับการรับรองตาม สนธิสัญญาการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT - Non-Proliferation Treaty) ปี 1968 มันก็ทำให้อำนาจอยู่กับบางประเทศ โลกไร้พรมแดนจึงไม่มีอยู่จริง  ในวันนี้หลายประเทศก็ผลิตอาวุธร้ายขึ้นอย่างไร้พรมแดนเหมือนกัน

ทำไมโลกเป็นเช่นนี้ ใช้สงครามดับสงคราม คิดเอาไฟไปดับไฟ มันก็ยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่ เส้นทางแห่งความฉ่ำเย็นสงบสุขไม่เลือกที่จะเดิน กลับเลือกเดินลุยเปลวไฟที่ลุกโชน ใช้สงครามดับสิ้นสงครามนั้น สงครามมันจะสงบสุขได้จริงหรือ แล้วผู้พ่ายแพ้แท้จริง คือ ผู้ใด ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ ประชาชน เช่นดังคำกล่าวที่มีมาเนิ่นนา เมื่อช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็ล้มตาย   ชีวิตคนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจใครจะสนใจ มันก็คือผลประโยชน์ของคนมีอำนาจไม่กี่คน และสงครามส่วนมากเริ่มจากพูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักฟังกัน แล้วก็เกิดการขัดเคือง ต่างคนต่างพูด ต่างฝ่ายต่างเอาดีใส่ตัว

มีคำกล่าวว่า นักปราชญ์ย่อมใช้คำพูดเท่าที่จำเป็น พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พูดในสิ่งที่เกิดความเปลี่ยนแปลง พูดในสิ่งที่ผู้ฟังสนใจใคร่รู้ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่คิดจะพูด ย่อมใช้สติกำกับในทุกคำที่พูดเสมอ อะไรคือแรงผลักในการพูด พลังอันใดที่กระตุ้นให้รู้สึกอยากเปล่งเสียงออกมา พลังความเห็นแก่ตัว หรือพลังแห่งปรีชาญาณ สองสิ่งนี้มีพลังที่บังคับคำพูดของผู้คน พูดดีก็ได้ พูดเลวก็ได้ ตราบที่ยังปนเปื้อนด้วยบาป ตราบที่ยังมีกิเลสเป็นเชื้ออยู่ในจิตใจ ขอให้รู้ว่าไม่มีใครดีไปกว่าใคร หนทางที่ดี ง่าย และปลอดภัยที่สุด ก็คือ หยุดพูด เปิดใจ หมั่นสำรวจตรวจสอบความพยองที่ฟูฟ่องอยู่ภายใน ฟื้นฟูความเมตตาในจิตวิญญาณให้มากที่สุด เมตตา คือ คู่ปรับของความเห็นแก่ตัว มีเมตตามากความเห็นแก่ตัวก็น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงหากจำเป็นก็เดินออกจากสมรภูมิแห่งการโต้เถียง ขึ้นชื่อว่าสงคราม ในความเป็นจริงย่อมไม่มีผู้ชนะ ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้แพ้ทั้งสิ้น

สงครามไม่ใช่เรื่องของวันนี้เท่านั้น แต่คือเรื่องของวันพรุ่งนี้ที่ยังไม่มาถึง ต้นตอแห่งความวุ่นวาย ประการสำคัญ คือ ใจคนที่ไม่รู้จักพอ ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน และความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง ความโลภ การเอารัดเอาเปรียบ หรือแม้แต่สงคราม ล้วนมีรากเหง้าสำคัญมาจากใจคนที่ไม่รู้จักพอนั่นเอง ใจที่รู้จักพอ ใจที่ไร้พรมแดน ไม่ได้แปลว่าหยุดพัฒนา แต่หมายถึง พอในสิ่งที่ควรหยุด และให้ความรักความเมตตาออกไปอย่างมิสิ้นสุด ความวุ่นวายภายนอกจึงสะท้อนจากความไม่พอภายในใจ เมื่อใดที่ใจหยุดแสวงหาในสิ่งที่เกินความจำเป็น เมื่อนั้นความสงบก็จะเกิดขึ้นทั้งในตัวเองและสังคม ด้วยหัวใจแห่งรักไร้พรมแดนของพระเยซูเจ้า พระองค์จึงยอมเสียเลือดเนื้อในวันนั้น เพื่อก่อให้เกิดสันติสุขภายในใจของเราในวันนี้

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ภายในที่ดี

 

ภายในที่ดี

>>> ความสำเร็จที่แท้จริง เริ่มต้นจากภายใน จิตใจที่ดี จะดึงดูดการกระทำที่ดี <<<

ดูเหมือนว่าความวุ่นวายของสังคมเริ่มจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และความขัดแย้งในองค์กร ก่อให้เกิดความสับสนอลหม่านไปกันหมด ท่ามกลางเครื่องมือสมัยใหม่ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาแทนที่จะเป็นเครื่องมือช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น แต่เปล่าเลย มันกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ช่วงชิงผลประโยชน์ เป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัวมากขึ้นและเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว วันนี้เรากำลังหลุดวงโคจรในสำนึกของตัวเองกันมากขึ้น เราไม่นิ่งพอต่อสิ่งเร้า เราขาดการเจริญเติบโตทางชีวิตภายใน เราเร่งรีบกันเกินไป จนกลายเป็นผลที่สุกก่อนวัยอันทาน เราหาความสำเร็จเพื่อปรุงแต่งตัวตนมากกว่ามองความสำเร็จขององค์รวม ที่สุดเรากำลังละทิ้งพระผู้ช่วยให้เดียวดายอย่างไม่ใยดี แล้วพอความเลวร้ายมาถึง เราก็ล้มลงไม่เป็นท่า...

ถ้าชีวิตภายในเราแกร่งพอไม่ว่าจะเจอเรื่องราวหลายหลากเช่นไร จะเลวร้ายแค่ไหน เราพร้อมน้อมรับกับทุกสถานการณ์ เราต้องรู้จักคุณค่าในตัวเองและเชื่อว่า “เราเข้มแข็งพอ” ที่จะก้าวข้ามทุกปัญหาได้อย่างผู้มีปัญญา สิ่งหนึ่งที่ต้องประคับประคองไว้ให้ได้คือ “ใจ” และ “พลังบวก” ภายใน อย่าให้ใครมาลดทอนสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่ อย่าให้ใครมีอิทธิพลกับความรู้สึกมากไป ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ยึดใจไว้อย่าให้แกว่ง

ใจที่ไม่มั่นคงเปรียบเหมือนเรือที่ไร้หางเสือ ลมพัดไปทางไหนก็พาไปทางนั้น ไม่อาจควบคุมทิศทางของตนเองได้ เมื่อเจอลมพายุพัดใส่ คำพูดของคนอื่น เรื่องราวรอบตัว หรือความกลัวภายใน ใจก็หวั่นไหวและไหลไปตามกระแสคลื่นอย่างง่ายดาย เรือที่ไร้หางจะไม่มีวันถึงจุดหมาย เพราะไม่มีสิ่งใดนำทางฉันใด ใจที่ไม่มั่นคงก็ไม่อาจสร้างเส้นทางชีวิตที่ชัดเจนได้ฉันนั้น การมีจิตใจมั่นคง ไม่ได้แปลว่าแข็งกระด้าง แต่เป็นการรู้จักตนเอง ยืนหยัดในความดีงาม และกล้าที่จะตัดสินใจแม้ยามคลื่นลมแรง เพราะเมื่อใจนิ่ง แน่วแน่ และมีเป้าหมาย ก็เหมือนเรือที่มีหางเสือพร้อมแม้ต้องฝ่าคลื่นลม มุ่งหน้าไปถึงฝั่งได้ในที่สุด

และเพื่อให้ใจที่มั่นคงเราต้องเรียนรู้ที่จะฟังเสียงภายใน ความเงียบภายในใจไม่ใช่ความอ่อนแอ เป็นการฟื้นฟูตัวเองเพื่อกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม  เป็นกระบวนการที่เราหยุดเพื่อฟังเสียงของตัวเอง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเราเผชิญกับปัญหาหรือความกดดัน บางครั้งการตอบสนองโดยทันทีอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ความเงียบช่วยให้เราได้ไตร่ตรอง หาคำตอบ และค้นพบพลังใหม่ที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง การหยุดพักไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ แต่เป็นการให้เวลากับตัวเองได้ฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าและเตรียมพร้อมสำหรับก้าวต่อไป

คนสมัยใหม่มักอยู่คนเดียวไม่เป็น พออยู่คนเดียว ก็กลัวเหงา กลัวความเงียบ ใจล่องลอยคิดถึงนั่นนี้ นี่คือความอ่อนแอของจิตใจ ปัญหานี้เรามักมองข้ามกัน คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทุกวันนี้เรามีโทรศัพท์เป็นเพื่อน อยู่คนเดียวได้ขอให้มีไวไฟ มีคลื่นโทรศัพท์ แต่ไม่ได้อยู่กับความเงียบ ไม่มีเวลาสนทนากับพระจิตเจ้า เลยรู้สึกต้องการนั่นนี่โน้นตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับคนที่นิ่งเป็นจะมีความรู้สึกว่าไม่ขาดอะไรเลย จะอยู่คนเดียว อยู่น้อยคน อยู่มากคน จิตใจก็มั่นคง จะคบใครพูดคุยกับใครก็มีความสุข  จะอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ ความสุขจึงขึ้นอยู่กับการเติบโตของชีวิตภายใน ไม่ต้องพึ่งคนอื่น ก่อให้เกิดความมั่นใจในตัวเองเป็นปฐมบท มั่นใจตัวเองไม่ได้แปลว่าอวดดี แต่เพราะเชื่อมั่นว่าตัวเราดีพอ จึงกล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างคนที่ไม่กังวลกับความทุกข์

ใช้ชีวิตในวันที่ดูไม่โสภาให้เป็นของขวัญ และของขวัญที่ดีที่สุดของชีวิต คือ ความสุขภายในเป็นความสุขแท้จริงที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง เมื่อหยุดจึงสว่าง เมื่อสว่างจึงเห็น เมื่อเห็นจึงรู้ เมื่อรู้จึงหลุดพ้นจากความทุกข์ และที่สุดพระจิตอยู่ในตัวเราเสมอ ฟังเสียงพระองค์บ้าง ให้พระองค์ชี้นำทาง สนทนากับพระองค์บ่อย ๆ ในยามว่าง เพื่อให้พระองค์เป็นชีวิตภายในของเรา

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สู่สวรรค์ในตัวตน

 

สู่สวรรค์ในตัวตน

>>> อย่าเสียเวลาพยายามเป็นอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น <<<

หากเราสังเกตดูดี ๆ เวลาเราใช้สื่อสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเปิดดูเรื่องราวที่สนใจ หรือหาสินค้าที่เราต้องการ เพียงเปิดครั้งสองครั้ง ไม่นานเรื่องราวที่เหมือน ๆ กัน สินค้าแบบเดียวกัน ก็จะขึ้นมาให้เราได้เห็นเต็มไปหมด เพราะระบบ AI จดจำสิ่งที่เราสนใจและประมวลผลอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เราจ่มจมอยู่กับเรื่องราวเหล่านั้น และฝั่งในลงสมองให้เราจดจำ คล้อยตาม จนไม่เป็นตัวของตัวเอง อย่างเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความสนใจหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญมาก คือหนังสือชื่อ อนาคตที่ฉันเห็น เขียนโดย Ryo Tatsuki เป็นการ์ตูนที่วาดไว้ก่อนล่วงหน้า โดยผู้เขียนฝันถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ได้บันทึกไว้ในช่วงปี 70 - 80  มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกเกิดขึ้นจริงตามความฝันนั้น ที่ชัดที่สุด คือ สึนามิญี่ปุ่นที่เกิดในเดือนมีนาคม ปี 2011 และการทำนายเรื่องการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่ ในต้นเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผนรับมือตั้งแต่ต้น ๆ ปี ผลปรากฏว่าทั้งวันมีแต่เรื่องการทำนายอนาคตของโลกนี้ขึ้นมาให้อ่าน ให้เห็นมากมาย ลามมาถึงหมอดูทั้งไทยและเทศ ทำให้รู้สึกคล้อยตามว่าโลกจะถึงกาลอวสานเสียแล้วกระมัง...

จนมานั่งคิด มานั่งไตร่ตรองดู ในชีวิตจริงของเรามักจะถูกชักจูง ถูกโน้มนำดูคนอื่นอยู่เสมอ ๆ จนกระทั่งความเป็นตัวเองแทบหาไม่ได้ในบางช่วงบางขณะ ใช่หรือไม่ เราถูกปลูกฝังมาว่าเราต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคม พลอยทำให้เราแสวงหาการยอมรับจากคนอื่น เราจึงพยายามทำให้คนนั้นคนนี้พอใจ วิ่งตามคนอื่นชี้นำอย่างไม่จบสิ้น ทั้ง ๆ ที่ เอาเข้าจริงเราไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคนพอใจเราได้ตลอดไป จนเมื่อเรารู้จักอยู่กับตัวตนเรา ก็คิดได้ว่าจะไปเสียพลังงานกับการเอาใจคนอื่นไปทำไม เส้นทางชีวิตของเรามีพระเจ้ากำหนด คุณค่าของเราไม่ได้ถูกกำหนดด้วยคำวิจารณ์ของใคร เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเอาใจคนอื่นตลอดเวลา

เป็น “ตัวของตัวเอง” นั่นแหละดีที่สุดแล้ว ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่ต้องไปสนใจว่า เดินในหนทางธรรมทำความดีตามแบบของเรา ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ใช้ชีวิตตามตัวตน ตามพระฉายาลักษณ์ที่พระเจ้าประทานมาให้  และจำไว้ว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ ดังนั้น ควรทำสิ่งที่เราต้องทำดีและทำให้ตัวเองมีความสุขจะดีกว่า มีคำกล่าวไว้ว่า “เห็นคนเห็นตน เห็นนิสัยคนอื่นหมื่นแสนล้าน ไม่สู้เห็นนิสัยตนสักเพียงหนึ่ง ตัดสินคนอื่นได้มากมาย ตัดสินใจแก้ไขตนเองไม่ได้ ก็ไม่สู้ อย่าไปตัดสินอะไรใคร”

มีความฉลาดรู้รอบสารพัด แต่ไม่รู้ใจตนก็เท่านั้น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั่นคือ รู้จักหันกลับมามองดูตนเอง พิจารณาตนเอง ยอมรับตนเอง ปรับปรุงแก้ไขตนเองมากกว่าสนใจไปยังผู้อื่น ผู้ที่เต็มเปี่ยมในตนจึงไม่แสวงหาการเติมเต็มจากผู้อื่น เมื่อไม่คิดจะแสวงหาการเติมเต็มจึงสามารเห็นคุณค่า และให้ความเคารพต่อผู้คนได้อย่างแท้จริง

โลกเรามีคนอยู่เป็นพันล้านคน และทุกคนถูกสร้างมาให้แตกต่าง ไม่ใช่แค่หน้าตาภายนอก บุคลิกนิสัย แม้กระทั่งลายนิ้วมือที่ไม่เคยมีใครซ้ำกัน นี่เป็นอัศจรรย์การสร้างอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในตัวเราแต่ละคน ทุกอย่างในตัวเราเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร เลิกที่จะไปเลียนแบบพฤติกรรมความคิดคนอื่น ไม่ว่าเราจะมีลักษณะแบบไหน มันคือความงดงามที่แตกต่าง อย่าไปเอามาตรฐานคนอื่นมาลดคุณค่าของตัวเรา เชื่อมั่นในพระเจ้าผู้ทรงสร้างเรามา และนี่ล้วนเป็นสวรรค์ในตัวตนของเรา มาทำให้สวรรค์นี้เป็นที่ประจักษ์ต่อคนอื่น โดยไม่ต้องไปบังคับ โน้มนำให้คนทุกคนให้มาทำตามเรา และแม้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร เราจงเป็นตัวตนลูกของพระเจ้า และมั่นใจว่าพระองค์จะอยู่กับเราเสมอนะครับ

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

หยุดทรยศตัวเอง

 

หยุดทรยศตัวเอง

>>> ความรู้ไร้ประโยชน์หากปราศจากความรัก <<<

ได้พบบทความเรื่องราวที่ไม่เคยเล่าขานของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 พระสันตะปาปาองค์ที่ 267 มาให้ได้อ่านและรับรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่เหมาะสมกับยุคสมัยจริง ๆ

ในปี 1975 โรเบิร์ต พรีโวสต์ ครูสอนคณิตศาสตร์ในชิคาโก ผู้ศรัทธาในศาสนาคาทอลิกอย่างลึกซึ้ง ได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขามีทุกสิ่งที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะใฝ่ฝัน แต่แล้ว...เขากลับตัดสินใจในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาปฏิเสธฮาร์วาร์ด ปฏิเสธอนาคตที่จะร่ำรวย ชื่อเสียง ความสะดวกสบาย และตอบรับในสิ่งที่น้อยคนกล้าเลือก ชีวิตแห่งการเสียสละ มอบตนเข้าร่วมกลุ่มมิชชันนารีและย้ายไปเปรู ที่ที่ไม่ใช่ในเมือง ไม่ใช่ในแหล่งท่องเที่ยว แต่ไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกล ที่เด็ก ๆ เสียชีวิตจากโรคที่รักษาได้ และครอบครัวต้องเดินเท้าเป็นไมล์

เพียงเพื่อน้ำสะอาด ไม่มีถนน ไม่มีน้ำประปา ไม่มีคลื่นโทรศัพท์ มีเพียงภูเขา ความเงียบ และความยากจน แต่เขายอมรับมันราวกับบ้านเกิด

ท่านไม่ได้เพียงแค่ใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คน แต่กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา เรียนรู้ภาษาเกชัว ภาษาศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินคา แบกอาหาร เดินเท้าเป็นเวลาหลายวัน นอนบนพื้นดินกับชาวบ้าน สวดภาวนาภายใต้แสงดาว สอนคณิตศาสตร์ให้กับเด็กใต้หลังคาที่ผุพัง เมื่อไม่ได้สอน ก็ช่วยแบกคนป่วยบนหลังลา เพื่อไปรับการรักษา ท่านรับฟังทุกเรื่องราวที่ไม่มีใครใส่ใจ

ในขณะที่เพื่อน ๆ กลายเป็นทนายความและแพทย์ ท่านลับกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไป เป็นนักรบแห่งศรัทธาผู้เงียบสงบ การกระทำของท่านไม่ได้ถูกเผยแพร่ แต่ก้องกังวานไปทั่วเทือกเขาแอนดีส บรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ สังเกตเห็น และในที่สุดวาติกันก็รับรู้ จึงเชิญท่านกลับมาเพื่อนำคณะออกัสติน จากการรับใช้หมู่บ้านสู่การดูแลนักบวช 2,800 คน ในกว่า 40 ประเทศ ถึงกระนั้น ท่านก็ยังคงสวมรองเท้าแตะคู่เดิม ยังคงเดินไปกับคนยากไร้ ปฏิเสธความหรูหรา

แล้วการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็มาถึง ในปี 2020 ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอัครสังฆราชและได้รับหน้าที่ให้ดูแลพระสังฆราชทั่วโลก ท่านไม่ได้เพียงแค่พูดภาษาละตินหรือกฎหมายศาสนจักรได้อย่างคล่องแคล่ว กลับคล่องแคล่วในความเมตตา ในความถ่อมตน ในการรับฟัง ในการอยู่เคียงข้างพระศาสนจักร 30 กันยายน 2023 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงประกาศอย่างเป็นทางการแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระคาร์ดินัล และแล้วประวัติศาสตร์ก็ถูกสร้างขึ้น เป็นครั้งแรกชาวอเมริกัน อดีตครูสอนคณิตศาสตร์ มิชชันนารีผู้ถูกลืม ได้เป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 267 แห่งพระศาสนจักรคาทอลิก และพระองค์ท่านก็ไม่เคยลืมผู้คนที่หล่อหลอมพระองค์ท่านจนถึงทุกวันนี้

โลกหมกมุ่นอยู่กับอำนาจแต่พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 พิสูจน์ให้เห็นว่า ตำแหน่งไม่มีความหมาย หากปราศจากการรับใช้ ความรู้ไร้ประโยชน์หากปราศจากความรัก และความเชื่อหากปราศจากการเสียสละก็เป็นเพียงเสียงฉาบและฉิ่งเท่านั้น พระองค์ท่านพยายามหันหลังให้กับโลก แต่กลับต้องมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก  (บทความโดย Catholic Christianity)

สมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ ท่านไม่เคยที่จะทรยศกับเสียงภายในเลย พระองค์ท่านซื่อสัตย์ต่อการเรียกร้องของพระเจ้าเสมอ และเกิดมาเพื่อเพื่ออื่นโดยแท้จริง วันนี้เราต้องถามตัวเองเสมอ ๆ ว่า เราได้ทรยศกับตัวเองมากน้อยแค่ไหน เราทรยศต่อพระเยซูเจ้าผู้ประทับอยู่กับเราทุกวันมากน้อนแค่ไหน แต่อย่าลืมว่า พระองค์ทรงให้อภัยเราเสมอ เราก็ต้องรู้จักให้อภัยตัวเราเองด้วยเช่นเดียวกัน

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สิ่งที่เราคิดอาจมิใช่สิ่งที่พระเจ้าบอกเรา

 

สิ่งที่เราคิดอาจมิใช่สิ่งที่พระเจ้าบอกเรา

>>> พระศาสนจักรเป็น “บ้านและโรงเรียนแห่งความเป็นหนึ่งเดียว” ที่แท้จริง <<<

ขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ยังไม่รู้ว่า เรามีพระสันตะปาปาคือพระองค์ไหน? เพราะเพิ่งผ่านการเลือกตั้งครั้งแรกไปเมื่อคืนนี้ (เช้า 8 พฤษภาคม 2025) ก่อนหน้านั้นมักมีคนถามว่า “ใครจะได้เป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่” ก็ได้แต่ตอบว่า “ไม่ทราบ รู้เพียงว่าพระเจ้าจะทรงเลือกสรรผู้ที่เหมาะสมกับกาลเวลาเสมอ” หลายคนก็ไม่เข้าใจ เพราะจะติดตามข่าวจากสื่อมวลชนที่มักจะมีพระคาร์ดินัลตัวเกร็ง แต่ด้วยประสบการณ์ที่ได้อยู่ร่วมกับการเลือกตั้งพระสันตะปาปามาหลายสมัย เรามักจะได้ผู้นำจิตวิญญาณแบบที่เราไม่คาดคิดเสมอ เพราะการเลือกตั้งพระสันตะปาปานั้นมีพระจิตเจ้านำทาง มิใช่เป็นกระบวนตามที่เราคุ้นชิน และคาดการณ์ได้ง่าย

บางทีพระเจ้าก็ทรงสอนเราผ่านทางเหตุการณ์สำคัญ ๆ นี้ หากเราได้ไตร่ตรองดี ๆ เราจะพบว่า สิ่งที่มนุษย์คิดอาจจะเป็นไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ในแผนการของพระเจ้าเสมอ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้น “ล้วนดีเสมอ” เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยการสื่อสารและมักถูกกระแสแห่งการสื่อสารชักนำและคล้อยตามจนขาดความไว้วางใจพระเจ้า ดูการถ่ายทอดพิธีกรรมก่อนการเลือกตั้ง ได้ยินบทเร้าวิงวอนนักบุญทั้งหลาย ทำให้เข้าใจว่า ลำพังความคิดมนุษย์นั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย หากไร้พระเจ้าเพื่อชี้นำทาง นี่แหละ ความเชื่อที่เราต้องนำมาใช้ในชีวิตจริง อย่าคิดว่าเก่ง อย่าคิดว่าดีแล้ว จะทำอะไรก็ขอพระเจ้าทรงนำทาง และกิจการนั้นก็จะสมบูรณ์

 พระคาร์ดินัล โจวานนี่ บัตติสต้า เร หัวหน้าคณะพระคาร์ดินัล เป็นประธานในพิธีได้กล่าวไว้ในท้ายบทเทศน์มิสซาเพื่อการเลือกตั้งพระสันตะปาปาว่า “ขอพระจิตประทานพระสันตะปาปาองค์ใหม่ที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่อความดีของพระศาสนจักรและมวลมนุษยชาติ ขอให้พระเจ้าประทานพระสันตะปาปาที่สามารถปลุกจิตสำนึก และพลังศีลธรรมในสังคมยุคใหม่ที่กำลังลืมพระเจ้าด้วย”

*** พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ คือ สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ***

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ยอมรับในความอ่อนแอบ้าง

 

ยอมรับในความอ่อนแอบ้าง

>>> การยอมรับหาใช่พ่ายแพ้ แต่คือการอ่อนน้อมเพื่อปรับเปลี่ยน <<<

หลายฝ่ายต่างออกมาบอกว่าปีนี้จะเป็นปีที่เราต้องระมัดระวังตัวเองกันให้ดี ๆ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ กำแพงภาษี ที่กำลังถาโถมใส่กันจนจะกลายเป็นสงครามการค้าไปแล้ว ไหนจะมีเรื่องภัยธรรมชาติ เกิดถี่จนน่ากลัวว่าเราจะอยู่กันอย่างไร? แต่ก็นั่นแหละ เราอยู่ในโลก เราก็ต้องยอมรับความเป็นไปและปรับตัวเองให้ได้อย่าไปจมอยู่กับวันวานที่ผ่านมา อย่าจมอยู่กับความสำเร็จในอดีต เพราะมันอาจจะฉุดรั้งเราให้ถอยหลัง ใช่หรือไม่ วันคืนผ่านมาเราอาจจะแข็งแกร่ง มาวันนี้เราอาจจะต้องยอมให้คนเปลี่ยนเสื้อผ้า ผูกสายรองเท้า พยูงเราเดิน นี่แหละชีวิตจริง น้อมรับปรับตัวให้เป็น การรู้ว่าเรายืนอยู่ตรงไหนเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะก้าวไปที่อื่นได้ นี่คือธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

มีเรื่องเล่าของขอทานคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็นเศรษฐี เขาใช้ชีวิตวันต่อวันด้วยการขอทาน พร้อมกับฝันถึงวันที่จะมีบ้านหลังใหญ่และรถยนต์หรู แต่กลับไม่เคยก้าวพ้นสภาพขอทานได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขานั่งดูเงาของตัวเองในน้ำและยอมรับอย่างเต็มที่ว่า “ฉันเป็นขอทาน” และเริ่มถามตัวเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

เมื่อเขาตรวจสอบชีวิตอย่างซื่อสัตย์ เขาพบว่านิสัยการคิดและพฤติกรรมของเขาคือต้นเหตุ ไม่ใช่โชคชะตาที่เขามักโทษ เขาพบว่าตัวเองใช้เงินที่ขอมาได้หมดในวันเดียวโดยไม่เคยเก็บออม ไม่เคยคิดวางแผนระยะยาว และไม่เคยพัฒนาทักษะใด ๆ

เมื่อยอมรับความจริงนี้ เขาเริ่มปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย เขาเก็บเงินบางส่วนที่ได้มา ฝึกงานช่างไม้ง่าย ๆ จนสามารถทำเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ ขายได้ จากการขอเงินคนอื่นเป็นการหาเงินด้วยตัวเอง จากการใช้จนหมดเป็นการเก็บออม จากการทำเพื่ออยู่รอดไปวัน ๆ เป็นการวางแผนระยะยาวสิบปีต่อมา เขากลายเป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ แต่มั่นคง ไม่ใช่เศรษฐีในความฝัน แต่ไม่ใช่ขอทานในความจริงอีกต่อไป  (ปรัชญาแห่งดาบ)

        เราทุกคนย่อมคิดว่า มาถึงวันนี้ได้ เราก็ไม่ธรรมดา และเพราะความคิดนี้เราจึงหลงและติดกับดักของชีวิต ที่ทำให้เราไม่สามารถก้าวไปทางไหนได้ ทำไมการยอมรับความจริงจึงยากนักเล่า? ความกลัว คือ คำตอบ ความกลัวการยอมรับความจริงฝังรากลึกลงในจิตใจมนุษย์ เหมือนกับตอนที่เราส่องกระจก และเห็นริ้วรอย เห็นฝ้า เห็นข้อบกพร่อง รับความจริงไม่ได้ จึงต้องหาอะไรมาปกปิด ไปแต่งเติม เปลี่ยนแปลงให้ดูดีในสายตาคนอื่น เรากลัวที่จะไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่น การยอมรับความจริงไม่ใช่การพ่ายแพ้ แต่เป็นการชนะความกลัว ชนะการหลอกตัวเอง ยิ่งเรากล้าเผชิญหน้ากับความจริงมากเท่าไร พลังในการเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น คนที่กล้ายอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง คือ คนที่พร้อมเติบโตมากที่สุด ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกัน คือ ความอดทน รู้จักผ่อนรู้จักพัก

ความอดทนไม่ใช่การรอคอยอย่างเฉยเมย แต่ต้องปฏิบัติตนอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่หวังผลให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจในวาระของพระเจ้าที่จะมอบให้เรา น้อมรับว่าสั้นยาวมิอาจจะเปรียบได้กับวันเวลาในโลกนี้ เราต้องยอมรับว่านิสัยที่สั่งสมมานานไม่อาจเปลี่ยนในเวลาอันสั้น แต่การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นได้จริงหากเรายืนหยัดในหนทางธรรม สิ่งเหล่านี้มิใช่ทำครั้งเดียวก็จะเกิดผล ฝึกฝน เรียนรู้ อดทน สังเกต แล้วเราก็จะพบกับหนทางเฉพาะตัวเรา

เมื่อเราเปลี่ยนแปลงแล้ว เราก็ต้องยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นี่คือการก้าวสู่การเข้าใจตนเองและโลกให้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ติดตามตัวเรามา เราจะพบว่าชีวิตเปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน ไม่ใช่การเปลี่ยนอย่างฉาบฉวยหรือเป็นไปตามกระแส แต่เป็นวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่เกิดจากความเข้าใจตัวเอง และนำไปสู่สันติสุขท่ามกลางวันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีพระเจ้าอยู่เคียงข้างพยูงเราไปในทุก ๆ ที่ตลอดการเดินทาง.....