วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2567

ทำไปเพราะอะไร

 

ทำไปเพราะอะไร

>>> บางเวลาเราก็ทำอะไรลงไป ตามที่เคยทำมา โดยไม่รู้ว่าทำไปทำไม..?<<<

ความคุ้นชินในวิถีชีวิตของเรานั้นมีมากมาย บางคนตื่น ไปทำงาน กลับบ้าน นอน ตื่นอีกแล้ว วนหลูปอยู่เช่นนี้ เป็นปกติวิสัย ยิ่งในยุคสมัยที่เราพากันเสพติดมือถือ ว่างไม่ได้ต้องหยิบมาเปิด รูดขึ้นรูดลง เปิดแอพนั่นแอพนี่ ใช้อยู่ไม่กี่แอพ เป็นวัน ๆ วน ๆ อยู่เช่นนั้น มีชีวิตเหมือนเครื่องอัตโนมัติ ทำแบบเดิม ๆ ใครทำอะไรกันเราก็ทำตาม ซ้ำยังไม่เคยคิดว่า “ทำไปเพื่ออะไร” หากเรามีสติ ใช้พระจิตนำทางบ้าง ใช้ชีวิตแต่ละวันแบบรู้ว่าทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร ให้ความเคยชินเป็นสิ่งที่มีคุณค่าขึ้นมา อย่าดำเนินชีวิตแบบอัตโนมัติ เพราะชีวิตเราเป็นของประทานจากพระเจ้า เราควรใช้อย่างมีเป้าหมาย และมีสำนึกอยู่ตลอดเวลา

มีเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งดูแม่ของเธอเตรียมปลาเพื่อทำอาหารเย็น แม่ของเธอตัดหัวปลาและหางปลาออกแล้ววางลงในถาดอบ

เด็กหญิงถาม “ทำไมคุณแม่จึงตัดหัวปลาและหางปลาออกคะ”

คุณแม่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “แม่ทำแบบนี้มาตลอดเป็นแบบที่คุณยายทำจ๊ะ”

เด็กหญิงยังไม่พอใจกับคำตอบจึงไปเยี่ยมคุณยายแล้วถามคำถามเดียวกัน คุณยายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ยายก็ไม่รู้จ๊ะ แม่ของยายก็ทำแบบนั้นมาตลอด”

เด็กหญิงและคุณยายจึงพากันไปเยี่ยมยายทวดเพื่อค้นหาว่าเธอจะรู้คำตอบหรือไม่ ยายทวดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า

“เพราะถาดสำหรับอบของยายทวดมันเล็กเกินกว่าจะใส่ปลาทั้งตัวได้จ๊ะ”

นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า บ่อยครั้งเราก็ทำ ๆ ไปอย่างนั้นแหละ ใช่หรือไม่ เราคริสตชนบางทีเรามาวัดร่วมพิธีมิสซาวันอาทิตย์ เราก็มักมาเวลาเดิม ๆ มานั่งในที่เดิม ๆ ถือว่าเป็นที่ประจำของเรา เสร็จแล้วก็กลับบ้านจำอะไรไม่ได้เลยว่า คุณพ่อเทศน์เรื่องอะไร พระวาจากล่าวถึงเรื่องอะไร เรามาวัดเพื่อมาหรือเปล่า (ทำตามพระบัญญัติ) เรามาวัดแล้วเราได้อะไรบ้าง???  เรามาทำไม เราลองตั้งคำถามแล้วลองหาคำตอบดู เหมือนเด็กหญิงคนนี้ที่พยายามหาคำตอบ...


เป็นเรื่องง่ายที่จะทำบางสิ่งบางอย่างต่อเนื่องไปเพียงเพราะนั่นคือวิธีที่ทำมาโดยตลอด เราจึงไม่กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ ความเคยชินมันเลยเหมือนเครื่องพันธการ เป็นเหมือนโซ่ที่คอยฉุดรั้งเราอยู่ตลอดเวลา หากเราลองหาคำตอบให้เจอ เราจะกล้าก้าวทำในสิ่งใหม่ในวิถีแบบเดิม เราจะพบว่าบางครั้งชีวิตเราก็ไม่ควรเลียนแบบเส้นทางของผู้อื่น เราควรเชื่อในพระพรของเราที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดที่ผู้คนกำหนดไว้ ทำให้ชีวิตเราเป็นพื้นที่ที่ดีงาม เป็นพื้นดินที่สมบูรณ์ เพื่อให้พระวาจาของพระเจ้าเติบโตขึ้น และเป็นร่มเงาให้คนอื่นได้พักพิงบ้างในบางครั้งบางคราว ด้วยการเริ่มต้นใส่ใจในการกระทำกิจกรรม พยายามตั้งคำถาม ไตร่ตรองก่อนนอนว่า “สิ่งที่เราทำไปวันนี้เพื่ออะไร ได้อะไรที่ดี ๆ มาบ้าง” ที่สุดแล้ว เราต้องยึดมั่นว่า สิ่งที่เราทำนั้นเพื่อเพิ่มพูนพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า หาใช่ทำเพื่อโอ้อวดตัวตนของเรา แล้วเราจะได้เป็นคริสตชนคนของพระเจ้าอย่างแท้จริงมิใช่สิ่งปลอมแปลงแฝงเร้นอยู่ในพระศาสนจักร….

ไม่มีความคิดเห็น: