อยู่อย่างมีความหมาย
วันเวลาที่เพิ่มขึ้น
มีเรื่องราวต่าง ๆ เข้ามาเพื่อเข้าใจตัวเอง เพื่อเข้าใจคนอื่น คิดไตร่ตรองถึงการมีชีวิตอยู่ เรามีชีวิตนี้เพื่ออะไร? เมื่อชีพวางวายแล้วจะหายไปไหน?
คำถามเหล่านี้มักเกิดขึ้นในวันที่จิตใจเราอ่อนล้า เหนื่อยหน่าย
แท้จริงแล้วทุกชีวิตล้วนมีความหมายทั้งสิ้น
มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมักพูดในบทสนทนาบ่อยครั้งว่า “อะไรเกิดมาล้วนดีทั้งนั้น”
ยิ่งย้ำเตือนว่าเราผู้ที่กำลังเดินดินกินข้าวแกง วันเวลา คือ ความดีงามทั้งสิ้น
เราต้องอยู่อย่างมีความหมาย เราต้องยืนหยัดในความดีงามเสมอ คิดไปคิดมาก็ทำให้นึกถึงภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง
Soul (2020) จาก Disney - Pixar
Soul เล่าถึงเรื่องของ โจ การ์ดเนอร์
ชายคนหนึ่งที่มีความฝันว่า ในวันหนึ่งเขาจะเดินไปบนเส้นทางของนักดนตรีแจ๊สชื่อดังได้เหมือนพ่อ
แม้ตอนนี้เขาดูไม่เอาไหนในสายตาคนรอบข้าง และแล้วโอกาสก็มาถึงที่จะได้ร่วมวงกับโดโรธี
ผู้ที่เขาใฝ่ฝันอยากเล่นดนตรีด้วยมาตลอด
แต่ก่อนจะถึงเวลาของคอนเสิร์ตแรกในหัวค่ำวันนั้น เขาประสบอุบัติเหตุตกท่อตาย
กลายเป็นวิญญาณที่พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางให้กลับมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อทำตามความฝัน ด้วยความที่ไม่ยอมแพ้กับโชคชะตา
เขาจึงทำการเดิมพันกับผู้คุมสวรรค์
ด้วยการรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับดวงวิญญาณหลงทางหมายเลข 22 ที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองนั้นสนใจเรื่องอะไรกันแน่
ซึ่งเป็นโจทย์ข้อสุดท้ายที่ทำให้ 22 ยังไม่สามารถกลับไปเกิดได้
และต้องใช้เวลาวนเวียนอยู่ในโลกวิญญาณนี้มานับพันปี
ซึ่งถ้าโจช่วยหาความต้องการสุดท้ายให้กับ 22 ได้
เขาอาจจะมีโอกาสกลับเข้าไปในร่างของตัวเองอีกครั้ง
ส่วนวิญญาณหมายเลข 22 ที่โจไปพบในโลกวิญญาณ
เป็นวิญญาณหัวดื้อที่ไม่อยากไปเกิด เพราะไม่รู้ว่าความหมายของการมีชีวิตคืออะไร?
เมื่อทั้งคู่จับพลัดจับผลูกลับมาสู่โลกมนุษย์แบบงงงง วิญญาณหมายเลข
22 จึงได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย
ๆ ที่ทำให้มีรอยยิ้มและความสุข แล้วเขาก็พร้อมมาเกิดในโลกมนุษย์ ส่วนโจเอง
สุดท้ายก็ได้เรียนรู้ในสิ่งเดียวกันว่า
เป้าหมายและความฝันอาจเป็นแรงบันดาลในการมีชีวิต แต่ความหมายหรือความงดงามของการมีชีวิตนั้น
อยู่ในทุกวินาทีของการมีชีวิตต่างหาก เมื่อเข้าใจแล้ว
การจากลาโลกใบนี้ไปก็ไม่ใช่ความทุกข์
ในชีวิตคนเรา คงไม่มีโอกาสครั้งที่สองที่จะกลับมาจัดการสิ่งที่ค้างคาอยู่อีกครั้งได้เหมือนโจ
ดังนั้น การเข้าใจชีวิต เข้าใจความตาย และเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ จะทำให้เรา
“ตายดี” ใช่หรือไม่ บางคนเส้นทางความสำเร็จอาจจะได้มาง่าย ๆ ไม่ทันรู้ตัว
บางคนอาจแสวงหาไปเรื่อย ๆ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังสิ่งที่เราชอบ แม้จะถูกมองเห็นจากคนรอบตัวเยาะเย้ย
แต่...กลับมีความหมายกับตัวเองเกินกว่าที่จะล้มเลิกได้
รวมถึงคนที่จมอยู่กับความเข้าใจผิด ๆ
และแบกความรู้สึกหนักอี้งไว้กับตัวจนเกาะกินหัวใจให้หม่นมืดขึ้นเรื่อย ๆ
กลายเป็นคนที่หาความสุขให้ตัวเองไม่เจอ..
สุดท้าย...ความสุขของเราจริง ๆ
อาจจะเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ
ส่องสว่างผ่านต้นไม้ในตอนเช้า เห็นดวงตะวันโบกลาผ่านช่องตึก
ในขณะรอรถเคลื่อนตัวบนถนน หรือขอแค่มีแมวมีหมาสักตัวมานั่งอยู่บนตักเวลาที่กลับถึง
ลูกสาวลูกชายตัวน้อยยิ้มให้ยามสบตากัน เราอาจจะมีความหมายกับใครคนหนึ่ง
ที่เขารอคอยการกลับมา เป็นเพียงหยาดหยดน้ำที่ลดลงหัวใจของคนที่รักเรา
ทำให้การมีชีวิตของเรานั้นมีค่า บางทีชีวิตก็ต้องการเวลาเพื่อให้ตัวเองได้หยุดนิ่ง
คิด ไตร่ตรอง ให้ความสำคัญกับตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น แม้ว่าคนเหล่านั้นไม่เคยเรียกร้องให้เราใส่ใจเขาก็ตาม
ความห่วงใยกันอย่างเอื้ออาทร ก็จะช่วยให้เราหันกลับมารู้จักตัวเองได้ดีขึ้น
หากเราเพาะเมล็ดแห่งความรักนี้ได้ทุก ๆ วัน เนื้อนาแห่งความดีงามจะบังเกิดขึ้นในช้า....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น