วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563

อยากมีตัวตน


อยากมีตัวตน
ช่วงระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝนโปรยลงมาเกือบทุกวัน สิ่งที่หลายคนเป็นห่วง คือ การระบาดของโควิด-19 อาจจะมีรอบสองเหมือนในหลายประเทศที่กำลังประสบอยู่ เพราะเชื้อไวรัสตัวนี้ชอบอากาศที่เย็น ๆ ชื้น ๆ เรายิ่งต้องช่วยกันมีวินัยให้มากขึ้น อย่าได้หล่ะหลวม ปล่อยตัวตามสบาย และประเทศไทยเราถือว่าสุดยอดมากในเรื่องนี้ ติดอันดับต้น ๆ ของโลกในการควบคุมโรคระบาดโควิด-19  เพราะเราช่วยกันปฏิบัติตามคำแนะนำของภาครัฐอย่างเคร่งครัด รักษาวินัยได้อย่างน่าชื่นชม และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าระเบียบวินัยที่เราทำกันอยู่นี้จะกลายเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของเราต่อไป ไม่ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามแบบเดิม ๆ เรากำลังก้าวสู่โลกยุคใหม่ ที่หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป วิถีการดำเนินชีวิตย่อมเปลี่ยนตามไปด้วย
เช็ค แชร์ ช้อป ออนไลน์ - บริการจัดทำเว็บไซต์ e-Commerce » บริการ ...
และด้วยวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เราสามารถจับจ่ายซื้อของผ่านทางอากาศ ผ่านทางมือถือได้อย่างง่ายดาย ยิ่งมีเวลาอยู่บ้านกันมาก ๆ ในช่วงกักตัวให้ปลอดโรค หลายคนก็เกิดโรคอีกชนิดหนึ่งขึ้นตามมา คือ โรคเสพติดการสั่งซื้อของออนไลน์ ช้อปกระจายออนไลน์ สั่งเกือบทุกวัน แม้ราคาอาจจะไม่แพง ไม่กี่สิบกี่ร้อย ก็ขอให้ได้สั่ง บางทีสั่งมาแล้วก็ใช้ไม่ได้ ไม่ได้ใช้ก็มี ยิ่งเข้าไปดูสิ่งของที่มีมากมายให้เราเลือกได้เพียงปลายนิ้วเขี่ย เราก็ยิ่งอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มากขึ้น อันนี้ก็สำคัญ อันนั้นก็จำต้องมี เป็นความเพลิดเพลิน เจริญตาเจริญใจ เจริญกระเป๋าตังค์ หรือนี่อาจจะเป็นการส่งเสริมช่วยเศรษฐกิจเติบโตขึ้นไปในตัว บางคนสนุกกับการได้สั่งของ ได้จ่ายเงินโดยที่ไม่ต้องจ่ายแบบสด ๆ พอไม่เห็นเงินตัวเป็น ๆ เราก็คิดว่าเป็นสิ่งสมมุติ เหมือนการเล่นขายของกันในวัยเด็ก แต่ที่แน่ ๆ ยิ่งเราเปิดแอพพลิเคชันซื้อของดู เรายิ่งมีความอยากมากขึ้น สุดท้ายเงินในบัญชีค่อย ๆ ลดหายไปจนน่าใจหาย โควิด-19 วิถีทางใหม่ในความอยากได้แบบเก่า ๆ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกัน คือ ความอยาก เราอยากมีนั่นมีนี่ จนมีหนี้ เราอยากได้นั่นได้นี่ จึงได้หนี้ 
และในช่วงที่เราคริสตชนต้องปฏิบัติตามคำแนะนำจากภาครัฐบาล จำต้องปิดวัดและใช้ระบบออนไลน์ในพิธีมิสซา วัดเซนต์หลุยส์เราถ่ายทอดสดอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ จนทำให้มีคนติดตามเข้าร่วมมิสซาออนไลน์ต่อครั้งเป็นจำนวนมากพอสมควร น่าจะมากกว่าการมาเข้าวัดในช่วงสภาพปกติเสียอีก จนกลัวว่าบางคนเริ่มเสพติดมิสซาออนไลน์ และเริ่มออกแสวงหาดูวัดโน้นวัดนี้ บางครั้งไม่ได้ร่วมตลอดเวลามิสซา เป็นเสมือนการช้อปปิ้งมิสซาออนไลน์ อยากมีส่วนร่วมในความเชื่อเสียไปทุกที่ ความศรัทธาที่มาจากความอยากเช่นนี้บางทีก็ไม่ได้ทำให้จิตใจเรามั่นคง และมีสมาธิกับการร่วมมิสซาอย่างเพียงพอ วอกแวก กดเข้าเพจนั้นเพจนี้ จนจับใจความสำคัญของพิธีกรรมและพระวาจาในวันนั้นไม่ได้
บางทีช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้หลายคนสนุกกับการใช้เครื่องมือสื่อสาร ใช้สื่อสมัยใหม่จนเกิดความอยากอีกรูปแบบหนึ่ง โดยรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง หรืออาจจะคิดเพียงว่าเป็นวงแคบ ๆ แค่คนที่เรารู้จัก เราจึงอยากแสดงตัวตน อยากมีบทบาทบ้าง จึงขอแสดงความคิดเห็นให้เป็นที่ประจักษ์ หรือบางคนหนักหน่อยอยากให้คนอื่นคิดเห็นแบบเราจึงพยายามชักนำ สร้างกระแสขึ้นมา กดดันเพื่อนฝูง เราจึงเห็นการใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือโอ้อวดตัวตนกันอย่างมากยิ่งขึ้น อยากเด่นอยากให้ผู้คนรู้จักสรรเสริญ เป็นสัจจะอย่างหนึ่งของโลกใบนี้ คนที่ได้รับการยกย่องและรับเกียรติมักจะได้รับผลตอบแทนแบบไร้ตัวตนบนโลก เพราะด้วยความดีที่พวกเขากระทำเกิดผลหลังจากวันเวลาผ่านไป ด้วยความรักที่แสดงออกแล้วไปปรากฏในจิตใจของคนทั่วไปต่างหาก คือ สิ่งทำให้เราเห็นตัวตนคน ๆ นั้น แล้ววันนี้เรายังหวังที่จะแสดงตัวตนกันเพื่ออะไร? ทำไมไม่มาทำความดีให้มีมากขึ้นจะไม่ดีกว่าหรือ?
เรากล้าหาญเพียงพอหรือไม่ ที่จะแสดงตัวตนให้คนอื่นเห็นพระคริสต์ในตัวเรา เรากล้าที่จะยืนยันหรือเปล่าว่าเราคือศิษย์พระคริสต์ ผู้ทรงเมตตาต่อทุกคน โดยไม่ต้องโอ้อวดในการกระทำใดใด ทำหน้าที่ด้วยหัวใจแห่งรัก หากว่าเรายังไม่มีความกล้าแบบนี้แล้วไซร้ ใยต้องแสดงออกด้วยการอวดอ้างเล่า!!! ใยต้องใส่ความหยิ่งทะนงตัวออกมาให้คนอื่นรับรู้ด้วยเล่า!!! สู้พยายามทำความดี ๆ แบบเงียบ ๆ สะสมพลังความงามเพื่อให้เบ่งบานในกาลเวลาอันสมควรมิดีกว่าหรือ ในโลกนี้เรามิได้เก่ง มิได้ดีเลิศแต่เพียงผู้เดียว เพราะมีคนมากมายที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีความต่าง นี่จึงเป็นการเสริมส่งให้เกิดความงาม และหากใครกล้ายืนยันตัวตนเพื่อความดีงามด้วยชีวิต ผู้นั้นแหละคือผู้สมควารแก่การสรรเสริญยกย่องอย่างแท้จริง


วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2563

วันนี้สิ่งนั้น


วันนี้สิ่งนั้น
เรากำลังจะก้าวข้ามผ่านทดลองที่ถูกโรคระบาดโควิด-19 เข้าครอบครองพื้นที่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็ถือว่านานพอสมควร วันนี้ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย คลายล็อก ปลดล็อก เริ่มคืนสู่การใช้ชีวิตที่ปกติแบบไม่ปกติ ในความใหม่ของวิถีที่ต้องดูแลตัวเอง ที่ต้องมีวินัย ที่ต้องใส่ใจกันมากขึ้น ช่วงเวลาที่ผ่านมาในวันที่เราถูกกัก ถูกจำกัดพื้นที่ เราก็ได้สร้างสิ่งใหม่ ๆ เราได้รังสรรค์ชีวิตให้งดงามขึ้นมากน้อยเพียงใด? นั่น...แต่ละคนย่อมมีคำตอบของตัวเอง และแน่นอน มีไม่น้อยเลยที่เริ่มเห็นคุณค่าของชีวิตมากกว่าเงินทอง มองเห็นความสุขในความเรียบง่ายมากกว่าการดิ้นรนไขว่คว้าหามาสะสม เริ่มมองเห็นความสำคัญของคนใกล้ตัวมากกว่ามองหาความสัมพันธ์ของคนไกลในอากาศ วันนี้เราควรจะจดจำ นำสิ่งนี้มาใช้เพื่อสร้างฐานรากให้ชีวิตที่ยังเหลืออยู่
ในช่วงเวลาที่ต้องกักตัวอยู่ในบ้าน เราก็มีเวลาที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่าง มีเวลานั่งทบทวนหวนความทรงจำจากวันวาน เพื่อเติมเต็ทความอิ่มเอมในวันนี้ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้มีเวลารำลึกมากขึ้น คือ การไล่เรียงดูรูปถ่ายเก่าก่อนในมือถือ และลบภาพที่ซ้ำซ้อนเพื่อคืนพื้นที่ให้กับเครื่อง สิ่งที่เคยเกิดขึ้นที่ถูกบันทึกไว้ บางทีเราก็ไม่เคยสนใจที่จะเปิดดู มาวันนี้ได้มีเวลามาเปิดกรุความทรงจำ ทำให้มองเห็นมุมมองชีวิตแบบใหม่ ๆ ขึ้น เราเคยท่องไปเรียนรู้ที่นั่นที่นี่มามากมาย ผ่านผู้คน ผ่านทางสิ่งปลูกสร้าง ผ่านทางความอัศจรรย์ของธรรมชาติ แต่บ่อยครั้งเรากลับไม่ได้เรียนรู้ชีวิตจิตวิญญาณของตัวเราให้ถ่องแท้ เรายังคงมีความเห็นแก่ตัว ยังคงเป็นคนที่อยากได้อยากมี ยังคงมีความคับแคบ คับแค้นข้องใจ เจ็บใจจดจำ ไม่ให้อภัยใครต่อใครอีกหลายคน ภาพเหล่านั้นสะท้อนย้อนกลับมาให้เห็นในวันนี้ วันที่เรามีเวลาไม่มากนัก ที่สุดเราก็ต้องหยุด แล้วมองโลกในทุกวันให้สวยงาม พยายามที่จะสร้างสิ่งดี สร้างวิถีชีวิต โดยการเข้าใจตนเอง และใส่ใจผู้อื่นมากขึ้น รู้จักที่จะระงับอารมณ์ ข่มใจบังคับปากและกายให้เป็น มีความสุขกับวันเวลาให้เป็น มองชีวิตในหลากหลายมิติ
ใช่หรือไม่ ทุกวันชีวิตคนเราก็ค่อย ๆ เสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ เราเพียงแต่เฝ้ามองความเสื่อมถอยนั้น โดยมิอาจจะหยุดยั้งมันได้เลย วันเวลาผ่านไป ร่างกายถูกใช้งานตามสภาพของแต่ละคน แต่ละหน้าที่ที่ได้รับ บางคนใช้หนักเกินลิมิต ใช้ชีวิตเกินร้อย ก็ย่อมถดถอยมากกว่าคนอื่น วันดีคืนร้ายพบเจอเชื้อร้ายเกาะกินเกินกว่าจะต้านทานได้ บางคนใช้ร่างกายไปกับการบริโภคเกินไปโรคภัยก็ถามหา ระบบภายในรวนปั่นป่วน ทุกอย่างหากปรับสมดุลได้ แม้บางอย่างจะทรุดโทรมตามกาลเวลา ก็คงไม่ถึงขั้นต้องล้มหมอนนอนเสื่อ และเราก็มีวันนี้ที่ดีกว่าเมื่อวาน มีแต่เพียงใช้เวลาวันนี้ให้ดีที่สุดตามสามารถ สร้างสิ่งดีงามขึ้นมา เพื่อให้สิ่งนี้จะเป็นสิ่งนั้นในวันข้างหน้า บางทีสิ่งนี้จะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็ได้  
นึกย้อนถามตัวเองขึ้นมาในใจว่า รู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมาไหม? รู้สึกว่ายังไม่ได้ทำอะไรอีกบ้าง? มีสิ่งใดยังคงค้างคาอยู่หรือไม่? ก็คงมีหลายเรื่อง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าในชีวิตหนึ่ง เราต้องทำให้ครบทุกสิ่ง ต้องทำทุกความคาดหวังให้เป็นจริงได้เสมอไป บางเรื่องก็เกินกำลัง เกินความสามารถที่จะทำได้ บางเรื่องทำได้เพียงทำใจยอมรับมัน คือ หนทางที่ดีที่สุด ที่กล่าวเช่นนี้มิได้ปลงอนิจจากับชีวิต แต่ต้องน้อมรับความเป็นจริง ยิ่งเมื่อเห็นความทุกข์โศกเศร้าจากโรคไวรัสโควิด -19 ด้วยแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่า คนเราจะเอาอะไรกันนักกันหนา จะแข่งขัน จะอิจฉา จะบ้าอำนาจ จะคลั่งในยศศักดิ์กันไปทำไม หากโรคมันวิ่งใส่เรา มันมิได้เลือกหน้า มันมิได้รับสินบน มันมิได้ดูความยิ่งใหญ่ของใครทั้งสิ้น

