วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ส่องเพื่อ…?

 

ส่องเพื่อ…?

>>> หนังสือกับมือถือ เราเปิดส่องอ่านอะไรมากกว่ากัน???>>>

วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่เสียเวลาไปกับการถู ๆ ไถ ๆ มือถือไปมากเลยที อ่านหนังสือกันน้อยลง เพราะคิดว่าเอาเวลาไปอ่านบนโทรศัพท์ดูจะทันสมัยมากกว่า แต่เอาเข้าจริง แม้แต่ตัวผู้เขียนเอง อ่านบนสื่อใหม่ในมือถือนี่ก็อ่านได้ไม่นาน ไร้สมาธิ เพราะมันเหมือนมีแรงดึงดูดให้เราต้องไปเปิดนั่นเปิดนี้ วันดีคืนดีก็เข้าไปสอดส่องความเคลื่อนไหวของคนอื่นของเพื่อนฝูง จะด้วยคิดถึง ใส่ใจ หรือเพียงอยากปรารถนารู้ความเคลื่ินไหวของคนอื่นกันแน่ จนติดเป็นนิสัยไร้วินัย ทั้งยามว่างและทุกยามเป็นต้องหยิบมือถือ ส่อง ๆๆๆ ดู ๆๆๆ เลื่อนไปเลื่อนมา เลื่อนขึ้นเลื่อนลง ดูวนไปเวียนมา  นี่เลยเข้าทางของสินค้าทั้งหลายที่มักแฝงอยู่ในสิ่งที่เราอ่าน ที่เราส่อง จนทำให้เสพติดการใช้จ่ายเกินตัว



เมื่อวันก่อนนั่งฟังไลฟ์สดของอาจารย์ปิง ประกิต สิริวัฒนเกตุ อาจารย์ได้พูดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้จ่ายของประชาชนว่าจ่ายไปเพื่อสิ่งใดบ้าง? เห็นแล้วใจหาย เราซื้อสิ่งภายนอกกันเยอะแยะมากมาย บ้าน รถ มือถือ บัตรเครดิต รับประทาน เสื้อผ้าหน้าผม แต่ให้กับค่าการศึกษาเพียง 2.2% เราได้รับการปลูกฝังให้ซื้อ ๆๆ เพราะเราเข้าเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ ก็เห็นเพื่อนอวดรวย อวดสุข อวดกิน อวดรถ กันเต็มหน้า ทุกคนต่างประกาศมีอันนี่ใหม่ อันนั้นใหม่ กินหรูอยู่สบาย จ่ายดอกบาน(ไม่บอกใคร) เราเห็นเราเสพบ่อย ๆ ก็เกิดความอิจฉา อยากจะมีบ้าง เรียกมันว่าแรงบันดาลใจต้องทำบ้าง กระเสือกกระสนดิ้นรนกันเพื่อให้ได้มา เพื่อสร้างสตอรี่ ใช่หรือไม่ แล้วคนเรามักชอบเลียนแบบกัน เอาง่าย ๆ องค์กรต่าง ๆ ก็ช่างขยันทำงบเพื่อใช้จ่ายเงิน ปั้นโครงการที่มีแต่สร้าง ๆ ๆ ๆ ภาพ ไม่ได้นำเงินมาทำโครงการส่งเสริมความรู้ ส่งเสริมการเรียนการสอนให้มีความรู้ออนไลน์ หรือทำโครงการส่งเสริมความชำนาญด้านวิชาชีพ จะมีคิดแบบนี้สักกี่ที่ เห็นแต่ทำตาม ๆ กัน สร้างเสาไฟฟ้าแบบต่าง ๆ ไร้สาระไร้ประโยชน์สิ้นดี เห็นแล้วก็เหนื่อยใจกับการใช้จ่ายเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง



วันนี้เป็นเรื่องยากทีเดียวที่เราจะลดพฤติกรรมการส่อง การเสพ การซื้อลง จะทำอย่างไร พูดตามความจริง เราต้องรู้จักที่จะส่องตัวเอง ตรวจสอบตัวเองให้เป็น เข้าใจ รักตัวเอง ไม่อวดตัวเอง ใช้ความรักของพระเจ้าให้เกิดประโยชน์ต่อคนอื่น ลดเรื่องภายนอกลงบ้าง หันมาเสริมสร้างจิตใจ จิตวิญญาณ ฝึกหัดขับเคลื่อนให้มโนสำนึกนำทางชีวิต จะได้ไม่หวาดหวั่นหวาดกลัวอะไรง่าย ยามภัยมาจะได้ไม่ไปเที่ยวร้องเรียกหาความช่วยเหลือ เราต้องเป็นแสงส่อง มิใช่แต่สอดส่องเรื่องของชาวบ้าน เราต้องเสพความดีงาม มิใช่เสพติดชีวิตอันหรูหราหมาเห่า เราต้องจ่ายเพื่อศึกษา การเรียนรู้ เพื่อวันหน้า มิใช่ซื้ออยู่ซื้อกินเพื่อวันนี้ ในช่วงที่เราปรับตัวเข้ากับวิถีใหม่ เราก็ต้องละเลิกวิถีเก่าลงกันบ้าง หันมาดูแลคนใกล้ตัวให้มากขึ้น สร้างความรักที่ยิ่งใหญ่มากกว่าสร้างบ้านเรือนให้โอฬาร ให้เมตตานำทางมิใช่ให้รถหรูนำพาไปสู่ความตาย ให้ความเอื้ออาทรของเราเป็นอาหารแก่ผู้ผ่านพบ ชีวิตจะจบลงตรงไหนเมื่อไร??? เรามิรู้ได้ ใยต้องสร้างภาพให้ดูดีกันด้วยเล่า

ไม่มีความคิดเห็น: