วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เอาความไม่มีมาหุ้มห่อ

 

เอาความไม่มีมาหุ้มห่อ

>>>หลายครั้งหลายคน พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะมีตัวตน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเลย อาจจะเป็นเพราะคนรอบข้างสอพลอ ไม่พูดความจริง ยิ่งหลงเข้ารกเข้าป่า บางที การเป็นคนใหญ่คนโตนั้น ก็ช่างหามิตรภาพและความจริงใจได้ยากเหลือเกิน >>>

ยอดผู้ป่วยโควิด-19 มีแต่ทรงกับขึ้นอย่างน่ากลัว เป็นการระบาดที่หนักหนาสาหัส ก็ไม่รู้ว่าเราจะเดินไปถึงจุดไหนกัน หลายคนตั้งข้อเสนอ หลายคนตั้งตัวเป็นผู้รู้ ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เข้าเอาจริง จะมีสักกี่คนในโลกนี้รู้เรื่องนี้แบบจริง ๆ จัง ๆ เพราะนี่คือ โรคอุบัติใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราจะมาอวดอ้าง เราจะชิงความเด่นดังรอบรู้กันเกินไปก็ใช่ที่ มีอย่างเดียว คือ เราต้องเริ่มจากตัวเรา รักตัวเอง รักษาดูแลตัวเองอย่างระมัดระวังเท่าที่ทำได้ให้ดีเสียก่อน โรคนี้กำลังสอนผู้คนให้ลดละความเห็นแก่ตัวลง ยิ่งหลงยิ่งโอ้อวด ยิ่งซ้ำเติมเพิ่มเชื้อติดกันมากขึ้น เราต่างคนต่างก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่ากัน เราคิดอย่างเรา แต่ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นคิดเหมือนเรา

           เราอยู่ในสังคมที่อวยกันมามาก เราอวยเขา เขาอวยเราจนหลงลืมตัวตนกันหมด เราล้วนมีแต่เปลือกนอกที่นำมาห่อหุ้ม และยึดเอาว่านี่คือ สิ่งที่สวยงาม แต่กลับปล่อยให้สิ่งภายในนอนนิ่งจนเริ่มเน่า เราต่างยกย่องสิ่งภายนอกกัน บ่อยครั้งก็ไร้ความจริงใจต่อกัน หน้าไหว้ลับหลังก็นินทา ทุกสิ่งดูปลอม ดูหลอก เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งและผลประโยชน์แห่งตนเท่านั้น บางครั้งเราก็หลงไปกับคำยกย่อง ลมปากที่คนอื่นเปล่งชื่นชม และคิดคล้อยตามไปว่าเราเป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีบารมีสูงส่งจริง ๆ สุดท้ายวันหนึ่งถึงเวลาที่ลำบากที่สุด ก็พึ่งพาใครไม่ได้ นอกจากเรียกร้องหาพระ และพระเจ้าก็ทรงพระทัยดีต่อเราเสมอ ให้โอกาส เรียกเราให้ลุกขึ้น ไม่นานเราก็กลับไปทำแบบเดิม ๆ อีก ไม่ฟังเสียงบริสุทธิ์ภายในที่บอกเรา ว่า “ท่านกำลังเปลือยเปล่าอยู่นะ” เหมือนในนิทานคลาสสิกเรื่องนี้

พระราชาองค์หนึ่งผู้หลงใหลในอาภรณ์ที่สวมใส่ ทรงอยากมีฉลองพระองค์ชุดเก่งที่ไม่มีใครซ้ำแบบ ออกประกาศหาช่างตัดเย็บ จึงมีพวกต้มตุ๋นมาเสนอตัวว่าจะตัดฉลองพระองค์สุดเท่ถวายให้ วันเวลาผ่านไปก็ยังไม่มีผู้ใดเห็นฉลองพระองค์ชุดนั้นเลย เมื่อพระองค์ทรงอยากเห็นและลองเสื้อผ้านั้น ช่างตัดเสื้อจอมแสบก็ทำทีท่าเอาเสื้อผ้ามาสวมให้ลองดู  โดยที่พระองค์ไม่ทรงเห็นมีอะไรเลย แต่ช่างเจ้าเล่ห์ก็บอกว่า “นี่เป็นเสื้อผ้าล่าสุดจากสรวงสวรรค์ ซึ่งคนมีบุญเท่านั้นจึงมองเห็นเสื้อผ้าชุดนี้”

พระราชากลัวว่าตนเองจะกลายเป็นคนไม่มีบุญ จึงต้องทำเป็นมองเห็นเสื้อผ้าชุดเก่งนั้นด้วย  แม้แต่ข้าราชสำนักทุกคนต่างก็กลัวจะหลุดจากตำแหน่ง เพราะความเป็นคนไม่มีบุญ จึงทำเป็นยกย่อง สรรเสริญชุดที่พระองค์สวมใส่ที่ไม่ได้ใส่ เกิดจินตนาการหมู่ ในที่สุด วันสำคัญก็มาถึง เมื่อช่างตัดเสื้อขอให้พระองค์ทรงสวมฉลองพระองค์ชุดเก่งนั้น แล้วขึ้นรถม้าเสด็จไปตามท้องถนนเพื่อให้ประชาชนชื่นชมพระบารมี ระหว่างที่เสด็จไปท่ามกลางประชาชนซึ่งแห่แหนคอยเฝ้าอยู่สองข้างทาง ด้วยเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไม่สวมอาภรณ์ใด ๆ เลยนั้น ประชาชนก็ไม่กล้าพูดความจริง ต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญถวายพระพรกันเซ็งแซ่ จนกระทั่งเด็กน้อยคนหนึ่งได้เห็นพระราชา ก็ร้องตะโกนขึ้นเสียงดังว่า  ทำไมพระราชาไม่สวมอะไรเลย?!  (ผู้แต่ง : ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน)


ใช่หรือไม่ ทุกคนย่อมรักชีวิต ต่างต้องเอาตัวรอดในสังคม เราก็เลยห่วงกันแต่เรื่องภาพลักษณ์ ต่างก็โดนหลอกได้อย่างง่ายดาย นิทานเรื่องนี้ ทำให้เราได้รู้จุดอ่อนของมนุษย์ ที่เป็นคนใหญ่โต ที่มักขาดคนจริงใจอยู่ข้างกาย และมันก็ทำให้คนคนนั้นไม่อาจรับรู้ความจริง เราเห็นกันอยู่ทุกที่ เราจึงต้องมั่นปลุกจิตสำนึกให้มีความซื่อสัตย์ต่อตัวอง รู้จักฟังเสียงเล็ก ๆ ภายใน รู้ที่จะทำกิจการทุอย่างด้วยความรัก สิ่งนี้จำเป็นเพื่อนำมาห่อหุ้มจิตวิญญาณของเราในภาวะของโลกที่กำลังระบมด้วยโรคร้าย

ไม่มีความคิดเห็น: