วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2565

อ่อนน้อมถ่อมวัย

 

อ่อนน้อมถ่อมวัย

>>> คนเราก็อย่างนี้แหละ ตอนเป็นเด็ก ติดแม่-ติดพ่อ ตอนวัยรุ่น ติดเพื่อน

พอเป็นหนุ่ม-เป็นสาว ก็ติดแฟน ครั้นหนุ่มใหญ่ ก็ติดเหล้า-ติดยา-ติดหนี้

พอแก่เฒ่า ก็ติดเตียง ติดโรงพยาบาล”<<<  เปลว สีเงิน

ได้อ่านคอลัมน์ “คนปลายซอย” จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เกี่ยวกับชีวิตคนเราในแต่ละวัย ทำให้ “คนข้างวัด” ต้องมาไตร่ตรองชีวิตวันนี้ว่าเราอยู่ในช่วงวัยไหน แล้วกำลังติดอะไรบ้าง ในวันนี้สิ่งที่เราติดกันงอมแงมในทุกวัย ก็คือ การติดโซเชี่ยล ติดมือถือ นั่งรูด ถู ๆ ไถ ๆ กันได้เป็นวัน ๆ กลับมาเข้าเรื่องในสิ่งที่ได้ไตร่ตรอง และได้พบข้อเขียนอีกหลายบทความที่บังเอิญมีความสอดคล้องกัน

มีนักปราชญ์ท่านหนึ่งถูกถามว่า : สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดในมนุษย์คืออะไร? เขาตอบว่า :  ม นุ ษ ย์..!! พวกเขาเบื่อวัยเด็ก และรีบเร่งที่จะเติบโต แล้วหวังให้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง  พวกเขาสูญเสียสุขภาพเพื่อหาเงิน แล้วใช้มันเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ พวกเขาครุ่นคิดกับอนาคต ด้วยความวิตกกังวล แล้วลืมปัจจุบันจนไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต!!  และพวกเขาใช้ชีวิตเหมือนจะไม่มีวันตาย แล้วพวกเขาก็ตาย ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยมีชีวิตอยู่เลย!! (Cr : Fattah Nophirun)

ตอนเป็นเด็กเคยร้องไห้ เพราะอยากได้สิ่งของ พอตอนโตขึ้น จึงรู้ว่า ต่อให้ร้องไห้ให้ตาย ก็ไม่มีวันได้ทุกสิ่ง ต้องลงมือทำด้วยตัวเองเท่านั้น เพื่อจะได้แค่บางสิ่ง ตอนเป็นเด็กเราเคยแกล้งโกหก คนที่รักเราว่าเราไม่สบาย  แต่พอโตขึ้น เรากลับตั้งใจโกหก พวกเค้าว่าเราสบายดี  ตอนเป็นเด็กสิ่งที่ดีที่สุด คือ การได้รับทุกอย่าง จากคนที่รักเรา ตอนเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่ดีที่สุด คือ การได้ให้ทุกอย่าง กับคนที่เรารัก โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ตอนเป็นเด็กไม่ใส่ใจอะไรกับชีวิตมาก อยากทำอะไรให้ทำ ไม่ต้องสนใจสายตาใครนัก

ตอนเป็นผู้ใหญ่ วิธีคิดเปลี่ยนไป แต่ตอนนี้กว่าจะเข้าใจ ว่าวิธีคิดแบบนั้นใช่ที่สุดแล้ว ช่วงตอนเป็นเด็กเคยคิดว่า อยากโตเป็นผู้ใหญ่ให้เร็วที่สุด ตอนโตขึ้นจึงรู้ความจริงว่า ตอนเป็นเด็กมีความสุขที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า อายุตอนไหนถ้าปล่อยวางได้ ก็มีความสุขกับลมหายใจได้ไม่ต่างกัน  (Cr :Thammasak Orachoonwong)

เมื่ออายุเราเริ่มมากขึ้น จนเข้าหลักสี่ ย่างเข้าหลักห้า หรือกำลังจะถึงหลักหก เราจะเกิดอาการเหล่านี้ ความเป็นนักเลงของเราจะเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เราจะไม่ได้ไปเตะ ตี ต่อยชกกับใครที่ไหน แต่เราจะเริ่มเตะขาโต๊ะ เตะขาเก้าอี้ เตะขาเตียง เตะขาโซฟา เตะขอบบันใด ฯลฯ อะไรเตะได้เตะหมด ทั้งที่มันอยู่ตรงนั้นมานานแสนนานและไม่ได้มาขวางทางอะไรเราด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังอุตส่าห์ไปเดินเตะมัน เราจะเริ่มไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรมาทำให้เรารกสมองมากมายและยาวนาน เพราะเราจะจำได้เดี๋ยวเดียว แล้วก็ลืม ลูกบอกเมื่อกี้ ไม่ทันเกินสามนาที ลืมไปแล้ว เราจะจำได้เฉพาะเรื่องราวในอดีตอันไกลโพ้น ส่วนเมื่อกี้ลืมไปแล้ว เราจึงไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรใหม่ๆมาให้จดจำจนรกสมอง  เพราะลืมไปแล้ว

ลูกหลานจะจำในสิ่งที่เราพูดให้ฟัง ได้อย่างแม่นยำไม่มีวันลืม เพราะเราจะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก พูดแล้วก็พูดอีก พูดจนลูก ๆ จำได้แม่นยำและรู้สึกรำคาญที่เราพูดเรื่องเดิม ๆ และพูดย้ำคิดย้ำทำ ตัดความฝันและความทะเยอทะยานของตนได้ง่ายขึ้น เพราะเวลาของการตามล่าฝันมันเลือนลางลงและเหลือน้อยลงทุกที จนไม่คิดจะไปตามล่ามันอีกแล้ว... (จากเพจ สายธาร แห่งปัญญา)

สุดท้ายเรายิ่งเติบใหญ่เรายิ่งต้องถ่อมตัวลง ลดความยึดถือ ซื่อสัตย์ต่อตัวเองให้มาก รักตัวเองให้เป็น และพร้อมที่จะอยู่ในโลกถึงแม้มันจะเปลี่ยนแปลงไป แต่หัวใจเราจะไม่เปลี่ยนตาม

ไม่มีความคิดเห็น: