ทำไปเพราะอะไร
>>> บางเวลาเราก็ทำอะไรลงไป ตามที่เคยทำมา โดยไม่รู้ว่าทำไปทำไม..?<<<
ความคุ้นชินในวิถีชีวิตของเรานั้นมีมากมาย
บางคนตื่น ไปทำงาน กลับบ้าน นอน ตื่นอีกแล้ว วนหลูปอยู่เช่นนี้ เป็นปกติวิสัย ยิ่งในยุคสมัยที่เราพากันเสพติดมือถือ
ว่างไม่ได้ต้องหยิบมาเปิด รูดขึ้นรูดลง เปิดแอพนั่นแอพนี่ ใช้อยู่ไม่กี่แอพ เป็นวัน
ๆ วน ๆ อยู่เช่นนั้น มีชีวิตเหมือนเครื่องอัตโนมัติ ทำแบบเดิม ๆ ใครทำอะไรกันเราก็ทำตาม
ซ้ำยังไม่เคยคิดว่า “ทำไปเพื่ออะไร” หากเรามีสติ ใช้พระจิตนำทางบ้าง ใช้ชีวิตแต่ละวันแบบรู้ว่าทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร
ให้ความเคยชินเป็นสิ่งที่มีคุณค่าขึ้นมา อย่าดำเนินชีวิตแบบอัตโนมัติ เพราะชีวิตเราเป็นของประทานจากพระเจ้า เราควรใช้อย่างมีเป้าหมาย และมีสำนึกอยู่ตลอดเวลา
มีเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งดูแม่ของเธอเตรียมปลาเพื่อทำอาหารเย็น แม่ของเธอตัดหัวปลาและหางปลาออกแล้ววางลงในถาดอบ
เด็กหญิงถาม
“ทำไมคุณแม่จึงตัดหัวปลาและหางปลาออกคะ”
คุณแม่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า
“แม่ทำแบบนี้มาตลอดเป็นแบบที่คุณยายทำจ๊ะ”
เด็กหญิงยังไม่พอใจกับคำตอบจึงไปเยี่ยมคุณยายแล้วถามคำถามเดียวกัน
คุณยายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ยายก็ไม่รู้จ๊ะ
แม่ของยายก็ทำแบบนั้นมาตลอด”
เด็กหญิงและคุณยายจึงพากันไปเยี่ยมยายทวดเพื่อค้นหาว่าเธอจะรู้คำตอบหรือไม่
ยายทวดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“เพราะถาดสำหรับอบของยายทวดมันเล็กเกินกว่าจะใส่ปลาทั้งตัวได้จ๊ะ”
นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า
บ่อยครั้งเราก็ทำ ๆ ไปอย่างนั้นแหละ ใช่หรือไม่ เราคริสตชนบางทีเรามาวัดร่วมพิธีมิสซาวันอาทิตย์ เราก็มักมาเวลาเดิม ๆ มานั่งในที่เดิม ๆ
ถือว่าเป็นที่ประจำของเรา เสร็จแล้วก็กลับบ้านจำอะไรไม่ได้เลยว่า
คุณพ่อเทศน์เรื่องอะไร พระวาจากล่าวถึงเรื่องอะไร เรามาวัดเพื่อมาหรือเปล่า (ทำตามพระบัญญัติ)
เรามาวัดแล้วเราได้อะไรบ้าง??? เรามาทำไม
เราลองตั้งคำถามแล้วลองหาคำตอบดู เหมือนเด็กหญิงคนนี้ที่พยายามหาคำตอบ...
เป็นเรื่องง่ายที่จะทำบางสิ่งบางอย่างต่อเนื่องไปเพียงเพราะนั่นคือวิธีที่ทำมาโดยตลอด เราจึงไม่กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ ความเคยชินมันเลยเหมือนเครื่องพันธการ เป็นเหมือนโซ่ที่คอยฉุดรั้งเราอยู่ตลอดเวลา หากเราลองหาคำตอบให้เจอ เราจะกล้าก้าวทำในสิ่งใหม่ในวิถีแบบเดิม เราจะพบว่าบางครั้งชีวิตเราก็ไม่ควรเลียนแบบเส้นทางของผู้อื่น เราควรเชื่อในพระพรของเราที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดที่ผู้คนกำหนดไว้ ทำให้ชีวิตเราเป็นพื้นที่ที่ดีงาม เป็นพื้นดินที่สมบูรณ์ เพื่อให้พระวาจาของพระเจ้าเติบโตขึ้น และเป็นร่มเงาให้คนอื่นได้พักพิงบ้างในบางครั้งบางคราว ด้วยการเริ่มต้นใส่ใจในการกระทำกิจกรรม พยายามตั้งคำถาม ไตร่ตรองก่อนนอนว่า “สิ่งที่เราทำไปวันนี้เพื่ออะไร ได้อะไรที่ดี ๆ มาบ้าง” ที่สุดแล้ว เราต้องยึดมั่นว่า สิ่งที่เราทำนั้นเพื่อเพิ่มพูนพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า หาใช่ทำเพื่อโอ้อวดตัวตนของเรา แล้วเราจะได้เป็นคริสตชนคนของพระเจ้าอย่างแท้จริงมิใช่สิ่งปลอมแปลงแฝงเร้นอยู่ในพระศาสนจักร….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น