ส่องเพื่อ…?
>>>
หนังสือกับมือถือ เราเปิดส่องอ่านอะไรมากกว่ากัน???>>>
วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่เสียเวลาไปกับการถู ๆ ไถ ๆ มือถือไปมากเลยที อ่านหนังสือกันน้อยลง เพราะคิดว่าเอาเวลาไปอ่านบนโทรศัพท์ดูจะทันสมัยมากกว่า
แต่เอาเข้าจริง แม้แต่ตัวผู้เขียนเอง อ่านบนสื่อใหม่ในมือถือนี่ก็อ่านได้ไม่นาน
ไร้สมาธิ เพราะมันเหมือนมีแรงดึงดูดให้เราต้องไปเปิดนั่นเปิดนี้ วันดีคืนดีก็เข้าไปสอดส่องความเคลื่อนไหวของคนอื่นของเพื่อนฝูง
จะด้วยคิดถึง ใส่ใจ หรือเพียงอยากปรารถนารู้ความเคลื่ินไหวของคนอื่นกันแน่
จนติดเป็นนิสัยไร้วินัย ทั้งยามว่างและทุกยามเป็นต้องหยิบมือถือ ส่อง ๆๆๆ ดู ๆๆๆ
เลื่อนไปเลื่อนมา เลื่อนขึ้นเลื่อนลง ดูวนไปเวียนมา นี่เลยเข้าทางของสินค้าทั้งหลายที่มักแฝงอยู่ในสิ่งที่เราอ่าน
ที่เราส่อง จนทำให้เสพติดการใช้จ่ายเกินตัว
เมื่อวันก่อนนั่งฟังไลฟ์สดของอาจารย์ปิง ประกิต สิริวัฒนเกตุ อาจารย์ได้พูดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้จ่ายของประชาชนว่าจ่ายไปเพื่อสิ่งใดบ้าง? เห็นแล้วใจหาย เราซื้อสิ่งภายนอกกันเยอะแยะมากมาย บ้าน รถ มือถือ
บัตรเครดิต รับประทาน เสื้อผ้าหน้าผม แต่ให้กับค่าการศึกษาเพียง 2.2%
เราได้รับการปลูกฝังให้ซื้อ ๆๆ เพราะเราเข้าเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์
ก็เห็นเพื่อนอวดรวย อวดสุข อวดกิน อวดรถ กันเต็มหน้า ทุกคนต่างประกาศมีอันนี่ใหม่
อันนั้นใหม่ กินหรูอยู่สบาย จ่ายดอกบาน(ไม่บอกใคร) เราเห็นเราเสพบ่อย ๆ
ก็เกิดความอิจฉา อยากจะมีบ้าง เรียกมันว่าแรงบันดาลใจต้องทำบ้าง กระเสือกกระสนดิ้นรนกันเพื่อให้ได้มา
เพื่อสร้างสตอรี่ ใช่หรือไม่ แล้วคนเรามักชอบเลียนแบบกัน เอาง่าย ๆ องค์กรต่าง ๆ
ก็ช่างขยันทำงบเพื่อใช้จ่ายเงิน ปั้นโครงการที่มีแต่สร้าง ๆ ๆ ๆ ภาพ
ไม่ได้นำเงินมาทำโครงการส่งเสริมความรู้ ส่งเสริมการเรียนการสอนให้มีความรู้ออนไลน์
หรือทำโครงการส่งเสริมความชำนาญด้านวิชาชีพ จะมีคิดแบบนี้สักกี่ที่ เห็นแต่ทำตาม ๆ
กัน สร้างเสาไฟฟ้าแบบต่าง ๆ ไร้สาระไร้ประโยชน์สิ้นดี เห็นแล้วก็เหนื่อยใจกับการใช้จ่ายเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
วันนี้เป็นเรื่องยากทีเดียวที่เราจะลดพฤติกรรมการส่อง
การเสพ การซื้อลง จะทำอย่างไร พูดตามความจริง เราต้องรู้จักที่จะส่องตัวเอง
ตรวจสอบตัวเองให้เป็น เข้าใจ รักตัวเอง ไม่อวดตัวเอง
ใช้ความรักของพระเจ้าให้เกิดประโยชน์ต่อคนอื่น ลดเรื่องภายนอกลงบ้าง
หันมาเสริมสร้างจิตใจ จิตวิญญาณ ฝึกหัดขับเคลื่อนให้มโนสำนึกนำทางชีวิต จะได้ไม่หวาดหวั่นหวาดกลัวอะไรง่าย
ยามภัยมาจะได้ไม่ไปเที่ยวร้องเรียกหาความช่วยเหลือ เราต้องเป็นแสงส่อง มิใช่แต่สอดส่องเรื่องของชาวบ้าน
เราต้องเสพความดีงาม มิใช่เสพติดชีวิตอันหรูหราหมาเห่า เราต้องจ่ายเพื่อศึกษา
การเรียนรู้ เพื่อวันหน้า มิใช่ซื้ออยู่ซื้อกินเพื่อวันนี้
ในช่วงที่เราปรับตัวเข้ากับวิถีใหม่ เราก็ต้องละเลิกวิถีเก่าลงกันบ้าง
หันมาดูแลคนใกล้ตัวให้มากขึ้น สร้างความรักที่ยิ่งใหญ่มากกว่าสร้างบ้านเรือนให้โอฬาร
ให้เมตตานำทางมิใช่ให้รถหรูนำพาไปสู่ความตาย ให้ความเอื้ออาทรของเราเป็นอาหารแก่ผู้ผ่านพบ
ชีวิตจะจบลงตรงไหนเมื่อไร??? เรามิรู้ได้ ใยต้องสร้างภาพให้ดูดีกันด้วยเล่า…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น