วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2567

สุขจิตวิญญาณ

 

สุขจิตวิญญาณ

>>> อย่ามัวแต่ทำความความสะอาดหน้าบ้าน จนละทิ้งให้ในบ้านสกปรก <<<

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การประปามาทำการวางท่อน้ำใหม่ แนวท่ออยู่หน้าบ้านพอดิบพอดี ทำให้การเข้าออกบ้านช่วงกลางวันไม่ค่อยจะสะดวกมากนัก พวกช่างที่มาทำงานก็เร่งทำจนแทบไม่มีเวลาพัก แน่นอน ต้องมีการเจาะ ขุดถนน ตักเศษปูนเศษดิน ทำให้เกิดฝุ่นละอองพอสมควร เราต้องปิดบ้าน เพื่อป้องกัน ส่วนหน้าบ้านฝุ่นย่อมมีเยอะกว่า พอตกเย็นก็ต้องรีบฉีดน้ำไล่ฝุ่น ทำความสะอาด ทำให้คิดว่า เราดูแลความสะอาดของบ้านเรือนได้ ก็ต้องดูแลชีวิต สุขภาพกาย สุขภาพใจ และสำคัญสุดสุขภาพทางจิตวิญญาณ ซึ่งบ่อยครั้งเราก็ปล่อยปละละเลย จนเน่าเลอะเทอะไปตามกระแสสังคมแห่งวัตถุ

การอวดเรื่องสุขภาพก็เป็นสิ่งที่ดีและเริ่มเห็นบ่อยขึ้นอยู่ในโซเชี่ยล ก็ดีกว่าที่เรามานั่งอวดรวย อวดเก่งกัน ใช่หรือไม่ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นของๆ เราที่แท้จริง นอกจากสุขภาพกายที่พระเจ้าประทานมาให้ หมั่นดูแลร่างกายของเราให้ดี รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้เจ็บป่วย โรคภัยไม่เบียดเบียน ในวันนี้เราสามารถหาวิธีดูแลร่างกายได้มากมายตามสื่อสมัยใหม่ ซึ่งบางครั้งก็มีหลากหลายวิธี บางครั้งก็ดูจะขัดแย้งกัน คนนี้บอกทานนั่นนี่ได้ คนนี้บอกทานมากไปไม่ดี ควรทานนั่นทานนี่แทน ที่สุดเราต้องมองหาว่าอะไรดีที่สุดสำหรับร่างกายเรา อะไรเหมาะสมกับเรามากที่สุด เพราะระบบร่างกายของเรา เราย่อมรู้ดีกว่าใคร ๆ หลักการ ทฤษฎีมีไว้เพื่อเป็นแนวชี้แนะเท่านั้น สุขภาพดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

แต่ในกระแสแห่งการบริโภคนิยมบางทีก็สร้างนิสัยโลภให้เกิดขึ้น จนนำไปสู่การกอบโกย เสาะหาเพื่อตัวเอง บ่อยครั้งกลายเป็นการทำร้ายร่างกายทางอ้อม เรามักเข้าใจกันผิดเพราะคิดว่าต้องมีเยอะและเราจึงจะสามารถดูแลร่างกาย ทำให้เราสุขใจได้ง่ายขึ้น เราจึงเห็นคนอวดนั่นอวดนี่ที่เป็นเพียงเปลือก ที่สร้างสุขแบบจอมปลอม เช่น อวดเรื่องเงินเรื่องทอง ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า ตายไปก็กลายเป็นเพียงเศษกระดาษ ไร้ค่าในวันสิ้นลมหายใจ  อวดเรื่องหน้าที่การงาน อวดตำแหน่งแห่งหน ใช่หรือไม่ พอลาออกไปแล้วก็มีคนมาทำหน้าที่แทนเราได้อยู่ดี และอาจจะทำได้ดีกว่าด้วย อวดเรื่องบ้านเรื่องรถ ตายไปแล้วก็เป็นของคนอื่น แต่อวดเรื่องสุขภาพแข็งแรงจะดีกว่า อวดการกินหรูอยู่สบาย อวดร่ำอวดรวย แต่เบื้องหลังคือ การเป็นหนี้พอกหางหมู อยู่แบบอด ๆ อยาก ๆ

สุขภาพที่แข็งแรงเป็นหน้าที่ของทุกคน ดูแลร่างกายของตัวเองให้ดี รักษาจิตใจให้งดงาม มองโลกในหลากหลายมุมมอง ปรับทัศนคติเพื่อดำเนินชีวิตตามแนวทางของเราที่มีความสุข ให้สิ่งดีงามออกมาจากตัวเรา อย่าทำให้ภายในจิตวิญญาณของเราสกปรก เหมือนดั่งที่พระวาจาตักเตือนเราในวันนี้ “สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน จากภายในคือจากใจมนุษย์นั้นเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การฆ่าคน การมีชู้ ความโลภ การทำร้าย การฉ้อโกง การสำส่อน ความอิจฉา การใส่ร้าย ความหยิ่งยโส ความโง่เขลา สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากภายใน และทำให้มนุษย์มีมลทิน” มาทำให้วิหารในตัวเราสะอาดเป็นที่ประทับของพระเจ้า แล้วเราก็จะเป็นคนที่มีความสุขทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ตลอดไป....

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2567

ณ สถานีนี้

 

ณ สถานีนี้

>>> เราล้วนมีที่ที่เหมาะสมสำหรับเราเสมอ <<<

            วัดเซนต์หลุยส์ของเราเป็นวัดที่อยู่ใจกลางเมือง อยู่ท่ามกลางย่านธุรกิจต้น ๆ ของประทศไทย บนถนนสาทรใต้ เมื่อเป็นเช่นนี้บนถนนสายนี้จึงถือว่าเป็นถนนที่การจราจรคับคั่งที่สุด รถราติดมากที่สุด บางครั้งบางเวลาใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมง ๆ แม้ว่าจะมีรถไฟฟ้า BTS ผ่าน และอยู่กลางระหว่างสถานีสุรศักดิ์ และสถานีเซนต์หลุยส์ ทำให้การเดินทางจะง่ายขึ้นมาบ้าง และทุกครั้งที่ใช้บริการลงสถานีเซนต์หลุย์ ก็อดที่จะภาคภูมิใจไม่ได้ที่ชื่อนักบุญหลุยส์เป็นสถานี ที่รับส่งผู้คนมากมายในแต่ละวัน ก็เหมือนกับตอนที่ท่านนักบุญมีชีวิตและเป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ท่านนักบุญก็ดำเนินชีวิตอย่างงดงามตามบทบาท และช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ที่มาพึงท่าน แม้กระทั่งคนในครอบครัวที่ท่านนักบุญดูแลอย่างใกล้ชิด สถานที่นี้จึงเป็นต้นแบบของการทำงานเพื่อผู้อื่น นำผ่านคนอื่นถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

กษัตริย์หลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส เป็นองค์รัชทายาทสืบราชสมบัติในขณะที่มีพระชนมายุเพียง 11 ปี เมื่อพระราชบิดาจากโลกนี้ไป พระนางบลองซ์แห่งคาสตรีย์ ทรงเป็นทั้งพระราชมารดา และผู้สำเร็จราชการ พระนางทรงอบรมเลี้ยงดูให้เป็นแบบอย่างของกษัตริย์คริสตังที่ดี เมื่อมีพระชนมายุ 19 พรรษา พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ทรงอภิเษกสมรสกับมาร์เกอริคแห่งโพรวองซ์ ทรงรักพระมเหสีมาก และทรงดำเนินชีวิตครอบครัวในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้า และทรงสัตย์ซื่อต่อพระมเหสีจนตลอดชีวิต พระเจ้าหลุยส์ทรงเลี้ยงดูบุตร ธิดาทั้ง 10 องค์ตามแบบอย่างคริสตังที่ดี

ทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์หลุยส์ที่ 9 พระปรีชาญาณและบุคลิกที่ดีเด่นของพระองค์ เป็นที่เล่าขานกันทั่วทวีปยุโรป โดยเฉพาะพระปรีชาญาณในการตัดสินใจให้ความยุติธรรมแก่ผู้คนทั้งในและนอกประเทศ เพื่อให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรม เป็นประจักษ์พยานในเรื่องนี้เป็นอย่างดี พระองค์ทรงรับคำร้องของประชาชนทุกคน และทรงอนุญาตให้ทุกคนเข้าเฝ้าเพื่อทรงตัดสินคดีความได้ทุกคดี นอกจากนั้น พระองค์ทรงตรากฎหมาย ห้ามมิให้ผู้พิพากษาทุกคนรับของกำนัลใด ๆ

    นอกจากเรื่องการให้ความเป็นธรรมแล้ว พระองค์ทรงให้ความรักแก่คนยากจนและผู้เจ็บป่วย ทำแผลดูแลผู้ป่วยด้วยพระองค์เอง ทรงรับประทานอาหารร่วมกับผู้ยากไร้ และคนตาบอด เพราะทรงแลเห็นพวกเขาเป็นพระคริสตเจ้าที่กำลังทนทุกข์ทรมาน การให้เวลาเพื่อช่วยผู้ที่ตกอยู่ในความลำบากต่าง ๆ นั้น มิได้เป็นอุปสรรคใด ๆ ต่อการปกครองพระราชอาณาจักรของพระองค์ ทรงโปรดให้ทรงมีที่พักสำหรับนักศึกษาและคนยากจน และทรงหาวิธีช่วยเหลือให้ประชากรของพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเสมอ

ในปี 1248 ทรงออกเดินทางไปประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นศูนย์อำนาจอาณาจักรมุสลิม กองทัพครูเสดก็พ่ายแพ้ และทรงถูกจับที่เมืองมันซูราห์ กระนั้นก็ดี พระองค์ทรงมิได้แสดงความหวาดหวั่น จนเป็นที่ประทับใจของฝ่ายศัตรู และเมื่อทรงถูกขู่สังหาร พระองค์ทรงตอบอย่างเยือกเย็นว่า “พวกท่านคงฆ่าเราได้แค่ร่างกายเท่านั้น แต่ไม่มีวันฆ่าวิญญาณของเราได้” แม้ว่าการทำสงครามครูเสดครั้งนั้นจะล้มเหลว แต่พระเจ้าหลุยส์ก็ยังถือว่าเป็นผู้ชนะในด้านศักดิ์ศรี พวกมุสลิมประทับใจกับความเชื่อของพระองค์  มีกาฬโรคกำลังระบาด และไม่นานพระองค์ก็ทรงเป็นโรคร้าย และเสร็จสวรรคตในวันที่ 25 สิงหาคม 1270 คำพูดสุดท้ายของพระองค์ตรัสถึงพระคริสตเจ้าว่า “เราจะเข้าสู่เคหาสน์ของพระเจ้า เราจะเข้าไปในพระวิหารอันศักดิ์ของพระองค์ และเราจะกล่าวถึงพระนามของพระองค์”

สถานีนี้คือสถานีเซนต์หลุยส์แบบอย่างของเราทุกคนภายใต้ร่มเงาของท่านนักบุญที่เรามาร่วมมิสซาทุกวันอาทิตย์ เราจึงควรที่จะนำแบบอย่างของท่านสักอย่างสองอย่างไปปฎิบัติ เพื่อว่าเราจะได้เป็นสถานีที่ผู้คนได้พักพิง อาศัย นำทางไปสู่เป้าหมายในชีวิตได้บ้าง ...

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2567

มีค่าแค่ไหน?

 

มีค่าแค่ไหน?

>>> เราต่างอยากมีค่าในสายตาคนอื่น แต่เราให้ค่าใครบ้างในสายตาเรา <<<

ไม่มากก็น้อยในช่วงเวลาที่เราอาศัยอยู่ในโลกกลมใบนี้ เราต่างก็อยากจะให้ใครต่อใครเห็นคุณค่า เห็นความสำคัญของเราบ้าง จนหลายครั้งหลายหนเรานำสิ่งเหล่านี้มากัดกร่อนเวลา มาทำร้ายทำลายความรู้สึกดี ๆ ของเราไป นำมาซึ่งความขุ่นมัวหมอง จ้องแต่จะทำทุกวิถีทางเพราะให้คนยกย่อง อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นที่รู้จัก แต่เรากลับไม่เคยรู้จักตัวเองเลย เราต่างเกิดมามีบทบาท มีหน้าที่มีภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้เรามาสร้างสรรโลกใบนี้ เมื่อจบสิ้นภารกิจก็จากไป พระเจ้าจะยกย่องเราแทนทุกคนหากเราได้ทำตามที่เราเป็น เราคือ ตัวเอกในบทบาทที่ได้รับมา  วันนี้เรารู้หรือยังว่าบทของเราคืออะไร รู้แล้วทำมันให้เต็มความสามารถหรือยัง โดยมิต้องเอาตัวเองมาเป็นตัวตั้ง โดยมิต้องเอามาตรฐานของคนอื่นมาแบกรับไว้


ชายหนุ่มคนหนึ่งถามปราชญ์ว่า “บางคนยกย่องฉันว่าเป็นอัจฉริยะ ในขณะที่บางคนบอกว่าฉันเป็น คนโง่”

ปราชญ์ถามชายหนุ่มว่า “เขามีทัศนคติอย่างไร” แต่ชายหนุ่มกลับสับสน ปราชญ์ผู้นั้นจึงกล่าวว่า “ในสายตาของชาวนา ไม้ก็ใช้ก่อไฟได้ ในมือของช่างไม้ ก็ทำเป็นเครื่องเรือนได้ และถ้าอยู่ในมือของช่างแกะสลัก ก็ทำเป็นงานศิลปะได้

เป็นปกติวิถีที่บางคนจะดูถูกเรา และมีบ้างบางคนจะยกย่องเรา แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ตัวเองให้มาก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิต เรามักจะใส่ใจคำพูดและความคิดเห็นของผู้อื่นเสมอ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ จนไปด้อยค่า “ตัวตน” ที่มีพระเจ้าอยู่ภายใน จึงมิเคยพบสวรรค์ในแผ่นดินนี้

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2567

เหตุใดใยต้องหาเหตุผล

 

เหตุใดใยต้องหาเหตุผล

>>> บางเรื่องหากทำแล้วงดงามก็ไม่ต้องถามหาเหตุผล ทำไปเถอะ <<<

ในสังคมที่ปลูกฝังให้เรามั่นใจในตัวเองไปเสียทุกเรื่อง บ่อยครั้งก็ทำให้เราเสียสิ่งดี ๆ ไปจากชีวิต เสียโอกาส เสียเพื่อน เสียความรู้สึก หรือแม้กระทั่งเสียเวลา หากมาลองไตร่ตรองทบทวนหนทางที่ผ่านมา เราถือมั่นเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ทำอะไรก็ถูกหมด คอตั้งบ่าอย่าริมาโต้เถียง อย่าเอาเหตุผลมาอ้าง และไม่เคยจะ “ขอโทษ” ใครก่อน เพราะคิดว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นถูกต้องที่สุด ขอโทษไปก็ถือว่ายอมแพ้ เราต้องชนะ เหตุผลร้อยพันยกมาอ้าง ข้อมูลหมื่นแปดยกมาชี้แจง ต่างคนต่างเป็นเช่นนี้ ไม่มีใครยอมใคร จากนั้นก็โกรธเคืองกัน หน้าไม่มอง เงาไม่เหยียบ เห็นกันผ่านกันไปเสมือนเป็นอากาศธาตุ ในใจมีแต่คำว่า “เหตุใดใยต้องขอโทษก่อนเล่า ??

ใช่หรือไม่ “ขอโทษ” คือ คำกล่าวของคนที่ทำความผิด เป็นความเข้าใจสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับชีวิตคู่ เพื่อนมิตรสหายหรือครอบครัว บางครั้งก็ต้องพูดออกมา ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีที่มาและที่ไป ไม่มีเหตุและผลที่ต้องถามหา เพราะต่อให้เถียงกันจนชนะด้วยเหตุผลของใครคนใดคนหนึ่ง ผลลัพธ์ก็ คือ แพ้ราบคาบด้วยกันทั้งสองฝ่าย เอาเข้าจริงมันเป็นความต้องการที่แท้จริงของคนทั้งสองฝ่ายหรือไม่? คำตอบ คือ ไม่เลย แต่...ทำไมเวลาไม่เข้าใจกัน กลับไม่กล้าขอโทษอีกฝ่ายหนึ่งล่ะ? คำตอบ คือ เพราะต่างมีทิฐิ นั่นไง 


ลูกชาย : พ่อครับ ผมจะแต่งงานนะครับ           คุณพ่อ : แกต้องขอโทษพ่อก่อน!

ลูกชาย : ทำไมผมต้องขอโทษล่ะครับ?            คุณพ่อ : แกขอโทษก่อนเถอะน่า!

ลูกชาย : เพราะอะไร? ผมผิดอะไรครับพ่อ?     คุณพ่อ : แกขอโทษนะถูกแล้ว!

ลูกชาย : ผมทำอะไรผิดเหรอครับพ่อ?             คุณพ่อ : ขอโทษก่อน!

ลูกชาย : ทำไมครับ?                                        คุณพ่อ : ขอโทษพ่อก่อน!

ลูกชาย : พ่อบอกเหตุผลมาก่อนว่าเพราะอะไร?  คุณพ่อ : ขอโทษมาก่อน!

ลูกชาย : ผมอยากรู้ว่าผมทำผิดอะไรครับพ่อ?  คุณพ่อ : ขอโทษก่อน!

ลูกชาย : ก็ได้ครับ ผมขอโทษพ่อครับ!            คุณพ่อ : ตอนนี้แกแต่งงานได้แล้ว! นี่เป็นบททดสอบแรกก่อนที่แกจะแต่งงาน เมื่อไหร่ที่แกรู้จักขอโทษโดยที่ไม่ต้องรู้ถึงสาเหตุและเหตุผล แกมีคุณสมบัติในการมีครอบครัว ชีวิตครอบครัวจะยั่งยืน จำบททดสอบนี้ให้ดี

หัวใจที่มีความรักนั้น ย่อมขอโทษได้ แม้กระทั่งรู้ว่าเราไม่ผิด หัวใจที่เมตตานั้นย่อมอภัยได้ในทุกการขอโทษ แม้ความผิดที่อีกฝ่ายทำนั้นไม่น่าให้อภัยก็ตาม ข้อคิดอีกประการสำหรับเรา ผู้ที่บางครั้งบางเวลาไม่ต้องการหาเหตุผล เพราะมันมีเหตุผลในตัวมันเองอยู่แล้ว “หากใครคนใดคนหนึ่งขอโทษอีกฝ่ายหนึ่งก่อน จงรู้ไว้ เขาอาจไม่ใช่ฝ่ายผิด! แต่เพราะเขารักอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่า ยอมลดความเป็นตัวของตัวเองลง และแน่นอน หากเขาผิดแล้วเขาขอโทษ นั่นแปลว่า เขารู้ผิดและอยากแก้ไข บางทีเราก็ต้องรู้จักที่จะถนอมความรู้สึกของกันและกัน ยอมให้อภัยก่อน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเอ่ยคำขอโทษ อีกฝ่ายหนึ่งต้องพร้อมให้อภัย ให้โดยไม่ติดใจหรือคิดแค้นเคือง  หากเราจะรักษาความสัมพันธ์แบบนี้ได้ในทุกกรณี รู้จักที่จะขอโทษ รู้จักที่จะอภัยกัน เราจึงจะมีสันติสุขในจิตใจ ในขณะที่สังคมโลกกำลังวุ่นวาย ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง กระหายหาสงครามอยู่ทุกวินาทีเช่นนี้ ใยเราต้องสร้างสงครามขนาดย่อม ๆ กันเองด้วยเล่า? อย่าใช้เหตุผลนำพาชีวิต หันมาใช้ความรักเป็นแสงส่องนำทาง เพื่อเราจะได้เดินไปพบกับพระเจ้า โดยมิต้องเตรียมหาเหตุผลใด ๆ ให้เหนื่อยอีก เมื่อวันนั้นที่มาถึง...

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567

สุขของกันและกัน

 

สุขของกันและกัน

>>> อย่าให้ความสุขของเราเป็นดาบไปทำร้ายคนรอบตัวเรา <<<

เราวัดความสุขกันจากอะไร? เราวัดจากการทำให้ตัวเรามีความสุข ใช่หรือไม่ อันนี้ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะบางเวลา “สุขเราแต่กลายเป็นทุกข์ชาวบ้านก็มี” วัดจากสิ่งภายนอกหรือ? คนที่สวยคนที่หล่อไม่แน่เสมอไปว่าครอบครัวจะมีความสุขุม คนที่ครอบครัวมีความสุขไม่เสมอไปว่า จะมีการงานที่ดีมีความมั่นคง คนที่การงานดีมั่นคงไม่เสมอไปว่า จะมีความสุขและมีอิสระ ในการดำเนินชีวิตของเรานั้นมีทั้งด้านทุกข์และด้านสุข แต่จะให้สุขที่แท้จริงได้นั้น ต้องเป็นการปันสุขให้คนอื่นด้วย โดยที่ไม่หวังแต่ตัวเราเองฝ่ายเดียว

ในห้องเรียนคุณครูคนหนึ่งต้องการสอนเรื่องการแบ่งปันความสุขภายในห้อง วันหนึ่งคุณครูจึงแจกลูกโป่งแล้วให้ทุกคนเป่าลูกโป่งของตัวเองให้สวยงามตามใจชอบ พร้อมทั้งเขียนชื่อของต้องเองไว้บนลูกโป่งใบนั้น จากนั้นก็ปล่อยลูกโป่งลอยละล่องอยู่เต็มห้อง แล้วให้ทุกคนออกมายืนรอหน้าห้อง จนเมื่อคุณครูให้สัญญาณ ให้ทุกคนเข้าห้องหาลูกโป่งที่มีชื่อของตัวเอง ผ่านไป 15 นาที ทุกคนจึงหาได้ครบ


คุณครูบอกว่าเราใช้เวลานานเกินไป จากนั้นก็ให้ทุกคนปล่อยลูกโป่งไว้ในห้องเหมือนเดิม แล้วทุกคนก็ออกมารอหน้าห้อง ครั้งนี้คุณครูบอกว่า “ให้เราเข้าไปเจอลูกโป่งชื่อใครก็ได้หยิบแล้วนำไปให้คนนั้นทันที”ในครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีทุกคนได้รับลูกโป่งของตัวเองหมดทั้งห้อง

คุณครูสรุปกิจกรรมให้เด็กนักเรียนฟังว่า “ลูกโป่งก็เหมือนความสุข หากเรามัวแต่หาแต่ของตัวเองก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะพบเจอ แต่หากเรารู้จักที่จะปันสุขให้คนอื่นก่อน เราก็จะได้รับความสุขกลับมาอย่างรวดเร็ว และความสุขนั้นก็จะอยู่กับเรานานขึ้นด้วย”

ในโลกยุคปัจจุบันเราเห็นความสุขเต็มไปหมด เพราะต่างคนต่างอวดความสุขของตัวเองออกหน้าสื่อโซเชี่ยล แต่จะสุขหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้เพราะโลกออนไลน์จะมีความจริงอยู่สักเท่าไหร่กันเชียว ส่วนมากเป็นการสร้างสุขสร้างเรื่องราวเพื่อนำมาโชว์มาโอ้อวดกันก็เท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ เราต่างมีความสุขเพื่อตัวเอง โดยมักจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่มีในครอบครอง เพราะอยากได้แต่ไม่อาจได้ จึงคิดว่าสิ่งนั้นต้องล้ำค่าเป็นแน่ แต่ครั้นพอได้ครอบครองจริง ๆ อาจไม่รู้สึกถึงความล้ำค่านั้นอีกต่อไป เที่ยวออกเสาะหาสิ่งล้ำค่าอันใหม่ต่อไป เพื่อนำมาอวดผู้คนอยู่ร่ำไป ต้องใช้เวลาสิ้นเปลืองไปเรื่อย ๆ และมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าในสิ่งที่มีอยู่ในขณะนี้เลย

บ่อยครั้งแค่พอใจก็ได้ความสุขแล้ว ที่เราเป็นทุกข์ก็เพราะใส่ใจมากเกินไป อันนั้นจะไขว่คว้า อันนี้ก็จ้องจะหา อันนั้นก็จะควบคุม อันนี้ก็จะเก็บ มองหาแต่เอาเข้าตัวเอง ยึดครองเพื่อเสพสุขส่วนตัว ชีวิตคนเราไม่มีใครสมหวังในทุกสิ่ง เพราะมีได้ก็ต้องมีเสีย มีพบก็ต้องมีจาก มีรักก็ต้องมีเลิก ไม่มีสิ่งใดจะราบรื่นไปตลอด เรามักหลงเชื่อว่า “ยังมีเวลาอีกมาก” แต่บางเวลาก็พลาดไป เรามักจะกังวลว่าครั้งต่อไปจะทำยังไง? วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร? แต่...ครั้งต่อไปและวันข้างหน้าจะยังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า เราไม่สามารถจะรู้ได้ ฉะนั้น วันนี้ เวลานี้ ตอนนี้อะไรปันได้ก็ปัน ก็แบ่งออกมาเพื่อให้คนรอบข้างมีความสุข มีรอยยิ้ม อย่าเก็บความสุขไว้เพื่อตัวเอง อิ่มสุขเพียงตัวคนเดียวก็จะสำลักสุขจนกลายเป็นทุกข์ได้ ความสุขนั้น คือ การสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับตัวเราเอง และแบ่งปันกับคนอื่น โดยเฉพาะคนใกล้ตัวเราวันนี้เขามีความสุขเวลาได้อยู่กับเราหรือเปล่า.....