วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ยิ่งใหญ่เพื่อ....?

 

ยิ่งใหญ่เพื่อ....?

หลังจากช่วงโรคระบาดไวรัสโควิด-19 เล่นงานให้ผู้คนบนโลกให้ต้องหยุดชะงักงันในกิจกรรมบางอย่าง หันมาอยู่กับตัวตน อยู่กับคนในบ้าน เว้นระยะห่างทางสังคม อยู่ในสภาพนี้หลายเดือน และเมื่อต่างฝ่ายต่างเริ่มที่จะปรับตัว ควบคุมป้องกัน เริ่มคุ้นชินกับวิถีชีวิตในรูปแบบใหม่ได้แล้ว จึงเริ่มที่จะมีการเดินทางไปไหนต่อไหนได้ การเดินทางท่องเที่ยวต่างบ้านต่างแดนซึ่งไม่ได้ง่ายดายเหมือนเมื่อก่อน โชคดีที่ในประเทศของเราก็ยังสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้และที่น่าสนใจ คือ เราได้พบการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ ๆ ในที่ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยคิดว่ามีสถานที่แบบนี้ด้วย..? เป็นช่วงเวลาที่เราพบความอัศจรรย์ในบ้านเมืองเรา...

โดยส่วนตัวที่อยู่ในภาวะโรคระบาดแบบนี้จึงลดการเดินทางไปมากพอสมควร ครั้นเมื่อเริ่มปรับตัวเข้าที่เข้าทาง ก็มีบ้างที่เริ่มเดินทางไปที่นั่นที่นี่ และได้ค้นพบสิ่งสวยงาม แม้กระทั่งในระหว่างทาง ได้พบความงามบนท้องฟ้า ได้พบสีสันที่รังสรรค์โดยธรรมชาติ ท้องฟ้ายามเช้า – เย็น ยังเป็นสิ่งงดงามที่น่ามองเสมอ แสงแรกของวัน และแสงที่กล่าวลายามเย็น มอบความสวยงามให้กับโลกใบนี้ พร้อมกับมอบความอบอุ่นให้กับทุกชีวิตอย่างดีเสมอมา แล้วเราเล่า ? จะเป็นแสงทองของความงดงามเพื่อใครบ้าง???

ในวันที่ทุกสิ่งเริ่มพลิกผัน สร้างสิ่งที่แตกต่าง ที่ขนานนามกันว่า “การเปลี่ยนแปลง” การใช้ความหยาบเถื่อนถ่อย แล้วเรียกมันว่า “สันติวิถี” ใช้ความเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง ต้องเป็นแบบที่เราคิด แล้วพากันเรียกว่าเป็น “อิสระภาพ เสรีภาพ” พยายามทำตัวให้มีตัวตนให้เป็นคนยิ่งใหญ่ เพิ่มความเท่ ความเก่ง เพื่อเรียกร้องความสนใจ สร้างความสะใจ ให้มีเหล่าคนในโลกเสมือนจริงยกย่อง ปั้นฝันในอากาศ เปรมปรีดิ์กับคำสรรเสริญเยินยอผ่านตัวอักษรลอยลม เอามาเป็นแรงเร้าความฝัน เอาเข้าจริงชีวิตแบบนี้มักโดดเดี่ยวเหี่ยวเฉาเหงาหงอย เพราะเวลาอยู่ในความเป็นจริงเพียงลำพัง ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงกลับหามีไม่ แล้วเหตุผลอันใดเล่าที่ทำให้เราต้องการ ต้องกลายเป็นคนยิ่งใหญ่ให้ได้...

ในวันที่เราถูกสื่อสมัยใหม่บัญชาหนทางเดินของชีวิต หลงใหลไปกับความเร็ว ความง่าย และการหลอกลวงให้ได้มาซึ่งสิ่งจอมปลอม เรากำลังมุ่งหน้าไปอะไรกันเล่า?ต่างกันต่างหวังสร้างทาง สร้างตัวตนให้ปรากฏบนโลกนี้ ทั้ง ๆ ที่ หากเราได้นั่งลงทบทวน เรานั้นเป็นพียงสิ่งมีชีวิตเศษเสี้ยวของจักรวาล โลกมิได้อยู่ในกำมือเรา เราต่างหากที่อยู่ในอ้อมกอดของโลกใบนี้ หลายครั้งเรามักจะหลงไปไกลคิดกันเกินเหตุ ทำให้เราทนงตัวจนไม่เห็นตัวเอง เห็นเพียงเงาร่างที่เลือนลาง

โลกผ่านมาหลายพันหมื่นปีมีผู้คนเกิดมา แล้วล้มหายมลายไปจนนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงไม่กี่คนที่เรายังยกย่องความยิ่งใหญ่จวบจนวันนี้ ความยิ่งใหญ่เหล่านั้นล้วนแล้วมาจากการเอื้ออาทรต่อคนที่ต่ำต้อย ล้วนมาจากความรักที่มอบให้คนด้อยค่า ล้วนมาจากการต้องการพ้นทุกจ์ทางใจและกาย ที่สุดคือ การเป็นผู้ให้เพื่อคนอื่นทั้งสิ้น หนทางสู่ความยิ่งใหญ่มีเยี่ยงอย่างให้ดูให้จำ แต่การกระทำนั้นเราเองต้องเป็นผู้เลือกเดิน ในความเจริญทางเปลือกนอก บอกเรา ชักนำเราให้เดินทางแบบใหม่ โดยที่มิเคยมีหมุดหมายแห่งความสำเร็จ เป็นทางใหม่ที่พยายามบอกกล่าวกันว่า “มันท้าทาย ต้องกล้าเปลี่ยน” และหากว่า เราจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด มีเพียงตัวเองเป็นตัวตั้ง ก็คงมีแต่พังกับฝั่งเท่านั้น ตรงกันข้ามหากเราทำเพียงสิ่งเล็ก ๆ เพื่อผู้อื่น สิ่งนั้นมักยิ่งใหญ่และคงอยู่ในความทรงจำและเป็นสิ่งที่สวยงาม ที่จะช่วยเสริมเติมแต่งให้กับโลกใบนี้ ชีวิตก็เท่านี้แหละจะเอาอะไรกันนักหนา อาแมน

ไม่มีความคิดเห็น: