ณ สถานีนี้
>>> เราล้วนมีที่ที่เหมาะสมสำหรับเราเสมอ
<<<
วัดเซนต์หลุยส์ของเราเป็นวัดที่อยู่ใจกลางเมือง อยู่ท่ามกลางย่านธุรกิจต้น ๆ ของประทศไทย บนถนนสาทรใต้ เมื่อเป็นเช่นนี้บนถนนสายนี้จึงถือว่าเป็นถนนที่การจราจรคับคั่งที่สุด รถราติดมากที่สุด บางครั้งบางเวลาใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมง ๆ แม้ว่าจะมีรถไฟฟ้า BTS ผ่าน และอยู่กลางระหว่างสถานีสุรศักดิ์ และสถานีเซนต์หลุยส์ ทำให้การเดินทางจะง่ายขึ้นมาบ้าง และทุกครั้งที่ใช้บริการลงสถานีเซนต์หลุย์ ก็อดที่จะภาคภูมิใจไม่ได้ที่ชื่อนักบุญหลุยส์เป็นสถานี ที่รับส่งผู้คนมากมายในแต่ละวัน ก็เหมือนกับตอนที่ท่านนักบุญมีชีวิตและเป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ท่านนักบุญก็ดำเนินชีวิตอย่างงดงามตามบทบาท และช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ที่มาพึงท่าน แม้กระทั่งคนในครอบครัวที่ท่านนักบุญดูแลอย่างใกล้ชิด สถานที่นี้จึงเป็นต้นแบบของการทำงานเพื่อผู้อื่น นำผ่านคนอื่นถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
กษัตริย์หลุยส์ที่ 9
แห่งฝรั่งเศส
เป็นองค์รัชทายาทสืบราชสมบัติในขณะที่มีพระชนมายุเพียง 11 ปี เมื่อพระราชบิดาจากโลกนี้ไป
พระนางบลองซ์แห่งคาสตรีย์ ทรงเป็นทั้งพระราชมารดา และผู้สำเร็จราชการ พระนางทรงอบรมเลี้ยงดูให้เป็นแบบอย่างของกษัตริย์คริสตังที่ดี
เมื่อมีพระชนมายุ 19 พรรษา พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ทรงอภิเษกสมรสกับมาร์เกอริคแห่งโพรวองซ์
ทรงรักพระมเหสีมาก และทรงดำเนินชีวิตครอบครัวในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้า และทรงสัตย์ซื่อต่อพระมเหสีจนตลอดชีวิต
พระเจ้าหลุยส์ทรงเลี้ยงดูบุตร ธิดาทั้ง 10 องค์ตามแบบอย่างคริสตังที่ดี
ทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์หลุยส์ที่
9 พระปรีชาญาณและบุคลิกที่ดีเด่นของพระองค์ เป็นที่เล่าขานกันทั่วทวีปยุโรป
โดยเฉพาะพระปรีชาญาณในการตัดสินใจให้ความยุติธรรมแก่ผู้คนทั้งในและนอกประเทศ
เพื่อให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรม เป็นประจักษ์พยานในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
พระองค์ทรงรับคำร้องของประชาชนทุกคน
และทรงอนุญาตให้ทุกคนเข้าเฝ้าเพื่อทรงตัดสินคดีความได้ทุกคดี นอกจากนั้น
พระองค์ทรงตรากฎหมาย ห้ามมิให้ผู้พิพากษาทุกคนรับของกำนัลใด ๆ
นอกจากเรื่องการให้ความเป็นธรรมแล้ว พระองค์ทรงให้ความรักแก่คนยากจนและผู้เจ็บป่วย ทำแผลดูแลผู้ป่วยด้วยพระองค์เอง ทรงรับประทานอาหารร่วมกับผู้ยากไร้ และคนตาบอด เพราะทรงแลเห็นพวกเขาเป็นพระคริสตเจ้าที่กำลังทนทุกข์ทรมาน การให้เวลาเพื่อช่วยผู้ที่ตกอยู่ในความลำบากต่าง ๆ นั้น มิได้เป็นอุปสรรคใด ๆ ต่อการปกครองพระราชอาณาจักรของพระองค์ ทรงโปรดให้ทรงมีที่พักสำหรับนักศึกษาและคนยากจน และทรงหาวิธีช่วยเหลือให้ประชากรของพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเสมอ
ในปี
1248 ทรงออกเดินทางไปประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นศูนย์อำนาจอาณาจักรมุสลิม
กองทัพครูเสดก็พ่ายแพ้ และทรงถูกจับที่เมืองมันซูราห์ กระนั้นก็ดี
พระองค์ทรงมิได้แสดงความหวาดหวั่น จนเป็นที่ประทับใจของฝ่ายศัตรู
และเมื่อทรงถูกขู่สังหาร พระองค์ทรงตอบอย่างเยือกเย็นว่า “พวกท่านคงฆ่าเราได้แค่ร่างกายเท่านั้น แต่ไม่มีวันฆ่าวิญญาณของเราได้” แม้ว่าการทำสงครามครูเสดครั้งนั้นจะล้มเหลว
แต่พระเจ้าหลุยส์ก็ยังถือว่าเป็นผู้ชนะในด้านศักดิ์ศรี
พวกมุสลิมประทับใจกับความเชื่อของพระองค์ มีกาฬโรคกำลังระบาด
และไม่นานพระองค์ก็ทรงเป็นโรคร้าย และเสร็จสวรรคตในวันที่ 25 สิงหาคม 1270 คำพูดสุดท้ายของพระองค์ตรัสถึงพระคริสตเจ้าว่า
“เราจะเข้าสู่เคหาสน์ของพระเจ้า
เราจะเข้าไปในพระวิหารอันศักดิ์ของพระองค์ และเราจะกล่าวถึงพระนามของพระองค์”
สถานีนี้คือสถานีเซนต์หลุยส์แบบอย่างของเราทุกคนภายใต้ร่มเงาของท่านนักบุญที่เรามาร่วมมิสซาทุกวันอาทิตย์
เราจึงควรที่จะนำแบบอย่างของท่านสักอย่างสองอย่างไปปฎิบัติ
เพื่อว่าเราจะได้เป็นสถานีที่ผู้คนได้พักพิง อาศัย
นำทางไปสู่เป้าหมายในชีวิตได้บ้าง ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น