ศรัทธาออนไลน์
แม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลายดีขึ้นเรื่อย ๆ มาเป็นระยะ ๆ จวบจนเกือบจะเข้าสู่สภาวะปกติ
แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนไปจากเดิม ถึงแม้ว่าในหลายสถานที่หลายแห่งเริ่มเปิดใช้
เปิดบริการ ผู้คนก็ยังกล้า ๆ กลัว ๆ การติดเชื้อ การใช้หน้ากากอนามัยปิดปาก
กลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด ในระยะแรก ๆ หน้ากากอนามัยกลายเป็นของหายาก
จนเกิดการเกร็งกำไร เกิดการทุจริตด้วยการกักเก็บ มาถึงวันนี้มีใช้กันคนละหลายอัน
บางคนมีติดตัว ติดกระเป๋า ใส่ไว้ในรถ ในที่ทำงาน เรียกว่าจะออกไปไหนพร้อมมีใช้
เพราะหากไม่พร้อม อาจจะไม่ได้เข้าไปในสถานที่ที่หมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านรวง
ห้างสรรพสินค้า ตลาด ธนาคาร สถานที่ติดต่อทั้งเอกชนและราชการ โรงพยาบาล
รวมถึงวัดด้วย
แล้วเวลาเราใส่หน้ากากอนามัยเราสัมผัสถึงอะไรบ้าง?
เราเหมือนถูกทำให้พูดน้อยลง
บางครั้งพูดเยอะไปก็เริ่มรู้สึกถึงมลพิษที่ออกจากปากเรา เงียบ ๆ ลงบ้าง
ลมหายใจสดชื่นขึ้นเยอะ ใช่..เรื่องปากเป็นที่เรื่องสำคัญ เรารับประทานก็ทางปาก
เราพูดคุยสื่อสารก็ด้วยปากที่เปล่งคำพูดออกมา และเมื่อโควิด-19
มาเยือนปากของเราก็ถูกลดบทบาทลง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง
ทำให้ผู้คนพูดในสิ่งที่จำเป็น ๆ อะไรที่เคยหลุดรอดออกจากปาก ก็ต้องระงับยับยั้ง
พอเราพูดกันน้อยลง แต่ต้องพูดให้รู้เรื่อง ก็เกิดการตั้งใจฟังกันมากขึ้น
ประสาทรับรู้ต้องสัมพันธ์กัน และเรียนรู้ที่จะอยู่ให้เป็นในสังคมแบบใหม่
ที่พูดให้น้อย แต่ต้องสื่อสารให้ได้มากขึ้น หลายคนอาจจะเกิดอาการอึดอัด
ยังดีที่โลกเรามีระบบออนไลน์ สังคมโซเชี่ยลไว้รองรับ ทำให้เกิดการบ่น การระบายผ่านทางโลกออนไลน์มากขึ้น
โลกเสมือนจริงบางครั้งก็สร้างเรื่องให้จริงจังเกินไป เพียงแต่คิดเล่น ๆ ว่า
หากมีวันใดวันหนึ่ง โลกเราจำกัดการพูดกันแบบตัวต่อตัวลง ถูกกำหนดการสื่อสารออนไลน์ให้น้อยลง
เราจะอยู่กันอย่างไร? ในขณะที่เราเห็นด้านไม่ดีงามเกิดขึ้น ด้านที่งดงามก็มีมากมายทีเดียว
โลกนี้มีหลายมิติเสมอ
ปราชญ์กล่าวว่า “ทำแต่น้อย สุขสงบ” ไม่เป็นการดีกว่าหรือ ถ้าจะทำเฉพาะสิ่งที่จำเป็น
อยู่สอดคล้องกับคลองธรรมที่กำกับไว้ เช่นนี้ มิใช่แค่สงบเพราะทำสิ่งที่ควร
แต่จากการทำไม่กี่สิ่งเช่นกัน ส่วนใหญ่คำพูดและการกระทำของเราไม่จำเป็น กำจัดเสีย
เวลาจะมีมากขึ้น ความขุ่นข้องจะลดลง ฉะนี้ ทุกครา จงเตือนตนว่า นี่เกินความจำเป็นหรือไม่
(หนังสือ Meditations)
ในช่วงที่ผ่านมาโลกต้องใช้มาตรการเว้นระยะห่าง บางคนก็รู้สึกอัดอัด
หลายคนปรับตัวได้เราก็ใช้เครื่องมือสื่อสารให้เป็นประโยชน์
ติดต่อเชื่อมความสัมพันธ์ผ่านทางโครงข่ายแทน แม้กระทั่งเรื่องความศรัทธา
ถึงแม้ว่าวัดวาจะถูกให้ปิดเพื่อป้องกันโรค โลกออนไลน์ก็ทำให้เกิดความศรัทธาที่ส่งผ่านออกไปไกลสุดโลก
มิสซาออนไลน์กลายเป็นการสร้างแรงศรัทธาเกิดขึ้นอย่างมหาศาล แน่นอนเรื่องการร่วมพิธีกรรมในวัดแบบตัวเป็น
ๆ คือสิ่งสำคัญและจำเป็นยิ่งนัก แต่เมื่อสถานการณ์บังคับย่อมมีข้อยกเว้น และรอยต่อตรงนี้
เรากลับได้เห็นความงามที่บังเกิดขึ้น
หลายคนได้รับฟังพระวาจาที่ช่วยให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมั่นคง
หลายคนได้รับความสงบใจ ความชุ่มชื่นใจในความศรัทธาสาธารณะแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลายคนเข้าร่วมมิสซาวันละหลายรอบ ร่วมสวดภาวนาวันละหลายครั้ง บางคนจากที่ไม่เคยคิดจะใช้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ที่เห็นเด็ก
ๆ ก้มหน้าก้มตาถู ๆ ไถ ๆ มาวันนี้ต้องใช้เพื่อพระก็ทำได้ ในขณะที่ร่วมออนไลน์ในพิธีกรรมหลายคนก็อยากมีส่วนร่วม
ตอบรับบ้าง อาจจะงง ๆ ว่าทำไมคำที่ตอบรับขึ้นช้า มิสซาเลยไปเยอะแล้ว
และที่เป็นข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ การกดไลค์
กดหัวใจ แม้กระทั่งกดห่วงใยมีให้เห็นมากมาย แต่ที่รู้สึกแปลกสักหน่อย
มีคนกดโกรธให้ด้วย เคยคิดว่าทำไมต้องโกรธกันในระหว่างมิสซา ก็คิดในแง่ดีเสียว่า อาจจะเกิดการกดผิด
หรือเข้าใจสัญลักษณ์ผิดไป เลยกดส่งมา ไม่ได้โกรธจริง ๆ
จะอย่างไรก็แล้วแต่ การร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวของเราคริสตชนในท่ามกลางวิกฤตครั้งนี้
ทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งห่างยิ่งห่วง ทำให้เราเข้าใจและสื่อสารกันในสิ่งสำคัญกันมากขึ้น
มีเวลาไตร่ตรองคัดกรองความดีงามกันมากขึ้น
และการใช้ปากเพื่อให้เกิดความดีงามมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ความศรัทธาไม่ได้มาจากปากเปล่งแต่มาจากหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยแรงรักต่างหาก
แม้ว่าเราจะไม่ได้รับพระกายพระคริสตเจ้าผ่านทางปาก ที่บ่อยครั้งก็ไม่ได้สะอาดเพียงพอสำหรับพระองค์
เราต่างรับพระคริสต์ด้วแรงใจที่ปรารถนา และส่งผ่านออกมาด้วยความรัก เพื่อมอบให้กับทุกคน
ช่วงเวลาเช่นนี้อาจจะเป็นช่วงที่ทำให้พระวรกายของคริสต์มีประสิทธิภาพมากที่สุดในตัวเรา
และจะนำมาซึ่งสันติสุขของเราทุก ๆ คน ในวันข้างหน้า...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น