วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2568

อยู่กับเพื่อนที่ชื่อว่า “เงียบ”

 

อยู่กับเพื่อนที่ชื่อว่า “เงียบ”

>>> อยู่เงียบ ๆ จะดีกว่า วุ่นวายไปก็ไม่ช่วยอะไรให้ชีวิตดีขึ้น <<<

เห็นข่าวไฟป่าไหม้ลามทั่วมณฑลลอสแอนเจลิส สหรัฐอมริกา มาเป็นสัปดาห์ สร้างความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์ บ้านหรู คฤหาสน์ บ้านเรือน ถูกไฟไหม้เหลือแต่ซากแล้ว ทำให้รู้สึกถึงความไม่แน่นอนของสรรพสิ่งจริง ๆ มีมาก ครั้นสูญเสีย ก็ต้องเสียมากตามไปด้วย สร้างมาทั้งชีวิตเพียงไม่กี่นาทีทั้งสูญสลายกลายเป็นคนไม่เหลืออะไร สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนให้เราไม่ประมาทกับหนทางบนโลกใบนี้ ทำให้เรารู้ค่าของชีวิตมากกว่าสิ่งของ ทำให้เรารู้ว่าทำดีเข้าไว้ เพื่อเป็นเกราะป้องกันเราในวันข้างหน้า ทำดีอย่างเงียบ ๆ ทำดีทุก ๆ วัน ไม่อวดดี ไม่อวดเก่ง อวดรวย อวดสุข จะเกินงาม

ใช่หรือไม่ ในโลกนี้ ย่อมมีคนที่เราไม่ชอบหน้า และมีคนที่ไม่ชอบหน้าเรา เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเราจะดีเพียงใด และไม่ว่าอีกฝ่ายจะดีแค่ไหน ก็ไม่อาจเรียกร้องให้อีกฝ่ายเปลี่ยนความรู้สึกได้ เพราะว่าดีไม่ดีก็เรื่องหนึ่ง ชอบไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง พยายามไปทำให้คนชอบ มีแต่จะยิ่งเพิ่มความหมั่นใส้กันเปล่าๆ อยู่เงียบ ๆ ให้อภัยกันโดยมิต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ก็ได้ ใจเราสุขก็เพียงพอ สิ่งที่แย่ที่สุด คือ ไปถามคนที่ไม่ชอบเราว่าทำไม สิ่งที่เราต้องทำคือ หันหลังจากไปเงียบ ๆ อย่างสงบ อย่าเอาความสุขไปทิ้งไว้กับคนที่ไม่ชอบเรา แล้วลืมความสุขที่ควรจะมีกับคนที่ชอบ

ยิ่งโตยิ่งรู้สึกว่า บางเรื่องอยู่เงียบๆ จะดีกว่า พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จะแย่ลงด้วยซ้ำในบางที และในบางเรื่อง..ให้ทำเป็นนิ่งๆ เฉยๆ บ้าง อย่าโวยวาย อย่าแสดงความรู้สึกอะไรออกไปมากมาย โมโหให้น้อย..มีความสุขให้มาก  การแสดงออก เวลารู้สึกไม่พอใจ ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไป..มีแต่จะยิ่งทำให้คนอื่นมองเราในแง่ลบแทน..อย่าได้เอาความโกรธเพียงชั่วคราว ไปแลกเปลี่ยนกับความรู้สึกดีๆ ที่เขามีให้

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ยิ่งโตยิ่งต้องใช้สติมากขึ้น พิจารณาทุกเรื่องให้ดี ก่อนคิด ก่อนพูด ก่อนตัดสินใจอะไรลงไป เพราะไม่ใช่ทุกคน ที่จะรักหรือชื่นชมในตัวเรา ถ้าเราเผลอทำตัวไม่ถูกไม่ควรไป คนรอซ้ำเติม อาจจะมีมากกว่าที่คิดไว้ก็ได้ ทำตัวเองให้เหมือนอากาศ แม้ไม่มีใครพูดถึง แต่ทุกคนก็ใช้หายใจ อย่าทำตัวให้เหมือนพายุ แม้ทุกคนพูดถึง แต่ไม่มีใครอยากเจอ ทำให้ตัวเองมีค่าแบบอากาศ เงียบ ๆ สัมผัสไม่ได้ แต่ทุกคนขาดไม่ได้

ยิ่งโต ยิ่งรู้สึกว่า บางเรื่องอยู่เงียบ ๆ จะดีกว่า พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จะแย่ลงด้วยซ้ำในบางที และในบางเรื่อง ให้ทำเป็นนิ่ง ๆ เฉย ๆ บ้าง อย่าโวยวาย อย่าแสดงความรู้สึกอะไรออกไปมากมาย อย่ารู้ทุกเรื่อง อย่าเป็นคนแบกโลก มีความสุขให้มาก อย่าได้เอาความโกรธเพียงชั่วคราว ไปแลกเปลี่ยนกับความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กัน

เงียบ ไม่ได้แปลว่าเหงา สงบ ไม่จำเป็นต้องเงียบ ๆ เสมอไป สะอาด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความขาวอย่างเดียวซะเมื่อไร สุขภาพดีไม่จำเป็นต้องมีกล้ามหน้าท้องก็ได้ สมหวัง ไม่ได้หมายถึงจะไม่ผิดหวังอีก เกลียดไม่ได้หมายความว่าต้องโกรธรวมด้วย ไม่ชอบไม่ได้หมายถึงจะต้องไม่ชอบตลอดไป ความสุข ไม่ต้องหมายถึงต้องแสดงท่าทีให้เห็นเสมอไป

ความสุขของคนเรานั้นต่างกัน บางคนมีความสุขกับการอยู่เงียบ ๆ คนเดียว บางคนมีความสุข กับการได้ทำเพื่อคนอื่นแบบเงียบ ๆ แอบยิ้มเมื่อเห็นความช่วยเหลือของเราออกดอกออกผล เหมือนเมื่อครั้งที่แม่พระมีความสุขที่เห็นลูกชายคนดีกระทำความดีแบบเงียบ เพื่อให้งานในวันนั้นผ่านไปอย่างดี ทุกคนมีความสุข เจ้าภาพ แขกที่มาในงานต่างก็สุขสำราญ คนที่ทำแบบเงียบๆ ยิ่งมีความสุขเป็นร้อยเท่าทวีคูณ ไม่จำเป็นต้องโชว์ออกสื่อ เพราะความสุขเป็นสุขของใครของมัน มิใช่สิ่งที่ต้องโอ้อวดกัน เพื่อสร้างภาพสุขแบบปลอม ๆ ความสุขที่มีคุณภาพ คือ ความสงบสันติในจิตใจ แล้ววันนี้เรามีเพื่อนที่ชื่อว่า “เงียบ” กันบ้างหรือยัง.....

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2568

อภัยคือฟากฝั่งการชำระใจ

อภัยคือฟากฝั่งการชำระใจ

>>> การแก้แค้น ไม่ใช่หนทางสู่การชำระแค้น <<<

อากาศเย็นลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนคริสต์มาส จนเลยปีใหม่มาแล้ว ทำเอาหลายต่อหลายคนท้อแท้กับการอาบน้ำในตอนเช้า ๆ  ยิ่งในสถานที่ที่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยแล้ว ถ้าไม่จำเป็นก็งดอาบดีกว่า ใช่หรือไม่ ร่างกายของเราเมื่อมองภายนอก ดูสะอาดเพราะถูกชำระล้างมาแล้ว สวมใส่และตกแต่งด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สะอาดสวยงาม ผู้คนมองเห็น ก็สดใสสบายตาหอมสดชื่น ตรงกันข้ามหากวันใดไม่อาบน้ำไม่แปรงฟัน ก็รู้สึกไม่สบายตัว ไม่สดชื่น เสื้อผ้าที่เคยว่าสวยงาม ก็พลอยเปรอะเปื้อน เหม็นเปรี้ยวไปด้วย


จิตของเราเช่นกันถ้าไม่มีวิธีชำระก็จะเกิดสนิมในใจ เก็บเกี่ยวเอาความโลภ โกรธ หลง อิจฉา นินทา พยาบาท ขุ่นแค้น กระทั่งไม่อาจนอนได้อย่างมีความสุข หากเราชำระร่างกายให้สะอาดฉันใด ใจก็ต้องชำระให้ผุดผ่องฉันนั้น สิ่งที่ช่วยขัดเกลาจิตใจเราได้ก็คือการรู้จักให้อภัย ให้อภัยตัวเราให้เป็น แล้วเราจะให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายขึ้น การ อภัย” ให้กับคนที่เรารัก ทำได้ง่าย ส่วนคนที่ชัง ทำได้ยาก แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องทำให้ได้ เป็นการชำระใจของเราให้สะอาดทุกวัน

ขอให้การเริ่มต้นปีที่มิใช่รอให้คนอื่นเริ่มต้น เริ่มต้นเสียตั้งแต่วันนี้มิใช่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ การให้อภัยไม่ใช่ยอมแพ้ ไม่ใช่เสียเปรียบ การให้อภัย คือ การไม่ถือโทษ ไม่ถือโกรธกับสิ่งที่ผ่านมา แม้จะถูกกระทำฝ่ายเดียว การให้อภัยจึงเป็นการแสดงถึงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ใช่การเสียหน้า หรือเสียรู้ ไม่ใช่การได้เปรียบเสียเปรียบ แต่เป็นการยกระดับให้จิตสูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น เป็นการชำระล้างสิ่งที่ไม่ดี ออกจากจิตจากใจ การให้อภัยพูดง่ายแต่ทำยากเพราะใจไม่อยากจะทำ การให้อภัยเป็นคุณประโยชน์แก่เรา เป็นความสงบร่มเย็นของเราเอง ไม่ใช่ของใครอื่น ..การให้อภัยเป็นฟากฝั่งของชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของ  “ลูกที่รักของพระเจ้า” ..