ภาพแล้วภาพเล่าผ่านสายตา ที่นำพาความทรงจำวันนั้นในหวนคืน หลายเหตุการณ์มีคุณค่ากับชีวิต เพราะหากไม่มีวันนั้นเราคงไม่มีวันนี้ ชีวิตไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกอย่างอยู่ในความดูแลของพระเจ้าเสมอ เรียนรู้และไว้วางใจ เพื่อก้าวไปในหนทางธรรม เวลาเปลี่ยน โลกเปลี่ยน ชีวิต คือ ความเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่เรามีต่อชีวิต จะมีคุณค่า มีความหมาย มีความปรารถนา ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและประสบการณ์ที่พบเจอ ในทุกสิ่งมีความดีงามอยู่เสมอ และเราต้องมีความหวังว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าสิ่งนั้นที่เราทำอยู่ในวันนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้อื่นไม่มากก็น้อย เพราะทุกสิ่งที่เราทำไปนั้น เราได้ใส่ความรัก เพื่อเพราะพันธุ์แห่งความดีให้งอกงามขึ้น เป็นดังดอกไม้ที่บานให้ความสวยงามยามพบชม เมื่อถึงเวลาก็ร่วงโรยลงไปอย่างมีคุณค่า นี่แหละชีวิตเรามีวันนี้เพื่อสิ่งนั้นนั่นเอง

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ศรัทธาออนไลน์


ศรัทธาออนไลน์
แม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลายดีขึ้นเรื่อย ๆ มาเป็นระยะ ๆ จวบจนเกือบจะเข้าสู่สภาวะปกติ แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนไปจากเดิม ถึงแม้ว่าในหลายสถานที่หลายแห่งเริ่มเปิดใช้ เปิดบริการ ผู้คนก็ยังกล้า ๆ กลัว ๆ การติดเชื้อ การใช้หน้ากากอนามัยปิดปาก กลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด ในระยะแรก ๆ หน้ากากอนามัยกลายเป็นของหายาก จนเกิดการเกร็งกำไร เกิดการทุจริตด้วยการกักเก็บ มาถึงวันนี้มีใช้กันคนละหลายอัน บางคนมีติดตัว ติดกระเป๋า ใส่ไว้ในรถ ในที่ทำงาน เรียกว่าจะออกไปไหนพร้อมมีใช้ เพราะหากไม่พร้อม อาจจะไม่ได้เข้าไปในสถานที่ที่หมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านรวง ห้างสรรพสินค้า ตลาด ธนาคาร สถานที่ติดต่อทั้งเอกชนและราชการ โรงพยาบาล รวมถึงวัดด้วย

