เมื่อร้อนพัดผ่าน
ค่ำคืนวันที่ 4 วันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย กำลังจะเอนกายลงนอน ทันใดนั้น...ก็มีเสียงไซเรน เสียงหว๋อดังขึ้น ครั้งแรกคิดว่ารถพยาบาลวิ่งมารับคนป่วยในซอย แต่เสียงมันต่างจากรถฉุกเฉินโรงพยาบาล แล้วก็ตามมาด้วยคันที่ 2 3 4 ... มอเตอร์ไซต์อีกนับสิบ จึงรีบลงมาเปิดประตูบ้านเพื่อดูเหตุการณ์ เหมือนกับนัดหมาย ทุกบ้านเปิดประตูออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น!!! ไม่นานก็รู้ว่ามีเหตุเพลิงไฟ เพราะกลิ่นควันลอยมาถึงหน้าบ้าน ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้นรถดับเพลิงคันใหญ่วิ่งมาสมทบ แต่เข้ามาลำบากต้องช่วยกันโบกรถที่วิ่งสวนทางเพื่อให้รถใหญ่วิ่งได้ กว่าจะผ่านไปก็เสียเวลาหลายนาที ข่าวไฟไหม้เริ่มออกตามสื่อ เพื่อนฝูงคนรู้จัก รีบแจ้งรีบโทรมาสอบถามด้วยความห่วงใย แล้วก็ส่งภาพข่าว เทคโนโลยีรวดเร็วจริง ๆ จนได้รู้ว่า ไฟไหม้อีกที่หนึ่งที่เชื่อมต่อกับท้ายซอยในหมู่บ้าน ผ่านไปพักใหญ่ เพลิงสงบ แต่ผู้คนในซอยมิได้ลดลง กลับเพิ่มขึ้น มีทั้งเจ้าหน้าที่ มูลนิธิต่าง ๆ เดินเข้าออกนับร้อยคน ในความวุ่นวายนั้นกลับมีเรื่องให้ฉุกคิด เมื่อหลานสาวมายืนข้าง ๆ ถามว่า “คนในบ้านที่ไฟไหม้ คืนนี้เขาจะไปนอนที่ไหน” คำถามที่ปนด้วยความสงสาร ทำให้เราคิดว่านี่แหละ คือ ความเมตตาสงสารที่มีอยู่ในหัวใจคนไทย แม้กระทั่งจากคนรุ่นใหม่ ยุคที่เราเรียกพวกเขาว่า “คน Gen Me” ที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่กลับมีหัวใจห่วงใยผู้อื่น รับรู้ถึงความทุกข์ยากของผู้คน ใช่หรือไม่ ความดีงามมีอยู่ในหัวใจของทุกผู้คน เพราะเราถูกสร้างให้เกิดมาบนความดีงามนั่นเอง
เกือบๆ
เที่ยงคืน คลื่นรถคลื่นคนกว่าจึงเคลื่อนออกจากซอยจนหมด ก่อนนอนในหัวยังคงวนเวียนว่าคนที่ประสบภัยคืนนี้ชีวิตจะเป็นเช่นไร
ทำให้คิดถึงเรื่องราวของเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง
วันหนึ่ง...ลูกสาวพร่ำบนถึงชีวิตอันแสนลำเค็ญให้พ่อฟังว่า
เธอกำลังรู้สึกอับจนปัญญาที่จะจัดการกับชีวิตและปรารถนาที่จะยอมแพ้พ่าย
ด้วยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้และการแข่งขัน
ประหนึ่งว่าเมื่อสางปัญหาหนึ่งเสร็จสิ้น
อีกปัญหาหนึ่งก็ก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ
ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นพ่อครัวจึงเดินนำเธอเข้าไปในครัว
จัดแจงต้มน้ำในหม้อสามใบ ด้วยไฟแรงจนน้ำเดือด เขาใส่แครอทในหม้อใบแรก
วางไข่ลงในหม้อใบที่สอง และตักกาแฟลงไปในหม้อใบสุดท้าย แล้วปล่อยให้มันต้มไปเรื่อย
ๆ โดยไม่มีคำอธิบายเลย ฝ่ายลูกสาวเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและหมดความอดทน ทั้งยังสงสัยว่าพ่อกำลังทำอะไร
ยี่สิบนาทีผ่านไป เขาก็ปิดเตาแก๊ส ตักแครอทขึ้นมาวางไว้ในชาม
นำไข่วางไว้ในชามอีกใบหนึ่ง และตักกาแฟไว้ในชามสุดท้าย แล้วหันไปถามลูกว่า
“ลูกเห็นอะไรบ้าง” “แครอท ไข่ กาแฟ” เธอตอบ เขาจึงขอร้องให้เธอสัมผัสแครอท
เธอจึงรู้ว่ามันนิ่ม แล้วเขาก็ให้ลูกสาวตอกไข่ เมื่อเธอแกะเปลือกไข่ออก
ก็พบว่าไข่นั้นได้ต้มจนสุก แล้วท้ายที่สุดเธอให้ลูกสาวลองจิบกาแฟดู เธอยิ้มและลิ้มรสอันหอมกรุ่นนั้น
แล้วค่อย ๆ ถามว่า“นี่หมายความว่าอย่างไรเหรอคะคุณพ่อ”
พ่ออธิบายว่า เราได้กระทำต่อสามสิ่งนี้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน
นั่นคือ น้ำเดือด แต่ผลลัพธ์มันกลับแตกต่างกัน จากเดิม แครอท ดูแข็งๆ
และไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พอผ่านการต้มมันกลับนิ่มและดูอ่อนปวกเปียก ไข่ ซึ่งดูบอบบาง
มีเพียงเปลือกบาง ๆ คอยห่อหุ้มของเหลวภายใน
แต่น้ำเดือดทำให้ของเหลวนั้นกลับแข็งขึ้น ขณะที่ กาแฟ กลับมีลักษณะเฉพาะตัวตลอดกาล
เมื่อมาเจอน้ำเดือด น้ำต่างหากที่แปรเปลี่ยนไป
“แล้วลูกล่ะเป็นอะไร” พ่อถามลูกสาว
เมื่อความทุกข์มาเยือน ลูกจะเตรียมรับมืออย่างไรลูกเป็นแครอท ไข่ หรือ กาแฟ แครอทนั้นดูแข็งโป๊กแต่เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานาก็จะเฉา
อ่อนแอและสูญเสียเรี่ยวแรงกำลังไป หรือ
จะเป็นไข่ซึ่งดูสามารถปรับสภาพได้ในตอนแรกจิตใจอันอ่อนไหว
จะเป็นอย่างไรหลังจากที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การแตกแยก การหย่าร้าง หรือการถูกเลิกจ้าง
หัวใจหยาบกร้าน และแข็งกระด้างขึ้นหรือเปล่า แม้เปลือกภายนอกของคุณยังคงเดิม
หากหัวใจและจิตวิญญาณมันปวดร้าวและได้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง หรือเหมือนเมล็ดกาแฟ
เมื่อเจอน้ำเดือดอันนำมาซึ่งความเจ็บปวด แต่ ณ อุณหภูมิสูงสุด 100 องศา
กาแฟกลับมีรสชาติดีขึ้นยามนั้น หากเป็นดั่งกาแฟ เมื่อถึงภาวะที่เลวร้ายที่สุด นอกจากคุณจะสามารถจัดการชีวิตตนเองได้แล้ว
ยังสามารถทำสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้นได้ด้วย(ที่มา: http://patji.net/patji-club)
เช้ายามตื่นมาได้ดื่มกาแฟ พร้อม ขนมปัง ไข่ต้ม ทำให้ยิ่งคิดว่า ยามเมื่อความทุกข์ยากพัดผ่านมา เราต้องจัดการให้ชีวิตเราผ่านให้ได้ด้วยการละลายตัวเอง หล่อหลอมจิตใจให้เข้มแข็ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น