วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2564

อยู่อย่างมีความหมาย

 

อยู่อย่างมีความหมาย

วันเวลาที่เพิ่มขึ้น มีเรื่องราวต่าง ๆ เข้ามาเพื่อเข้าใจตัวเอง เพื่อเข้าใจคนอื่น คิดไตร่ตรองถึงการมีชีวิตอยู่ เรามีชีวิตนี้เพื่ออะไร? เมื่อชีพวางวายแล้วจะหายไปไหน? คำถามเหล่านี้มักเกิดขึ้นในวันที่จิตใจเราอ่อนล้า เหนื่อยหน่าย แท้จริงแล้วทุกชีวิตล้วนมีความหมายทั้งสิ้น มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมักพูดในบทสนทนาบ่อยครั้งว่า “อะไรเกิดมาล้วนดีทั้งนั้น” ยิ่งย้ำเตือนว่าเราผู้ที่กำลังเดินดินกินข้าวแกง วันเวลา คือ ความดีงามทั้งสิ้น เราต้องอยู่อย่างมีความหมาย เราต้องยืนหยัดในความดีงามเสมอ คิดไปคิดมาก็ทำให้นึกถึงภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง Soul (2020) จาก Disney - Pixar


Soul เล่าถึงเรื่องของ โจ การ์ดเนอร์ ชายคนหนึ่งที่มีความฝันว่า ในวันหนึ่งเขาจะเดินไปบนเส้นทางของนักดนตรีแจ๊สชื่อดังได้เหมือนพ่อ แม้ตอนนี้เขาดูไม่เอาไหนในสายตาคนรอบข้าง และแล้วโอกาสก็มาถึงที่จะได้ร่วมวงกับโดโรธี ผู้ที่เขาใฝ่ฝันอยากเล่นดนตรีด้วยมาตลอด แต่ก่อนจะถึงเวลาของคอนเสิร์ตแรกในหัวค่ำวันนั้น เขาประสบอุบัติเหตุตกท่อตาย กลายเป็นวิญญาณที่พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางให้กลับมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อทำตามความฝัน ด้วยความที่ไม่ยอมแพ้กับโชคชะตา เขาจึงทำการเดิมพันกับผู้คุมสวรรค์ ด้วยการรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับดวงวิญญาณหลงทางหมายเลข 22 ที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองนั้นสนใจเรื่องอะไรกันแน่ ซึ่งเป็นโจทย์ข้อสุดท้ายที่ทำให้ 22 ยังไม่สามารถกลับไปเกิดได้ และต้องใช้เวลาวนเวียนอยู่ในโลกวิญญาณนี้มานับพันปี ซึ่งถ้าโจช่วยหาความต้องการสุดท้ายให้กับ 22 ได้ เขาอาจจะมีโอกาสกลับเข้าไปในร่างของตัวเองอีกครั้ง

ส่วนวิญญาณหมายเลข 22 ที่โจไปพบในโลกวิญญาณ เป็นวิญญาณหัวดื้อที่ไม่อยากไปเกิด เพราะไม่รู้ว่าความหมายของการมีชีวิตคืออะไร? เมื่อทั้งคู่จับพลัดจับผลูกลับมาสู่โลกมนุษย์แบบงงงง วิญญาณหมายเลข 22 จึงได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้มีรอยยิ้มและความสุข แล้วเขาก็พร้อมมาเกิดในโลกมนุษย์ ส่วนโจเอง สุดท้ายก็ได้เรียนรู้ในสิ่งเดียวกันว่า เป้าหมายและความฝันอาจเป็นแรงบันดาลในการมีชีวิต แต่ความหมายหรือความงดงามของการมีชีวิตนั้น อยู่ในทุกวินาทีของการมีชีวิตต่างหาก เมื่อเข้าใจแล้ว การจากลาโลกใบนี้ไปก็ไม่ใช่ความทุกข์

ในชีวิตคนเรา คงไม่มีโอกาสครั้งที่สองที่จะกลับมาจัดการสิ่งที่ค้างคาอยู่อีกครั้งได้เหมือนโจ ดังนั้น การเข้าใจชีวิต เข้าใจความตาย และเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ จะทำให้เรา “ตายดี” ใช่หรือไม่ บางคนเส้นทางความสำเร็จอาจจะได้มาง่าย ๆ ไม่ทันรู้ตัว บางคนอาจแสวงหาไปเรื่อย ๆ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังสิ่งที่เราชอบ แม้จะถูกมองเห็นจากคนรอบตัวเยาะเย้ย แต่...กลับมีความหมายกับตัวเองเกินกว่าที่จะล้มเลิกได้ รวมถึงคนที่จมอยู่กับความเข้าใจผิด ๆ และแบกความรู้สึกหนักอี้งไว้กับตัวจนเกาะกินหัวใจให้หม่นมืดขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นคนที่หาความสุขให้ตัวเองไม่เจอ..


สุดท้าย...ความสุขของเราจริง ๆ อาจจะเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ส่องสว่างผ่านต้นไม้ในตอนเช้า เห็นดวงตะวันโบกลาผ่านช่องตึก ในขณะรอรถเคลื่อนตัวบนถนน หรือขอแค่มีแมวมีหมาสักตัวมานั่งอยู่บนตักเวลาที่กลับถึง ลูกสาวลูกชายตัวน้อยยิ้มให้ยามสบตากัน เราอาจจะมีความหมายกับใครคนหนึ่ง ที่เขารอคอยการกลับมา เป็นเพียงหยาดหยดน้ำที่ลดลงหัวใจของคนที่รักเรา ทำให้การมีชีวิตของเรานั้นมีค่า บางทีชีวิตก็ต้องการเวลาเพื่อให้ตัวเองได้หยุดนิ่ง คิด ไตร่ตรอง ให้ความสำคัญกับตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น แม้ว่าคนเหล่านั้นไม่เคยเรียกร้องให้เราใส่ใจเขาก็ตาม ความห่วงใยกันอย่างเอื้ออาทร ก็จะช่วยให้เราหันกลับมารู้จักตัวเองได้ดีขึ้น หากเราเพาะเมล็ดแห่งความรักนี้ได้ทุก ๆ วัน เนื้อนาแห่งความดีงามจะบังเกิดขึ้นในช้า....

ไม่มีความคิดเห็น: