จิตประดิษฐ์
>>> มีแค่ปัญญาประดิษฐ์ก็พอ อย่าถึงขั้นจิตวิญญาณประดิษฐ์เลย
<<<
ดูเหมือนเรากำลังจะผ่านยุคแห่งการสื่อสารไร้พรมแดนจาก “สังคมออนไลน์” เข้าสู่ยุค
“ปัญญาประดิษฐ์ AI” ซึ่งเริ่มออกมาให้ใช้และพูดถึงกันมากยิ่งขึ้น และอีกไม่นานก็จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการทำงาน
การเรียนการสอน การดำเนินชีวิต และนี่ขนาดสังคมกำลังเริ่มต้นปัญญาประดิษฐ์ที่ส่งต่อมาจากยุคออนไลน์
เรายังเจอ “มิจฉาชีพ” ที่แฝงตัวเข้ามาหากินกับการใช้โซเชียลมีเดียหลอกลวงผู้อื่นแบบไม่เกรงกลัวกฎหมายเต็มบ้านเต็มเมือง
กลายเป็นสังคมแห่งการหลอกลวง ไว้ใจใครไม่ได้ แม้แต่ตัวเอง การหลอกลวงเหยื่อบนโลกออนไลน์เพิ่มขึ้นทุกวัน ตั้งแต่การหลอกให้สั่งซื้อของออนไลน์
หลอกลงทุนในธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ชวนทำบุญบริจาค หลอกให้เงินกู้
แม้แต่สวมรอยเป็นคนรู้จักหลอกยืมเงิน “มิจฉาชีพ” สอดส่องพฤติกรรมผู้คน
และพัฒนาทักษะการหลอกได้ก้าวล้ำด้วยการใช้เทคโนโลยีผสมกับเห็นกิเลสในมนุษย์
เทคโนโลยีไม่ใช่ยาวิเศษที่ตอบปัญหาได้ทุกปัญหา และไม่ใช่ทุกปัญหาจะได้รับการแก้ไขด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ต้นตอของปัญหามาจากความไม่มีประสิทธิภาพของจิตใจคนเรามากกว่า จิตสำนึกของคนเราอ่อนด้อยลงทุกที เอาแต่ประโยชน์ส่วนตน เอาแต่ความสบายของตัวเอง ก็เลยนำมาซึ่งความโลภ ความหลง หลอกตัวเองว่าเก่ง ว่าเท่ ว่าเลิศ โชว์ความร่ำความรวย อวดความสุขจอมปลอม อวดดีอวดเด่นอวดดัง ทั้ง ๆ ที่ชีวิตกลวงโบ๋ และเคว้งคว้าง
มนุษย์เรามีสมองสร้างปัญญา และปัญญานี่แหละนำไปสู่การมีจิตสำนึก เพื่อรักษาคุณภาพของจิตวิญญาณ
และหากว่าเราใช้ปัญญาประดิษฐ์ลิขิตชีวิตโดยขาดการปลูกฝังจิตใจเสียแล้ว
สังคมวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร งานของพระจิตเจ้าคงจะหนักเอาการ แน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นมาย่อมมีทั้งในมุมข้อดี
ข้อเสีย ความท้าทาย การปลูกฝังจิตสำนึกควรต้องเริ่มต้นจากตัวเราเอง
ซื่อสัตย์ต่อตัวเรา สร้างพระวิหารในจิตใจเราให้งดงาม
ปัญญาประดิษฐ์หรือจะสู้จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งได้ มาปลุกจิตวิญญาณในวันที่เต็มไปด้วยการหลอกลวง
อย่าไปประดิษฐ์จิตวิญญาณ
แต่จงรักษาไว้อย่างมั่นคง.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น