วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

งามล้ำ


 งามล้ำ
ในโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลใบนี้ แต่ละวันมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เรามิอาจจะรับรู้ได้หมดทุกเรื่อง และก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องด้วย แล้วมันก็เป็นไม่ได้เลยที่จะเป็นเช่นนั้น เราล้วนมีขีดจำกัด ในฐานะคนธรรมดาสามัญ แต่ด้วยในยุคเทคโนโลยีครองเมือง ครองคนจนทำให้โลกกว้างไร้ขีดจำกัด ทำให้เรารู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่โรคโควิด-19 กำลังไล่ล่าผู้คน เราจึงได้เห็นโรคในโลกอย่างรวดเร็ว เห็นมุมด้านของแต่ละชาติ เห็นอคติ ทัศนคติที่หลายคนเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เห็นความงาม เห็นความดีมีเมตตา บังเกิดขึ้นในหลาย ๆ แห่ง และที่สุดมันทำให้เรามองเห็นตัวเองมากขึ้น

     ในทุกวันเราเพียงแค่เรียนรู้หัวใจเรา เรียนรู้ที่จะรักเมตตาต่อคนรอบกายเรา ก็จะพบว่า “ไข่มุกเม็ดงาม” อยู่ตรงนี้ ยิ่งเพาะยิ่งบ่มยิ่งงามล้ำอำไพ ยิ่งแวววาว ใยต้องออกไปเสาะหาทั่วแดนเล่า? บางทีถ้าเราทำเรื่องธรรมดา ๆ เรื่องเล็ก ๆ มันก็ยิ่งใหญ่ได้ในบางสถานการณ์ อย่างเช่น ข่าวเล็ก ๆ ข่าวหนึ่ง ที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง เขารักและผูกพันกับผู้เป็นแม่สุดหัวใจ ในช่วงที่แม่กำลังจะจากไปชั่วนิรันดร์ เวลาที่เหลืออยู่ เขาจึงได้ทำบางอย่างโดยมิได้หวั่นกลัวในอันตราย เพื่อให้เห็นหน้าแม่ในวาระสุดท้าย ด้วยโรคระบาดโควิด -19 ทำให้การเฝ้าไข้ดูแลแม่เป็นเรื่องลำบาก มีข้อจำกัด ต้องรักษาระยะห่าง
จีฮัด อัล ซูไวติ ชาวปาเลสไตน์วัย 30 ปี ปีนกำแพงโรงพยาบาลเฮบรอน ในเขตยึดครองเขตเวสต์แบงค์ ที่แม่ของเขารักษาอาการป่วยโรคมะเร็งและโควิด-19 อยู่เป็นประจำทุกวัน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล กล่าวว่า หนุ่มรายนี้ปีนท่อน้ำขึ้นไปนั่งบนขอบหน้าต่าง จุดที่มองเห็นแม่ในห้องคนไข้แผนกไอซียูบนชั้นสองจากด้านนอก และจะลงมาต่อเมื่อมั่นใจว่าแม่หลับแล้ว แม้ว่าอัล ซูไวติ ได้รับการเตือนว่าไม่ควรปีนกำแพงแบบนั้นเพราะอาจพลัดตกลงมาได้ แต่เขาไม่ฟัง ยังคงปีนขึ้นไปนั่งดูแม่วัย 73 ปีทุกวัน
รายงานระบุว่า นางรัสมี ซูไวติ แม่ของเขา ป่วยเป็นลูคีเมีย ก่อนติดไวรัสโรคโควิด-19 เมื่อสองสามสัปดาห์ที่แล้ว พี่ชายของอัล ซูไวติ กล่าวว่า น้องชายใกล้ชิดกับแม่มาก โดยเฉพาะตั้งแต่พ่อจากไปเมื่อ 15 ปีก่อน เคยพยายามจะเข้าไปในรพ.เมื่อรู้ว่าแม่อาการทรุดลงแต่ไม่ได้รับอนุญาต ( cr. เพจ :คมชัดลึก)
บางทีโควิด-19 ก็ให้บทเรียนกับเราในเรื่องของการอยู่กับคนที่เรารัก มีเวลาให้กัน มีเวลาดูแลกัน มีเวลาใส่ใจกันและกัน โลกนี้กว้างเกินกว่าที่เราจะไขว่คว้าอะไรต่อมิอะไรได้ แต่วิถีธรรรมดาบนโลกนี้ยิ่งใหญ่เกินสิ่งใด ถ้าเรารู้จักที่จะรักและค้นพบให้เจอ ในชีวิตจริง บ่อยครั้งเราก็พยายามออกตามหาความสำเร็จในรูปแบบต่าง ๆ จากสิ่งนั้นไปสู่สิ่งนี้ไม่หยุดหย่อน ไม่ผ่อนคลาย ตะเกียกตะกายตามหาคำสรรเสริญเยินยอ อยากเป็นที่รักของทุกคน แต่ไม่เคยมอบรักแท้ให้กับคนใกล้ตัว เห็นความสำคัญกับคนนั้นคนนี่ แต่คนที่ทำให้เราแทบเป็นแทบตายกลับไร้ค่า หรือมีบ่อยไปที่เราไม่เคยจะชื่นชมคนทำงานด้วยกัน เอาแต่กล่าวว่าบ่นจนเสียกำลังใจ เพราะมัวแต่ไปยกย่องชื่นชมคนที่เพียงผ่านมาพูดมากล่าวให้ฟังด้วยถ้อยคำที่สวยหรูจนเคลิ้มตาม ประสบการณ์แบบนี้เราเห็นกันอยู่ทั่วไป 
เอาเข้าจริง ในยามที่ลำบาก เวลาที่ทุกข์ยาก จะเหลือคนสักกี่มากน้อยที่อยู่เคียงข้างเรา และคนที่ไม่ทิ้งห่างจากเรา คนเหล่านี้แหละที่ห่วงใยเราจริง และพร้อมจะอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ นี่คือสมบัติล้ำค่าที่สุดที่เราควรดูแลรักษาไว้ เรามีไข่มุกเม็ดงามในหัวใจเราและสมบัติล้ำค่าที่มากับคนร่วมทุกข์-สุขกับเราอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่สวรรค์มอบมาให้เรา เพียงแต่เราได้เห็นค่ากับสิ่งงามล้ำอันนี้หรือเปล่า    ภาพหนุ่มน้อยนั่งเฝ้าแม่ตรงหน้าต่างโรงพยาบาลนั้น คือ บทสอนของความรักที่ธรรรมดาแต่แสนจะยิ่งใหญ่เกินคำบรรยาย ที่เราหลายคนอาจจะมองข้ามผ่านไป คุณค่าของชีวิตอยู่ตรงที่มีความรัก มิได้อยู่ที่มีเงินทองทรัพย์สมบัติ

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

คาดคิดผิดชีวิตเปลี่ยน


คาดคิดผิดชีวิตเปลี่ยน
ก่อนนอนเรามักจะอวยพร ส่งข้อความหาคนนั้นคนนี้ขอให้ “ฝันดี” และเมื่อหลับไปแล้วเราก็มิอาจจะคาดหวังว่า คืนนี้จะได้ฝันดีเช่นนั้นหรือเปล่า!!! แต่ตื่นมาทุกคนจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์ที่เป็นจริง กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเรา และแน่นอนบางคนอาจจะตื่นขึ้นมายังคงค้างคากับความฝันในค่ำคืน อาจจะไม่ใช่ฝันดีดังคำอวยพร อาจจะฝันถึงเรื่องราวในอดีต อาจจะฝันถึงนั่นนี่มากมาย แต่มันเป็นเพียงความฝันที่อาจจะผันแปรจากการกินอาหารค่ำ จากความคิดค้างคา บางครั้งเราอาจจะกังวลใจจนเก็บเอาไปฝัน บ่อยครั้งเราก็กลัวว่าฝันจะเป็นจริง ต้องหาทางแปลตีความหมายของฝันนั้นให้กระจ่าง (อาชีพหมอดูจึงเบ่งบานตลอดมา) ซึ่งมันก็คงเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด เพราะบางสิ่งที่เกิดขึ้นมักเหนือความคาดคิด คาดเดาได้เสมอ
ความตกอกตกใจในความกลัวการระบาดรอบสองของโควิด-19 แพร่กระจายไปจนทำให้ไวรัสที่ว่ารวดเร็วแล้วยังต้องยอมแพ้ แน่นอนความกลัวเกิดขึ้นง่ายในภาวะเช่นนี้ บางคนกลัวจะติดเชื้อ กลัวตาย บางคนกลัวว่าจะต้องติดอยู่กับบ้านเพราะการล็อคดาวน์อีกครั้ง จนจะไม่สามารถทำมาหากินได้ ประเด็นนี้ใหญ่มากที่จะสร้างความยากลำบากและส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ยิ่งเมื่อข่าวที่ถูกใส่สีเพิ่มเติมด้วยการแข่งขันขายข่าวมากกว่าการให้ข้อมูลจริง ก็ยิ่งสร้างความกลัวขยายวงกว้างไปอีกหลายเท่าตัว เมื่อเกิดความกลัวก็เลยเกิดการโวยวาย โกลาหลกันไปใหญ่ ต้องหาคนผิดต้องด่าคนพลาด คนทำงานใหญ่ย่อมต้องเข้าใจสัจจะอย่างหนึ่งทำดีร้อยครั้งไร้ชม เจอถล่มเมื่อพลาดเพียงครั้งเดียว สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ร่วมกันในวันนี้ นี่ไม่ใช่ฝันร้าย แต่มันคือความจริง ในโลกใบนี้มักเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ในทุกวินาที มีแต่ใจที่นิ่ง มีวินัยเป็นวิถี จึงจะยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้ สิ่งที่ทำให้เราแปรเปลี่ยนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดได้คือการมองในมุมที่สวยงาม อย่ามองอย่าคิดให้ชีวิตเกิดความทุกข์แม้ในคืนที่ฝันร้าย
เศรษฐีฝันว่า “ภูเขาถล่ม แม่น้ำเหือดแห้ง ดอกไม้ร่วงโรย” ตื่นขึ้นมาจึงเล่าให้ภรรยาฟัง
ภรรยาอุทานออกมาด้วยความตกใจ “วิบัติแล้ว ๆ ”
และทำนายว่า “ภูเขาถล่มหมายถึงทรัพย์สมบัติจะสูญสิ้น แม่น้ำเหือดแห้งหมายถึงลูกหลานจะแก่งแย่งช่วงชิง ดอกไม้ร่วงโรยหมายถึงเร็ว ๆ นี้จะมีคนตาย”
เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็ล้มป่วย
พอลูกชายเจ้าปัญญารู้ข่าวก็รีบมาหาพ่อ
พ่อครับ นี่มันเป็นฝันดี ไม่ใช่วิบัติ!”
ภูเขาถล่มหมายถึงเราจะได้ลาภกองโต แม่น้ำเหือดแห้งหมายถึงลูกหลานจะโดดเด่นเหนือใคร ดอกไม้ร่วงโรยหมายถึงเงินทองที่เขาหยิบยืมไปจะได้กลับคืนเต็มเม็ดเต็มหน่วย”
เมื่อผู้เป็นพ่อได้ฟังก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง ( เรื่องราวจากเพจ : นุสนธิ์บุคส์)
เรื่องบางเรื่องอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดคิดเสมอไป วิธีทำให้ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาเป็นเรื่องงดงามนั่นคือ การเพาะจิตใจเราให้คิด ให้มองในด้านดี ๆ ใช่หรือไม่โลกนี้เต็มไปด้วยความงาม สายลม แสงแดด ต้นไม้ใบหญ้า ท้องฟ้า หมู่ดาว เมฆฝน ล้วนแต่สอนเราในด้านงาม ความต่ำทรามมาจากหัวใจที่คับแคบ มาจากจิตริษยาและตัณหาเป็นตัวนำพา โควิด-19 แม้จะร้าย แต่ที่เลวร้ายกว่าคือ จิตใจคนที่เห็นแก่ตัว
       
มาเพาะเมล็ดพันธุ์ดีให้เกิดขึ้นในชีวิต ใส่ความรักเมตตา สร้างกรอบวินัย เพิ่มเติมใส่ใจกันและกัน เพื่อทำให้เมล็ดที่หว่านไปนั้นเติบโตขึ้นอย่างสวยงาม เมื่อทุกต้นสวยงามแข็งแรง ครั้นรวมกันเป็นท้องทุ่ง ต่อให้มีสิ่งที่ไม่คาดคิดพัดผ่าน เราก็สามารถที่จะร่วมกันต้านทานไปด้วยกันได้อย่างปลอดภัย เราก็เป็นเมล็ดๆหนึ่งที่สวยงามมิใช่หรือ มาร่วมร้อยใจร้อยกายกันให้เป็นทุ่งทอง ทุ่งธรรม ร่วมต้านโรคร้ายไปด้วยกัน เราต้องรอดและยืนขึ้นอย่างมั่นคงต่อไปในหนทางชีวิตจริงโดยมีพระเจ้านำทาง

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

โควิดจิตวิญญาณ


โควิดจิตวิญญาณ
ครึ่งปีผ่านไป เวลาเดินทางอย่างรวดเร็วแต่มั่นคงเสมอ หลังจากที่ต้องถูกกักตัวกันมานานเป็นร้อยวัน เมื่อมีมาตรการผ่อนคลายหลายคนก็เริ่มออกจากบ้านไปพักผ่อนตามที่ต่าง ๆ กันบ้าง โดยเฉพาะวันหยุดติดต่อกันมักจะเห็นผู้คนออกไปอยู่กับธรรมชาติ นี่แหละความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งสร้างที่มิอาจจะแยกจากกันได้ ถึงแม้เราจะมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิต แต่บางสถานการณ์เราก็ต้องเคารพกฎกติกาของส่วนรวม การได้เห็นต้นไม้สูงใบหญ้าต่ำเตี้ย ใบข้าวเขียวขจี แสงแดดส่องสีทองอร่าม สายลมเย็นกลางทุ่ง ยืนชมความงามริมทุ่ง ทำให้หวนคิดถึงหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
แม้ว่าประเทศไทยจะไม่มีคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาเป็นเวลานานพอสมควร แต่เราก็ยังต้องดำเนินชีวิตตามกรอบกฎวินัยอย่างเคร่งครัดต่อไป เพราะการระบาดยังคงมีมากขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ บางแห่งก็คิดเอาเองว่าเสรีภาพสำคัญกว่าสุขภาพ เสรีชนสำคัญกว่าสาธารณะชน อันนี้ก็สุดแล้วแต่พื้นฐานทางทัศนคติที่ได้เพาะบ่มกันมา สำหรับเราประเทศไทยเราก็เดินตามคำแนะนำทางการแพทย์ไทยเราต่อไป ใครจะรู้ดีเรื่องในบ้านเราเท่ากับคนในบ้านเราเล่า!!!แม้แต่เรื่องลิงเก็บมะพร้าว วัฒนธรรมเก่าแก่ วิถีชุมชนยังต้องมาสับสนกับเรื่องการสิทธิเสรีภาพ เพื่อการค้าการขาย เป็นเรื่องที่สังคมหนึ่งหยิบยื่นให้อีกสังคมหนึ่งทำตาม ไม่งั้นไม่ซื้อไม่ขายของด้วย ตราบใดที่เราเอาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นำหน้าทุกอย่าง ตราบนั้นเราก็ไร้ซึ่งความมีน้ำใจต่อกัน
โควิด-19 ติดต่อง่ายด้วยการติดต่อสื่อสาร แต่โควิดทางจิตวิญญาณยิ่งติดง่ายและฝังรากลึกลงไปอย่างยากที่จะถอนขึ้น บ่อยครั้งระบบที่สร้างกันขึ้นมาก็นำเอาความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวฝังลงในนิสัยผู้คน ต้องมีความรู้ และยิ่งต้องรู้ไปหมดทุกเรื่อง ต้องมีความสามารถพิเศษ ต้องมีข้าวของเงินทอง ต้องมีประสบการณ์สูง ต้องเป็นไลฟ์โค้ช ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างตัวเองให้สูงส่ง สร้างตัวเองให้เด่นดัง มิได้ถูกปลูกหวังให้เป็นอนาคตเพื่อช่วยเหลือเสริมส่งกันและกัน สร้างให้แต่ละคนเป็นเอกบุรุษ สิ่งเหล่านี้ยิ่งมียิ่งนำไปสู่โรคร้ายทางวิญญาณที่เป็นกันอยู่ในปัจจุบัน ผู้คนทุกวันนี้ป่วย ถูกโควิดกัดกินจิตวิญญาณมายาวนาน  เมื่อใจป่วย การอยู่ร่วมกันทางสังคมก็อ่อนแอ อ่อนหล้า มีความรู้มากมายแต่กลายเป็นว่าไร้สติปัญญา ไม่สามารถจะแก้ปัญหาชีวิตได้ เกิดอาการซึมเศร้าเหงาทรวง แต่ละคนดูจะเหนื่อยล้าต้องการกำลังใจ ต่างคนต่างมีปัญหาที่หลบซ่อนในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
บ่อยครั้งเรามักเอาความรู้นำความรัก หากเราพยายามให้คนรุ่นนี้รู้รักที่จะนำความรู้ออกไปใช้เพื่อสร้างให้เกิดสันติสุขในสังคมให้เป็นแล้ว ความร่มเย็นคงตามมา อย่าไปกังวลว่าจะต้องมีความรู้มากมาย ต้องเรียนจบสูง ๆ ต้องเก่งอย่างโน่นเก่งอย่างนี่สารพัด มีไม่น้อยที่เราเห็นคนที่เรียนจบปริญญาเอก โท แต่ชีวิตภายในเพียงแค่เตรียมอนุบาล เหมือนดังคำที่ว่าไว้ ฉลาดแต่ไม่เฉลียว คนเป็นพ่อแม่สมัยนี้ก็ต้องเข้าใจจุดนี้ให้ลึกซึ้ง จะได้ไม่ไปบังคับเคี่ยวเข็ญให้ลูกหลานต้องเรียนให้ได้คะแนนเยอะ ๆ เกรด 4 มีความสามารถรอบด้าน จนกระทั่งลูกหลานเกิดความเครียด โตมาแบบหัวโตใจแคบ จัดลำดับความสำคัญในชีวิตก็ไม่เป็น เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้ดังใจก็โวยวายเรียกร้อง พ้องเพื่อนไม่เคยจริงใจไร้คนคบหาสมาคม แล้งไร้น้ำใจต่อกัน หันมาอวดแข่งดีแข่งเด่นกันและคอยแสวงหาความสำเร็จให้เป็นที่ยอมรับแต่เฉพาะของตัวเอง

เมื่อเราเหนื่อยหน่ายเรายังกลับไปหาธรรมชาติให้ช่วยบำบัด โรคทางวิญญาณจะทุเลาลงได้ต้องกลับมาที่จุดเดิม คือ “น้ำใจ” ที่มอบให้กัน นี่จึงเป็นการรักษาโควิดจิตวิญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากไหนก่อนล่ะ ก็เริ่มจากคนใกล้ชิด คนรอบตัวเรานี่แหละ ต้นตาลที่สูงเด่นแต่ดูเงียบเหงา ก็สู้เหล่าต้นข้าวที่ชูช่อไสวล้อเล่นลมกันอย่างเบิกบานไม่ได้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เราต้องหยุดและเปลี่ยนทัศนคติที่ว่า คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมี ความรู้ความสามารถ มีเงินมีทอง มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง รู้ทุกเรื่อง ทำเก่งทุกด้าน ไม่กลัวปัญหา แก้ปัญหาให้คนอื่นได้ เราจึงจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้ ไม่ใช่เลยอย่าไปให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากนัก เอาแค่มีน้ำใจให้กันอย่างจริงใจ ทำอะไรแล้วมิต้องคาดหวัง พึ่งพาอาศัยกัน คนที่สูงใหญ่กว่าย่อมต้องเสียสละมากกว่า รับแสงแดดที่แรงกว่า และคอยให้ร่มเงาแก่ผู้น้อย ส่วนผู้น้อยก็เกี่ยวก้อยร้อยใจยึดฐานไว้เพื่อให้ผู้สูงใหญ่ได้มั่นคง ต่างสิ่งเอื้อเกื้อกูลกัน ถ้าสังคมเป็นเช่นนี้ได้ โควิดจิตวิญญาณก็จะอ่อนแรงและไม่อาจจะทำลายความเป็นมนุษย์ของพวกเราได้เลย

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

อัศจรรย์วันธรรมดา


อัศจรรย์วันธรรมดา
ภาวะธรรมดาของหนทางชีวิตเริ่มค่อย ๆ กลับคืนสู่ผู้คน โรงเรียนเริ่มเปิด รถเริ่มติด รถสาธารณะเริ่มแน่น หลายคนเริ่มสู่ชีวิตที่แสนจะธรรมดา หลังจากที่ถูกผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 กัดกินโลกไปค่อนใบ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย จนกลายเป็นความธรรมดาไปเสียแล้ว วันนี้เราเริ่มต้นชีวิตเก่าในรูปแบบใหม่ขึ้น เป็นความธรรมดาที่เปลี่ยนไป ในช่วงเกือบร้อยกว่าวันที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้ถึงความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในคุณค่าของชีวิต เสมือนกับเป็นการฉุดให้หยุด แล้วค่อย ๆ ฟื้นฟูกันขึ้นมาใหม่ สังเกตเห็นหลายคน เริ่มมองเห็นความสวยงาม ความอัศจรรย์รอบ ๆ ตัวในทุกช่วงเวลา ส่วนตัวก็เช่นกันได้เห็นอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยมองทั้ง ๆ ที่มันมีอยู่แล้ว จนรู้สึกพิศวงในความอัศจรรย์ของวันเวลา
ยามเช้า บางวันที่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำภารกิจบางอย่าง หลายครั้งท้องฟ้ายังมืดมิดไร้แสง แต่บ่อยครั้งได้เห็นแสงอ่อน ๆ ปริ่ม ๆ ขอบฟ้าไกล สีของท้องฟ้าในเวลาเดียวกันไม่เหมือนกันสักวัน บางวันมืดมิด บางวันมีสีสัน ชีวิตคนเราก็เช่นนั้นมีมืดมนหม่นหมองวันเศร้า มีสีสันสว่างใสวันสุข แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปหมุนเวียนวนกันเข้ามา สำหรับคนที่ตระหนักรู้ก็จะมองเห็นเป็นเพียงธรรมดาสามัญ ทำให้ชีวิตเรามีมิติ มีแข็งแกร่งมีอ่อนโยน มีกล้าหาญมีอ่อนแอ แต่แท้จริงทุกวันมีความรักอยู่ในนั้นเสมอ
ยามสาย ในช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับบ้าน ตามคำแนะนำของภาครัฐ หลายคนอาจจะมีช่วงเวลาตื่นนอนสาย ๆ จนเริ่มรู้สึกเบื่อกับการตื่นสาย หรือเริ่มตื่นมาไม่รู้จะทำอะไรดี สิ่งหนึ่งที่มักทำประจำ คือ การรดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน บ่อยครั้งก็รด ๆ ไปก็ไม่ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อมีเวลามากขึ้น เริ่มดูความต้องการน้ำของต้นนั้นต้นนี้ว่าควรต้องให้ปริมาณเท่าไร พอเริ่มใส่ใจ ผลที่ตามมา ต้นบางต้นเริ่มผลิดอก อัศจรรย์วันธรรมดาก็สร้างสุขได้ ดอกไม้ที่บานยามสาย ให้ชื่นชมไม่นาน ใกล้ ๆ เที่ยงก็เริ่มห่อเหี่ยวเฉาไป วันใหม่ก็ออกดอกใหม่ให้ชื่นชม บางวันก็ไม่ออก ทำให้ทุกวันต้องลุ้นว่าวันนี้จะมีให้เห็นหรือไม่ สร้างความหวังน้อย ๆ บนวิถีธรรมดา
ยามบ่าย ความร้อนแดดเมืองไทยที่ร้อนแรงเหลือเกินในช่วงเดือนที่ผ่านมา และจากการที่เราหยุดเชื้อเพื่อชาติ ด้วยมาตรการให้ทำงานที่บ้าน ทำให้มลพิษบนท้องฟ้าลดลงไป หลายครั้งเราเห็นฟ้าใสเมฆสวยปรากฎให้เห็น จากที่สลัวขมุกขมัว มองไปมีแต่ความขุ่นมัวมานาน โควิด-19 ทำให้หลายเมืองในโลก ลดมลพิษทางอากาศ แต่เพิ่มความกังวลด้านเศรษฐกิจ กลางวันที่เคยเป็นวิถีขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนระบบการหาเงินมาเป็นเวลาหลายร้อยปี อยู่ ๆ ต้องหยุดชะงัก ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบตามมาอย่างมหาศาล วันนี้เริ่มต้นกันใหม่ ยามบ่ายเริ่มเห็นความพลุกพล่านของผู้คนออกมาหาของกิน ออกมานั่งในร้านอาหาร ที่ถูกแบ่งให้มีระยะห่าง ต่างก็รักษาวินัยกัน เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดรอบสองเพราะหากเกิดขึ้นมาอีก ก็จะทำให้ยิ่งแย่กันไปกันใหญ่ นี่จึงเป็นความอัศจรรย์ยามบ่ายที่เราเห็นความมีวินัยมากขึ้น มีความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ตั้งแต่เด็กจนผู้ใหญ่
ยามค่ำคืน กี่ครั้งแล้วที่เราก้มหน้าก้มตาจนลืมดูเวลานาที บางครั้งทำงานจนมืดค่ำ หน้าดำหน้าแดง หมดเรี่ยวแรงที่จะมองเห็นแสงสวยยามค่ำคืน แสงจันทร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่เคยมองไร้อารมณ์ถวิลหา แท้จริงดวงจันทร์ก็ไม่เคยหนีหายหรือเบื่อหน่ายที่จะทำหน้าที่ ยังคงสาดแสงอ่อนละมุนมาทุกคืน จันทร์เสี้ยวกับมุมตึกสูง เป็นช่วงจังหวะที่แหงนมอง จนทำให้รู้สึกถึงความเป็นจริงของสิ่งสร้างที่เที่ยงแท้ แล้วเราจะหาความเที่ยงแท้ให้กับวิถีชีวิตได้อย่างไร? หากไม่เหลียวมองคนอื่น มองเห็นความอัศจรรย์ของผู้คนรอบตัวเรา 
บางทีถ้าไม่มีคนกวาดถนน เราจะเห็นความสะอาดหรือไม่? ไม่มีคนขับรถบริการสาธารณะ เราจะไปถึงเป้าหมายได้หรือเปล่า? ไม่มีพ่อค้าแม่ขายเราจะอิ่มเอมโดยไม่ต้องเสียเวลาทำกินเองไหม? ถ้าไม่มีครอบครัวที่อบอุ่นเราจะรู้สึกถึงความห่วงใยกันได้อย่างไร? ความอัศจรรย์ในวันเวลาที่แสนธรรมดา เมื่อมองด้วยใจเราจะเห็นความรักอันยิ่งใหญ่อยู่ตรงนั้นนั่นเอง