แล้วเวลาเราใส่หน้ากากอนามัยเราสัมผัสถึงอะไรบ้าง? เราเหมือนถูกทำให้พูดน้อยลง บางครั้งพูดเยอะไปก็เริ่มรู้สึกถึงมลพิษที่ออกจากปากเรา เงียบ ๆ ลงบ้าง ลมหายใจสดชื่นขึ้นเยอะ ใช่..เรื่องปากเป็นที่เรื่องสำคัญ เรารับประทานก็ทางปาก เราพูดคุยสื่อสารก็ด้วยปากที่เปล่งคำพูดออกมา และเมื่อโควิด-19 มาเยือนปากของเราก็ถูกลดบทบาทลง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ทำให้ผู้คนพูดในสิ่งที่จำเป็น ๆ อะไรที่เคยหลุดรอดออกจากปาก ก็ต้องระงับยับยั้ง พอเราพูดกันน้อยลง แต่ต้องพูดให้รู้เรื่อง ก็เกิดการตั้งใจฟังกันมากขึ้น ประสาทรับรู้ต้องสัมพันธ์กัน และเรียนรู้ที่จะอยู่ให้เป็นในสังคมแบบใหม่ ที่พูดให้น้อย แต่ต้องสื่อสารให้ได้มากขึ้น หลายคนอาจจะเกิดอาการอึดอัด ยังดีที่โลกเรามีระบบออนไลน์ สังคมโซเชี่ยลไว้รองรับ ทำให้เกิดการบ่น การระบายผ่านทางโลกออนไลน์มากขึ้น โลกเสมือนจริงบางครั้งก็สร้างเรื่องให้จริงจังเกินไป เพียงแต่คิดเล่น ๆ ว่า หากมีวันใดวันหนึ่ง โลกเราจำกัดการพูดกันแบบตัวต่อตัวลง ถูกกำหนดการสื่อสารออนไลน์ให้น้อยลง เราจะอยู่กันอย่างไร? ในขณะที่เราเห็นด้านไม่ดีงามเกิดขึ้น ด้านที่งดงามก็มีมากมายทีเดียว โลกนี้มีหลายมิติเสมอ


ปราชญ์กล่าวว่า “ทำแต่น้อย สุขสงบ” ไม่เป็นการดีกว่าหรือ ถ้าจะทำเฉพาะสิ่งที่จำเป็น อยู่สอดคล้องกับคลองธรรมที่กำกับไว้ เช่นนี้ มิใช่แค่สงบเพราะทำสิ่งที่ควร แต่จากการทำไม่กี่สิ่งเช่นกัน ส่วนใหญ่คำพูดและการกระทำของเราไม่จำเป็น กำจัดเสีย เวลาจะมีมากขึ้น ความขุ่นข้องจะลดลง ฉะนี้ ทุกครา จงเตือนตนว่า นี่เกินความจำเป็นหรือไม่ (หนังสือ Meditations)
ในช่วงที่ผ่านมาโลกต้องใช้มาตรการเว้นระยะห่าง บางคนก็รู้สึกอัดอัด หลายคนปรับตัวได้เราก็ใช้เครื่องมือสื่อสารให้เป็นประโยชน์ ติดต่อเชื่อมความสัมพันธ์ผ่านทางโครงข่ายแทน แม้กระทั่งเรื่องความศรัทธา ถึงแม้ว่าวัดวาจะถูกให้ปิดเพื่อป้องกันโรค โลกออนไลน์ก็ทำให้เกิดความศรัทธาที่ส่งผ่านออกไปไกลสุดโลก มิสซาออนไลน์กลายเป็นการสร้างแรงศรัทธาเกิดขึ้นอย่างมหาศาล แน่นอนเรื่องการร่วมพิธีกรรมในวัดแบบตัวเป็น ๆ คือสิ่งสำคัญและจำเป็นยิ่งนัก แต่เมื่อสถานการณ์บังคับย่อมมีข้อยกเว้น และรอยต่อตรงนี้ เรากลับได้เห็นความงามที่บังเกิดขึ้น หลายคนได้รับฟังพระวาจาที่ช่วยให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมั่นคง หลายคนได้รับความสงบใจ ความชุ่มชื่นใจในความศรัทธาสาธารณะแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน หลายคนเข้าร่วมมิสซาวันละหลายรอบ ร่วมสวดภาวนาวันละหลายครั้ง บางคนจากที่ไม่เคยคิดจะใช้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ที่เห็นเด็ก ๆ ก้มหน้าก้มตาถู ๆ ไถ ๆ มาวันนี้ต้องใช้เพื่อพระก็ทำได้ ในขณะที่ร่วมออนไลน์ในพิธีกรรมหลายคนก็อยากมีส่วนร่วม ตอบรับบ้าง อาจจะงง ๆ ว่าทำไมคำที่ตอบรับขึ้นช้า มิสซาเลยไปเยอะแล้ว และที่เป็นข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ การกดไลค์  กดหัวใจ แม้กระทั่งกดห่วงใยมีให้เห็นมากมาย แต่ที่รู้สึกแปลกสักหน่อย มีคนกดโกรธให้ด้วย เคยคิดว่าทำไมต้องโกรธกันในระหว่างมิสซา ก็คิดในแง่ดีเสียว่า อาจจะเกิดการกดผิด หรือเข้าใจสัญลักษณ์ผิดไป เลยกดส่งมา ไม่ได้โกรธจริง ๆ
ลูกเล่นใหม่ Facebook ที่ไม่ใช่แค่กด Like | NIPA Ads

จะอย่างไรก็แล้วแต่ การร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวของเราคริสตชนในท่ามกลางวิกฤตครั้งนี้ ทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งห่างยิ่งห่วง ทำให้เราเข้าใจและสื่อสารกันในสิ่งสำคัญกันมากขึ้น มีเวลาไตร่ตรองคัดกรองความดีงามกันมากขึ้น และการใช้ปากเพื่อให้เกิดความดีงามมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ความศรัทธาไม่ได้มาจากปากเปล่งแต่มาจากหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยแรงรักต่างหาก แม้ว่าเราจะไม่ได้รับพระกายพระคริสตเจ้าผ่านทางปาก ที่บ่อยครั้งก็ไม่ได้สะอาดเพียงพอสำหรับพระองค์ เราต่างรับพระคริสต์ด้วแรงใจที่ปรารถนา และส่งผ่านออกมาด้วยความรัก เพื่อมอบให้กับทุกคน ช่วงเวลาเช่นนี้อาจจะเป็นช่วงที่ทำให้พระวรกายของคริสต์มีประสิทธิภาพมากที่สุดในตัวเรา และจะนำมาซึ่งสันติสุขของเราทุก ๆ คน ในวันข้างหน้า...

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ตัวไกลใจใกล้


ตัวไกลใจใกล้
เหตุการณ์ที่ชายผิวดำถูกเจ้าหน้าที่ใช้เข่ากดทับ จนสิ้นลมหายใจ ทั้ง ๆ ที่ได้วอนขอชีวิตตลอดเวลา เป็นภาพที่สะเทือนใจคนทั้งโลกและนำมาซึ่งการประท้วงที่รุนแรงในหลายเมืองที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ภาพนี้สะท้อนความรู้สึกของคนเราที่ยังมีการเหยียดหยามกันอยู่ในเรื่องสีผิว เรื่องชนชาติ เรื่องฐานะ และเรื่องอุดมคติทางความคิดทางการเมือง นำความเหลื่อมล้ำ ความแตกต่างมาให้สังคมแตกร้าว เราสามารถที่จะลบเลือนสิ่งเหล่านี้ได้  ด้วยความเข้าใจและด้วยความรัก
ประท้วงในอเมริกา : พิธีรำลึก จอร์จ ฟลอยด์ ครั้งแรกในเมืองมินนีแอ ...
ในช่วงเวลาการระบาดของโควิด-19 หากมองในอีกด้านหนึ่งเราพบว่าการรักษาระยะห่างบางทีก็ทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เข้าใจในความต่าง ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องระยะห่าง หลายคนอาจคิดว่าเป็นคนรักคนใกล้ชิดกันต้องชอบพออะไรเหมือน ๆ กัน ไม่จริงเสมอไป ในความสัมพันธ์ของเรา บางครั้งไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน การคิดต่างนำมาซึ่งการพัฒนาก็มาก ความคิดต่างเป็นการต่อยอดความคิดเดิม ๆ ที่สำคัญอยู่ตรงที่ต้องรู้จักปรับตัว ต้องไม่กล่าวถึงความชอบของอีกฝ่ายว่าไม่ดีหรือแย่กว่าที่ตัวเราชอบ ตัวเราคิด คนเรามักจะยัดเยียดรสนิยมของตัวเองใส่คนอื่น พอคนอื่นไม่เป็นดังใจก็รังเกลียด พูดจาดูถูก มองด้วยสายตาดูแคลน หรือไม่ก็รังแกบังคับข่มขู่ สภาพเช่นนี้ในสังคมมีให้เห็นไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อสังคมกำหนดกรอบใหม่การรักษาระยะห่าง ในกายภาพเราก็ปฏิบัติตาม การทำอะไรร่วมกันเหมือนแต่ก่อนก็น้อยลง เอาเข้าจริง ก่อนหน้านี้เราก็มีระยะห่างกันมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น กี่ครอบครัวที่คุยกันไม่รู้เรื่อง เพื่อนร่วมงานไม่มองหน้ามองตากัน จนกระทั่งความสัมพันธ์ในสังคมออนไลน์ หลายครั้งเราเองก็ unfriend เพื่อนกันไปหลายคน ห่างหายกันไป ไม่ทักทาย เราปล่อยให้ความเห็นต่างมาทำลายสิ่งที่เรามีร่วมกันไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งในครอบครัวและในประเทศของเรา สังคมจึงเจ็บช้ำจากความขัดแย้งนี้และทางเดียวที่จะเดินต่อไปข้างหน้าต้องร่วมใจเราให้เป็นหนึ่งเดียว เปิดใจรับฟัง คงไม่ถึงกับชีวิตต้องพังไปหรอก
มนุษย์ทุกคน ล้วนมีความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางกายภาพ ความแตกต่างทางฐานะทางสังคม ความแตกต่างทางจิตใจ ความแตกต่างทางความคิด ทางอุดมการณ์ ในทุกความแตกต่างล้วนมีที่มาที่ไป ความแตกต่างมีติดตัวเรามาตั้งแต่กำเนิด ความแตกต่างทางความคิด ฐานะ จิตใจ เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ เรื่องบางเรื่องเราสามารถลงมือทำได้ แต่ละคนล้วนมีความตั้งใจในทางบรรลุเป้าหมายในชีวิตแตกต่างกันออกไป ทุกเป้าหมายคือ ทุกคนอยากเป็นคนดี อยากจะทำดี แต่หนทางจะไปถึงเป้าหมายนั้น ย่อมแตกต่างกัน วิธีการอาจจะต่างกัน แต่ผลลัพธ์นั้นคือสิ่งเดียวกัน
ใช่หรือไม่ ในขณะที่เรากำลังฟังเรื่องราวเรื่องเดียวกัน ดูหนังเรื่องเดียวกัน ฟังเพลงเดียวกันในเวลาเดียวกัน แต่กลับคิดไม่เหมือนกัน มองคนละมิติ มองตามภูมิทัศน์ภูมิหลัง ของใครของเขา ความคิดจึงย่อมแตกต่างกัน ไม่มีใครสามารถแยกประเภทความแตกต่างมนุษย์ได้ เรารู้ได้แค่เพียงว่าคนนี้น่าจะเป็นอย่างนี้ในความคิดของเรา ซึ่งบ่อยครั้งเราก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง พื้นฐานการเติบโตของคน ๆ นั้นเลย แม้กระทั่งความเป็นอยู่ทั้งหมดในชีวิตเขา เรามักมองด้านมุมของเรา ไม่ต้องอื่นไกลเลย แม้แต่ตัวของเรา บางครั้งเรายังมีความแตกต่างในตัวเราเอง พระเจ้าสร้างความแตกต่างขึ้นมา เพื่อให้โลกใบนี้เรียนรู้ ให้ค้นหา  ให้แสวงหา เพื่อพัฒนา ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันเอง เรื่องบางเรื่องอย่าพยายามไปหาเหตุผล เพียงใช้หัวใจที่มีรัก เราก็พบความสุขแล้ว

ในขณะที่เราต้องอยู่ไกลกันเพื่อรักษาระยะห่าง แต่เราต้องมองให้เห็นความเป็นจริงในหลายสิ่งหลายอย่าง และนี่คือการดำเนินชีวิตสำหรับเราคริสตชนโดยอาศัยความรักเป็นศูนย์กลาง เราสามารถที่จะมีความแตกต่างกันได้ โดยที่ไม่ต้องมีความแตกแยก ในสังคมต่าง ๆ ที่เกิดความไม่เข้าใจกัน จนนำไปสู่ความเกลียดชัง ข่มเหงกัน สาเหตุคงไม่ใช่เพราะว่า เรามีความแตกต่างกันเพียงอย่างเดียว แต่คงจะเป็นเพราะว่า เรายังรักกันไม่มากพอต่างหาก ให้ความรักเชื่อมต่อรอยแผลแห่งความเกลียดชัง ให้อภัยเป็นตัวประสาน ให้เมตตาเป็นเครื่องนำพาหัวใจเรา เพื่อลดความแตกต่าง และรวมใจให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อช่วยกันฟื้นฟูสภาพของสังคมมนุษย์ให้งดงามดังเดิม....