วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2565

หนึ่งวันที่ผันผ่าน

 

หนึ่งวันที่ผันผ่าน

>>> คนที่เอาชนะคนอื่นได้นั้น คือ คนแข็งแกร่ง

แต่คนที่เอาชนะตัวเองได้ คือ ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง  เล่าจื้อ <<<

ปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่ากลับกลายเป็นเก่าก่อน เก่าเก็บไป เรื่องราววันนี้เปลี่ยนไปมากกว่าวันวาน มีแต่คนที่หัวใจเข้มแข็งหนักแน่นจะยืนยงอยู่ได้อย่างมีความสุข อยู่อย่างไร้กังวล โลกหมุนไปใช้ชีวิตหมุนตาม แต่หาใช่ตามกระแสนั้นตลอดวัน นี่จึงเป็นหัวใจของการดำรงอยู่ คนที่ผันผ่านผ่านเวลามาก่อนเราได้บันทึกคำสอนให้เราเดินตาม แต่บางทีเราก็ลืมเลือนไป โดยเฉพาะคนจีนที่ผ่านความลำบากมามาก ได้มีข้อคิดที่ดีให้พวกเรา อย่ามองข้ามหรือด้อยค่าสิ่งเหล่านี้ หรือมองเป็นเพียงสิ่งโบราณ อย่าดูแคลนคนใกล้ตัวเรา ...


过一天 少一天  ผ่านไป 1 วัน, นั่นคือหดหายไป 1 วัน  过一天 乐一  ผ่านไป 1 วัน, นั่นคือมีสุข 1 วัน  乐一天 赚一  มีสุข 1 วัน, นั่นคือกำไร 1 วัน  山中也有千年  บนป่าเขาเคยมีต้นไม้พันปี   世上难逢百岁   แต่บนโลกมนุษย์, คนอายุร้อยปี แทบหาไม่ได้ 最大限度也就活到百多10万人中才有一个) อย่างเก่งที่มีอายุเกินร้อย, คงมีแค่หนึ่งในแสน  临走时却什么都带不  ขณะจากไป, ก็เอาอะไรไปไม่ได้  所以不必太  ฉะนั้นจงอย่าประหยัดจนเกินไป  该花的钱要   สมควรใช้จ่ายก็ใช้ซะ  该享受的要享  สิ่งใดสมควรเสพสุข, ก็จงเสพซะ  该捐助的要捐  บริจาคได้ก็ทำซะ

不要对儿女幻想太 เราอย่าไปจินตนาการแทนลูกๆ 儿女有孝心,但工作太忙 , 帮不了你  ลูกที่มีความกตัญญู, เขาต้องทำงาน, ไม่ว่างพอที่จะมาช่วยเหลือคุณ  不孝的儿女 许盼你早死,好早日继承你的财产  ส่วนลูกที่ไม่กตัญญู,อาจแช่งให้คุณรีบตายเพื่อจะได้สมบัติไว ๆ  挣钱到何时 何数 才算  การหาเงิน, จะต้องหาถึงเมื่อไหร่, หาจำนวนเท่าไหร่ จึงจะพอ  良田万顷,日食三  มีที่นาเป็นหมื่นไร่, ก็กินแค่สามมื้อ  高楼千间,夜眠八  มีบ้านเป็นพันหลัง, ก็นอนแค่เตียงแปดฟุต  够吃够用就行了,愉快地活  พอกินพอใช้ก็ดีแล้ว, อยู่อย่างมีความสุข  虽然家家有一本难念经   แม้นว่าแต่ละครอบครัวต่างก็มีปัญหาที่ไม่เหมือนกัน

不要和别人比名利 地位 孙如何有出息,等 ไม่ต้องไปเทียบชื่อเสียง หรือฐานะ หรือเทียบลูกเรากับกับคนอื่นเขา  而要比 谁活得更健康-长寿-  แต่ควรเปรียบว่าใครจะมีอายุ วรรณะ สุขะ พละมากกว่ากัน  你无力改变的事,就不必操心,因为操心也无  อย่าไปกังวลเรื่องที่แก้ไขไม่ได้, กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์  只有心境好,每天想愉快的事  มีอารมณ์ที่ดี, คิดแต่เรื่องที่มีความสุข  自己找乐趣,就能天天都过得快乐  หาความเปรมปรีดิ์ให้กับตัวเองทุกวัน

精神好 病不到  สติดี โรคาไม่มา  精神好 病能好  สติดี โรคาหายหน้า  精神好 病早好 สติดี โรคาบอกลา  见阳光适当运 饮食均衡食物多样  เจอแดดบ่อยๆ, ออกกำลังกายพอเหมาะ, ทานอาหารครบหมู่  心情愉快,盼能健康地活二 三十年 จิตใจร่าเริง, แข็งแรง อยู่ไปอีก 20-30 ปี  活得开心就好,不必计较太 เบิกบานใจก็พอแล้ว, อย่าไปตอแยให้มากเรื่อง  是你的,跑不掉也抢不  สิ่งใดที่เป็นของคุณ, ใครก็แย่งไปไม่ได้  不是你的,得到了也会  สิ่งใดที่ไม่ใช่ของคุณ, ถึงได้มาไม่ช้าก็บินหาย

หลายครั้งเราหลงลืม ลุ่มหลงไปกับสิ่งไกลตัว ปล่อยสิ่งใกล้ตัวหว้าเหว่ เรามักดูแคลน ด้อยค่าคนคุ้นชิน ไปยินดีกับคำแนะนำของคนในกระแส ที่ไม่ได้เข้าใจวิถีชีวิตเราดีพอ มีคำสอนมากมายที่จางหายไปเพราะใกล้ตัวเราเกินไป วันหนึ่งที่ผันผ่าน หลายส่งที่ดีงามหล่นหายไปเพราะใจเราอ่อนแอและไขว่คว้าหาสิ่งไกลเกินไป....

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2565

มีความงามทุกเวลา

 

มีความงามทุกเวลา

>>> บางครั้งความปีติก็ทำให้เรายิ้มออกมาได้

แต่ในบางคราวการที่เรายิ้มออกมาก็ทำให้เราเกิดปีติ  ( ติช นัท ฮันต์)

ความสุขเป็นสิ่งประหลาดยิ่ง หาได้ลดน้อยเพราะท่านแบ่งปันแก่ผู้อื่นไม่

บางครั้ง ท่านยิ่งแบ่งปันแก่ผู้อื่นมากขึ้น ความสุขที่ตนเองได้รับก็จะมากยิ่งขึ้น (โกวเล้ง)<<<

แต่ละวันเราจะเกิดความคิดประมาณ 40,000 - 60,000 ความคิด สิ่งที่เราคิดบ่อยที่สุดก็จะเป็นตัวกำหนดชีวิตเรา เราคิดดีความดีก็จะบังเกิดในวิถีประจำวัน แต่ก็นั่นแหละ ในวันที่โลกเราเต็มไปด้วยเรื่องร้าย ๆ มากมายก่ายกอง ใครจะมานั่งคิดดีได้ทั้งวัน ตื่นมาก็เจอโรคร้ายระบาดไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ซ้ำเติมด้วย หมู เห็ด เป็ด ไก่ ไข่ แพง ค่าแรงลด ดูไปแล้วหดหู่ จะยิ้มได้อย่างไร? จะทำให้ชีวิตเบิกบานตลอดทั้งวันได้เช่นไร? จะไม่ให้คิดเรื่องความกลัว ความกังวลได้หรือ!!! ชีวิตจริงวันนี้ เป็นเช่นนี้ ก็ไม่ผิดหรอกที่คิดวิตก แต่สิ่งหนึ่ง คือ เราต้องพยายามอย่าไปจมอยู่ในปัญหา ทั่วโลกต่างก็กำลังประสบพบเจอเหตุการณ์นี้ด้วยกันทั้งนั้น ในร้ายมีดีเสมอ เราจึงต้องหาสิ่งดีนั้นให้พบเจอ ซึ่งมันก็อยู่ในตัวเราเองนั่นแหละ

ในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้นึกถึงชีวิตของ “โยเซฟ” ที่ถูกพี่น้องรวมหัวกัน ขายไปเป็นทาสในประเทสอียิปต์ เพราะความอิจฉาที่พ่อ (ยาโคบ) รักมากกว่าคนอื่น แต่โยเซฟกลับซื่อสัตย์ในเส้นทางของตัวเองและเชื่อว่านี่เป็นหนทางที่พระเจ้าเตรียมไว้  ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะใช้ชีวิตในคุกต่างแดนตลอด 2 ปี โยเซฟไม่เคยท้อถอย แต่กลับเป็นผู้ให้ชีวิตผู้คนด้วยคำปรึกษา ปลอบโยน และด้วยรอยยิ้ม จนวันหนึ่งเมื่อ “ฟาโรห์” ฝันประหลาด 2 เรื่องควบที่แตกต่างกัน  (ปฐมกาล 37- 41)


ฟาโรห์กลุ้มใจและจริงจังกับความฝันมา แต่ก็ไม่มีโหร หมอดูคนใดจะฟันธงลงไปแก้ความหมายของฝันนั้นได้เลย หัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวยเคยเจอโยเซฟในคุก ครั้นเมื่อถูกลงโทษในคดีที่ถูกใส่ร้าย แต่พ้นความผิดมาทำหน้าที่เดิม จึงรีบทูลต่อฟาโรห์ว่ามีคนทำนายฝันได้ ฟาโรห์จึงรีบเรียกตัวโยเซฟมาพบ โยเซฟทำนายความฝันนี้ว่า “7 ปีต่อจากนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์ทั่วแผ่นดินอียิปต์ แต่ 7 ปีหลังจากนั้นจะเกิดการขาดแคลนอาหาร ต้องเตรียมความพร้อม เลือกคนที่ฉลาดคนหนึ่ง ให้เก็บรวบรวมอาหารเพื่อประชาชนจะไม่อดตาย” ท่านฟาโรห์ฟังแล้วเชื่อ จึงให้โยเซฟเป็นผู้รวบรวมอาหารและให้มีอำนาจมากที่สุดต่อจากท่าน

หลังจากนั้นทุกเรื่องราวก็เป็นจริงตามคำทำนายของโยเซฟ ทั่วโลกขาดแคลนอาหาร ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างพากันมาขอซื้ออาหารจากโยเซฟ ทำให้อียิปต์ยิ่งใหญ่ที่สุดในขณะนั้น แม้กระทั่งบรรดาพี่ชายที่เคยขายโยเซฟ ก็มาขอซื้ออาหารจากอียิปต์ พวกเขาจำโยเซฟไม่ได้ จึงถูกโยเซฟทดสอบหลายอย่าง ก่อนจะเปิดเผยตัว และให้อภัยพี่ ๆ ฟาโรห์จึงให้พาครอบครัวมาอยู่อียิปต์และจัดสรรที่ดินที่ดีที่สุดในครอบครัวโยเซฟ

ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีซ่อนอยู่เสมอ ไม่มีเรื่องบังเอิญในชีวิตจริง ทุกอย่างมีจังหวะเวลาของมัน เป็นไปตามน้ำพระทัยที่เบื้องบนจัดสรรไว้ให้เสมอ ในเวลาทุกข์ยากโยเซฟเลือกที่จะคิดดี เป็นทาสที่ดีที่สุด เป็นนักโทษที่ดีที่สุด รับราชการซื่อสัตย์ที่สุด อดทนและรอคอย เมื่อมีโอกาสก็ทำให้ดีที่สุด แล้วเราล่ะ วันนี้เราต่างก็ตกอยู่ในสภาวะนี้ด้วยกันทั้งนั้น ถูกใส่ร้าย ถูกอิจฉา อิจฉาคนอื่น ติดคุกแห่งความทุกข์ยาก ซึ่งไม่รู้วันกำหนดออกจากคุกนี้ เราจะเลือกทางไหน นั่งจมอยู่ในมุมมืดในคุก หรือจะทำชีวิตให้ดี แม้จะมีขีดจำกัด แม้จะมีขอบเขต เสรีภาพน้อยลง ใจที่ทุกข์มันคือคุกกักขังเรา มาช่วยทำให้โลกมันกว้างขึ้นด้วยตัวของเราแต่ละคน เพียงยิ้มให้กันโลกก็กว้างขึ้นแล้ว รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน ความสุขเกิดขึ้นเมื่อเราได้ให้ออกไป มิใช่เมื่อเราได้ทุกอย่างมาครอบครอง เห็นความงามในทุกนาที มีความคิดที่ดีต่อโลก ต่อคน ต่อทุกสรรพสิ่ง นี่แหละเป็นสิ่งที่จะทำให้เรารวมกันได้ เพื่อก้าวไปด้วยกัน โดยไม่ต้องมีขั้นตอน หลักการใด ๆ ให้รกรุงรัง....


วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2565

อ่อนน้อมถ่อมวัย

 

อ่อนน้อมถ่อมวัย

>>> คนเราก็อย่างนี้แหละ ตอนเป็นเด็ก ติดแม่-ติดพ่อ ตอนวัยรุ่น ติดเพื่อน

พอเป็นหนุ่ม-เป็นสาว ก็ติดแฟน ครั้นหนุ่มใหญ่ ก็ติดเหล้า-ติดยา-ติดหนี้

พอแก่เฒ่า ก็ติดเตียง ติดโรงพยาบาล”<<<  เปลว สีเงิน

ได้อ่านคอลัมน์ “คนปลายซอย” จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เกี่ยวกับชีวิตคนเราในแต่ละวัย ทำให้ “คนข้างวัด” ต้องมาไตร่ตรองชีวิตวันนี้ว่าเราอยู่ในช่วงวัยไหน แล้วกำลังติดอะไรบ้าง ในวันนี้สิ่งที่เราติดกันงอมแงมในทุกวัย ก็คือ การติดโซเชี่ยล ติดมือถือ นั่งรูด ถู ๆ ไถ ๆ กันได้เป็นวัน ๆ กลับมาเข้าเรื่องในสิ่งที่ได้ไตร่ตรอง และได้พบข้อเขียนอีกหลายบทความที่บังเอิญมีความสอดคล้องกัน

มีนักปราชญ์ท่านหนึ่งถูกถามว่า : สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดในมนุษย์คืออะไร? เขาตอบว่า :  ม นุ ษ ย์..!! พวกเขาเบื่อวัยเด็ก และรีบเร่งที่จะเติบโต แล้วหวังให้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง  พวกเขาสูญเสียสุขภาพเพื่อหาเงิน แล้วใช้มันเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ พวกเขาครุ่นคิดกับอนาคต ด้วยความวิตกกังวล แล้วลืมปัจจุบันจนไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต!!  และพวกเขาใช้ชีวิตเหมือนจะไม่มีวันตาย แล้วพวกเขาก็ตาย ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยมีชีวิตอยู่เลย!! (Cr : Fattah Nophirun)

ตอนเป็นเด็กเคยร้องไห้ เพราะอยากได้สิ่งของ พอตอนโตขึ้น จึงรู้ว่า ต่อให้ร้องไห้ให้ตาย ก็ไม่มีวันได้ทุกสิ่ง ต้องลงมือทำด้วยตัวเองเท่านั้น เพื่อจะได้แค่บางสิ่ง ตอนเป็นเด็กเราเคยแกล้งโกหก คนที่รักเราว่าเราไม่สบาย  แต่พอโตขึ้น เรากลับตั้งใจโกหก พวกเค้าว่าเราสบายดี  ตอนเป็นเด็กสิ่งที่ดีที่สุด คือ การได้รับทุกอย่าง จากคนที่รักเรา ตอนเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่ดีที่สุด คือ การได้ให้ทุกอย่าง กับคนที่เรารัก โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ตอนเป็นเด็กไม่ใส่ใจอะไรกับชีวิตมาก อยากทำอะไรให้ทำ ไม่ต้องสนใจสายตาใครนัก

ตอนเป็นผู้ใหญ่ วิธีคิดเปลี่ยนไป แต่ตอนนี้กว่าจะเข้าใจ ว่าวิธีคิดแบบนั้นใช่ที่สุดแล้ว ช่วงตอนเป็นเด็กเคยคิดว่า อยากโตเป็นผู้ใหญ่ให้เร็วที่สุด ตอนโตขึ้นจึงรู้ความจริงว่า ตอนเป็นเด็กมีความสุขที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า อายุตอนไหนถ้าปล่อยวางได้ ก็มีความสุขกับลมหายใจได้ไม่ต่างกัน  (Cr :Thammasak Orachoonwong)

เมื่ออายุเราเริ่มมากขึ้น จนเข้าหลักสี่ ย่างเข้าหลักห้า หรือกำลังจะถึงหลักหก เราจะเกิดอาการเหล่านี้ ความเป็นนักเลงของเราจะเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เราจะไม่ได้ไปเตะ ตี ต่อยชกกับใครที่ไหน แต่เราจะเริ่มเตะขาโต๊ะ เตะขาเก้าอี้ เตะขาเตียง เตะขาโซฟา เตะขอบบันใด ฯลฯ อะไรเตะได้เตะหมด ทั้งที่มันอยู่ตรงนั้นมานานแสนนานและไม่ได้มาขวางทางอะไรเราด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังอุตส่าห์ไปเดินเตะมัน เราจะเริ่มไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรมาทำให้เรารกสมองมากมายและยาวนาน เพราะเราจะจำได้เดี๋ยวเดียว แล้วก็ลืม ลูกบอกเมื่อกี้ ไม่ทันเกินสามนาที ลืมไปแล้ว เราจะจำได้เฉพาะเรื่องราวในอดีตอันไกลโพ้น ส่วนเมื่อกี้ลืมไปแล้ว เราจึงไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรใหม่ๆมาให้จดจำจนรกสมอง  เพราะลืมไปแล้ว

ลูกหลานจะจำในสิ่งที่เราพูดให้ฟัง ได้อย่างแม่นยำไม่มีวันลืม เพราะเราจะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก พูดแล้วก็พูดอีก พูดจนลูก ๆ จำได้แม่นยำและรู้สึกรำคาญที่เราพูดเรื่องเดิม ๆ และพูดย้ำคิดย้ำทำ ตัดความฝันและความทะเยอทะยานของตนได้ง่ายขึ้น เพราะเวลาของการตามล่าฝันมันเลือนลางลงและเหลือน้อยลงทุกที จนไม่คิดจะไปตามล่ามันอีกแล้ว... (จากเพจ สายธาร แห่งปัญญา)

สุดท้ายเรายิ่งเติบใหญ่เรายิ่งต้องถ่อมตัวลง ลดความยึดถือ ซื่อสัตย์ต่อตัวเองให้มาก รักตัวเองให้เป็น และพร้อมที่จะอยู่ในโลกถึงแม้มันจะเปลี่ยนแปลงไป แต่หัวใจเราจะไม่เปลี่ยนตาม

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2565

บางอย่างล้างไม่ง่าย

 

บางอย่างล้างไม่ง่าย

>>>ล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้า ล้างตัว วันละหลายรอบ

แต่ล้างใจ รอบหนึ่งใช้เวลากี่วัน

น้ำชะล้างกายได้สะอาด อภัยชำระใจใสสว่าง<<<

            ยังจดจำสมัยเด็ก ๆ ได้ดี ที่ทุกบ้านจะมีที่ล้างเท้าอยู้ตรงบันได เวลาจะขึ้นบ้านต้องถอดรองเท้า ล้างเท้า อาจจะจุ่ม หรือตักน้ำราด ตามที่เจ้าของบ้านจัดเตรียมไว้ให้ หน้าที่หนึ่งในสมัยนั้นคือ ล้างอ่างล้างเท้าทุก ๆ เย็น ใครที่เคยเห็นเคยทำ ก็คงอยู่ในช่วงวัยใกล้เคียงกันที่ยังไม่แก่เท่าไหร่(มั้ง) เมื่อวันเวลาเปลี่ยน บ้านเรือนเปลี่ยนลักษณะไป อย่างมากเราก็แค่มีพรมเช็ดเท้าก่อนเข้าบ้าน จากที่ต้องถอดรองเท้าไว้หน้าบ้าน นอกเรือน (วันนี้เราใส่เข้าไปได้ถึงห้องนอนเลยก็ว่าได้) ทำอย่างนี้จนติดเป็นนิสัย ครั้นเมื่อต้องไปใช้ชีวิตต่างแดน ก่อนเข้าห้องก็ยังถอดรองเท้า จนเพื่อน ๆ ชาวต่างชาติ บอกว่าไม่ต้องถอดเข้ามาเลย เพราะพื้นห้องมันเย็น เดี๋ยวจะเป็นตะคริวเสียก่อน เรื่องการอาบน้ำเช้าก็เหมือนกัน ทำจนติดเป็นนิสัย ไปเมืองหนาวแค่ไหนก็ต้องอาบหรือบางทีไม่ไหวก็ต้องอาบผ้าชุบน้ำถู ๆ ตัว ถูกถามบ่อย ๆ ว่าไม่หนาวหรือ ? หนาวแทบขาดใจ แต่เสร็จแล้วจะรู้สึกสบายตัวมาก สดชื่นไปทั้งวัน


และเมื่อเกิดการระบาดของเจ้าไวรัสโควิด-19 มีการรณรงค์ให้ล้างมือ เพื่อลดการติดเชื้อ การล้างมือเพื่อขจัดเชื้อโรคจะต้องล้างกันหลายครั้งต่อวัน และการล้างมือแต่ละครั้งก็จะต้องล้างให้ถูกลักษณะตามคำแนะนำของสาธารณสุข เพื่อให้เชื้อโรคที่บริเวณมือหายเกลี้ยง ในทางกายเรามีการชำระล้างที่ถูกวิธี แล้วใจเราล่ะ? เราจะมีวิธีชำระล้างความหม่นหมอง ความโกรธเคือง หรืออารมณ์ขุ่นมัวอื่น ๆ ได้อย่างไรในแต่ละวัน จิตใจของเราปนเปื้อนไปด้วยกิเลสกันทั้งนั้น ตื่นมา ก็ขี้เกียจไปทำงาน เศร้า เห็ยดราม่าในโซเชี่ยล ก็หงุดหงิดไปตามเขา จิตใจเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก แล้วเราจะไม่ล้างออกบ้างเลยหรือ? ขนาดล้างมือเพื่อขจัดเชื้อโรคก็ยังล้างกันวันละหลายรอบ แต่จิตใจของเรา แม้สักรอบเดียว บางครั้งบางวันก็ยังไม่ได้ทำ เพื่อล้างความขุ่นมัวที่เกาะติดจิตอยู่เลย บางครั้งเป็นเดือน เป็นสัปดาห์ก็ไม่เคยล้าง


อาบน้ำยังอาบทุกวัน แต่จิตใจกลับพอกไว้ด้วยความตึงเครียด ความกังวล
ไว้อย่างหนา เราจึงควรล้างใจด้วย ล้างบ่อย ๆ ให้สั้น ๆ ในแต่ละวัน เพื่อให้ใจเราได้อยู่กับตัวเอง ไม่ฟุ้งซ่าน ค่อย ๆ ขจัดอารมณ์ทุกข์ร้อนทั้งหลายทั้งปวงออกไป ไตร่ตรองใจของเราว่าทำไมถึงเครียด ถึงเศร้า ทำไมยังโกรธ ยังแค้นเคือง เพื่อจะได้รู้จักใจตังเอง เพื่อให้ใจได้รู้ว่าตอนนี้กำลังถูกความเศร้าหมอง ความกังวล ความแค้นมาครอบครอง หากเราเองไม่คิดที่จะล้างความทุกข์ที่ทับถมอยู่ออกไป ก็จะจมอยู่กับความทุกข์ตลอดไป เราสามารถที่ล้างใจเราให้สะอาด สลัดความทุกข์ออกปได้ ให้อภัยตัวเองให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ขัดล้างใจด้วยพระวาจา คราบความทุกข์ที่มีอยู่จะค่อย ๆ สลายหายไปได้

 อย่าไปยึดอะไรไว้ในใจ ทำให้ใจสะอาด คนเราผิดพลาดกันได้ แต่เราก็ต้องให้อภัยตัวเราเองและหาทางใหม่เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเกิดขึ้นอีก หากใจเรามัวจมปลักอยู่กับความคิดเดิม ๆ นั่งโทษตัวเอง ตอกย้ำว่าตัวเราเป็นคนไม่ดี จิตใจเราก็จะขุ่นมัว ล้างหน้าทุกเช้า ก็ควรล้างใจทุกค่ำคืนด้วย ล้างใจด้วยความสงบ หาเวลาอยู่กับตัวเองเงียบ ปิดโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้จิตใจได้รับการจัดระเบียบบ้าง เพราะบางอย่างในชีวิตมันติดยึดเรามานาน ยากที่จะล้างออกในครั้งเดียว ขัดเกลาบ่อย ๆ ค่อย ๆ ถู ไม่นานเชื้อที่กินใจก็จะตายจากไปไกล แน่ล่ะ มันก็จะมีเชื้อใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ หากแต่เราได้เรียนรู้วิธีขจัดแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวอะไร บางทีเชื้อนั้นมันจะกลายเป็นภูมิให้เราแข็งแรงต่อไปด้วยซ้ำ….