วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ขาว ดำ

 

ขาว ดำ

>>> ยกย่องกันในความดีในวันที่มีชีวิต ดีกว่ามานั่งสรรเสริญในวันร่างไร้วิญญาณ <<<

พอวงปีชีวิตเพิ่มมากขึ้น เราก็มักจะต้องไปงานขาวดำมากขึ้น เห็นการจากลาลับโลกนี้ไปมากขึ้น แต่ก็แปลก...มันทำให้เราทำใจได้ ปลงตกมากขึ้นตามไปด้วย สังเกตเห็นว่าในงานเช่นนี้นั้นผู้คนมักจะใส่ชุดดำมากกว่าชุดขาว เหตุเพราะอาจจะเป็นการแสดงร่วมทุกข์กับผู้สูญเสียคนอันเป็นที่รัก


ในชีวิตที่เหลืออยู่ของเราล้วนมีขาวดำเช่นกัน
ด้านขาวเป็นด้านสว่าง ด้านแห่งแสงความดีงาม ด้านดำเป็นด้านมืดด้านไม่งาม ด้านเศร้าโศกทุกข์เข็ญ ด้านนี้เรามักไม่ใคร่ชอบให้ใครเห็น แต่...คนเราส่วนมากกลับมองเห็นด้านมืดของคนอื่นมากกว่าความสว่าง มักนำเอาด้านนี้มาติฉินนินทา มากล่าวร้ายต่อกัน ด้านดีงามกลับไม่ค่อยจะยกย่องสรรเสริญกัน ซ้ำร้ายเห็นด้านดีของคนอื่นกลับอิจฉา อนิจจา ทำไมเราไม่พูดถึงคนอื่นในด้านดีงามกันบ้าง ไม่เสียหายอะไรถ้าเราเห็นความดีงามแล้วเราชื่นชม ที่เห็นความขาวผุดผ่องแล้วเราสบายใจ

แล้วเราเล่า เราจะให้ความทุกข์ใจหรือความสบายใจต่อคนรอบข้าง โดยไม่ต้องใส่ใจว่าใครจะว่ากล่าวอันใด (มันก็ยากอยู่) เป็นการฝึกฝนสร้างกุศลอีกแบบหนึ่ง เราทำความดีให้ปรากฏออกมาให้คนอื่นรับรู้ โดยไม่ต้องโชว์ดีอวดดี ให้แสงแห่งความงามได้ส่องประกายออกมาเพื่อส่องทางให้กับผู้คน โดยไม่ต้องไปโหยหาแสงให้กับตัวเอง ไม่หิวแสงมาส่องตัว เป็นเราที่ต้องส่องแสงจากตัวเราเพื่อคนอื่น

ในสังคมวันนี้คนหิวแสงมีเยอะแล้ว ต่างคนต่างออกมาเรียกร้องให้คนอื่นเอาแสงมาส่อง เราต้องเป็นแสงส่องนำทางผู้คน ทำความดีในแบบเรา ตามความสามารถ น้อมรับในตัวตนของเราตามแบบที่เราเป็น ค้นหาวิถีทางแห่งความดีของเราให้พบ แล้วทำด้วยความจริงใจจริงจัง ไม่ต้องหวังมาให้ใครเห็น เพราะเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของโลกนี้ แสงแห่งความดีอย่างไรเสียก็ต้องมีคนเห็น ยิ่งในที่มืดมิดแสงเพียงน้อยนิดย่อมจำเป็น อีกมุมหนึ่งเราก็ต้องมองให้เห็นด้านสว่างของคนอื่นให้มากขึ้น ยกย่องคนทำดี อย่ามัวแต่จ้องมองหาความมืดดำ เพราะมันจะทำให้เรามีแต่มืดมนตลอดไป และจะทำให้ทุกที่ที่เราไปหม่นหมองไปด้วย ไม่ดีกว่าหรือที่เราจะไปไหนแล้วทุกที่ดูขาวสว่างไสว ….

ไม่มีความคิดเห็น: