วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เราได้อะไรเมื่อพ่อจากไป


เราได้อะไรเมื่อพ่อจากไป
ความสุขของเราชาวคาทอลิก โดยเฉพาะพวกเราชาวเซนต์หลุยส์ ที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดบริเวณรอบวัดของเรา ขอให้เป็นความสุขที่จะนำความชื่นชมยินดี ที่จะนำพระพรที่เราได้รับมาเป็นกำลังใจให้เราก้าวไปในหนทางแห่งความดีงามตลอดไป หลายคนตื่นแต่เช้า อดทนต่อแดดลมร้อนอย่างไม่ท้อถอย หลายคนกระตือรือร้นในการลงทะเบียนและเฝ้าติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด หลายคนทำงานอย่างหนักเพื่อให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปอย่างราบรื่น ในความความสมบูรณ์ที่เราคิดไว้ก็มีความไม่สมบูรณ์เกิดขึ้นได้เสมอ จากความกระตือรือร้นของบางคนกลับนำความเห็นแก่ตัวที่เอาเปรียบ เบียดบังโอกาสของผู้อื่นมาแทนที่ จะโดยเหตุผลเพียงเพื่ออยากจะเห็นพระองค์ให้ชัด อยากจะได้รูปพระองค์ท่าน อยากจะสัมผัส อยากจะเซลฟี่โชว์เพื่อน ๆ บางทีก็ทำให้ความสุขมวลรวมลดลงไปบ้าง ทั้งหลายทั้งปวงก็ถูกทลายลงด้วยรอยยิ้มของบิดาผู้น่ารักของพวกเรา ขณะทรงบนรถยิ้มแย้มหันซ้ายขวา โบกพระหัตถ์ไปมา เพื่อเราลูก ๆ ทุกคน


ทุกภารกิจที่มีตลอดระยะเวลาในแผ่นดินไทย เดินทางไปที่นั่นที่นี่ ชายอายุย่าง 83 ปี ร่างกายย่อมไม่สมบูรณ์ สีหน้าเหน็ดเหนื่อย เสียงลมหายใจดังผ่านลำโพงในมิสซาที่สนามศุภชลาสัย ทำให้เรารู้สึกสงสารพ่อจับใจ พ่อเดินทางมาแสนไกล พ่อที่ต้องแบกรับพระศาสนจักรสากลไว้บนบ่า พระสันตะบิดรพระองค์ทรงอดทนเพื่อลูก ๆ อย่างยิ่ง หลายคนไม่ลุกจากที่นั่งจนกว่าพ่อจะละสายตา เมื่อพ่อมาเป็นกำลังใจให้เราขนาดนี้ มีหรือที่เราจะลุกกลับบ้านก่อนที่พ่อจะลาลับสายตาไป และนี่คือผู้นำสูงสุด เราต้องมีสำนึกและมีมารยาทที่จะแสดงความเคารพอย่างหาที่สุดมิได้ หาใช่พอได้รูปได้ภาพดั่งใจหมายก็เสร็จสิ้นกิจ นั่นอาจจะทำให้การมาอย่างเหน็ดเหนื่อยของพระองค์ท่านไร้ความหมาย
สิ่งสำคัญเราต้องถามตัวเองว่า “เราได้รับสารอะไรเป็นพิเศษ มีคำสอนอันใดที่เข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณเราบ้าง” สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระองค์ท่านเปี่ยมด้วยพระปรีชาญาณอย่างยิ่งทุกที่ที่ตรัสในเมืองไทย ท่านฝากให้เรารักษาคุณค่าแห่งความเป็นไทย คุณค่าแห่งวัฒนธรรมความเมตตาอาทร และเพื่อให้เด็กไทยเติบโตขึ้นแบบมีรากที่แข็งแรง ได้พยายามรวบรวมนำมาเป็นบทรำลึกไว้ในโอกาสนี้


พี่น้องที่รักทุกท่าน เราทุกคนล้วนเป็นสมาชิกครอบครัวมนุษยชาติ ขอเชิญชวนทุกคนไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือสถานภาพใด ๆ ร่วมกันสร้างสรรค์และดำเนินการโดยตรงในการสร้างวัฒนธรรมโดยมีค่านิยมร่วมกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข (พระสันตะปาปาปราศรัยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
เราทุกคนเป็นศิษย์ธรรมทูต เมื่อเราให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของครอบครัวขององค์พระผู้เป็นเจ้า และในเวลาที่เราได้แบ่งปันชีวิตอย่างแท้จริงเหมือนกับพระองค์ พระเจ้าไม่กลัวที่จะนั่งร่วมโต๊ะกับคนบาป เพื่อยืนยันว่ายังมีที่ว่างสงวนไว้สำหรับเขาที่โต๊ะงานเลี้ยงของพระบิดา และในโลกที่เป็น “บ้านอาศัย” ของเราทุกคน พระองค์ได้เคยสัมผัสบุคคลเหล่านั้นที่ถูกตีตราว่า พวกมีมลทิน และยังยินยอมให้เขาสัมผัสพระองค์ด้วย เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ใกล้เขาและเขาเป็นผู้ได้รับพระพร (บทเทศน์ที่สนามศุภชลาสัย)
การที่ได้อยู่ในทวีปที่มีวัฒนธรรมและศาสนาที่หลากหลาย ทั้งยังมีความงดงามและความอุดมสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังต้องเผชิญกับทุกข์ทรมานจากความยากจน และการถูกเอารัดเอาเปรียบในระดับที่แตกต่างกัน การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็วเปิดโอกาสมากมายเพื่อทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดให้กลุ่มบริโภคนิยมและวัตถุนิยมเติบโตเพิ่มมากขึ้นด้วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เยาวชน ท่านทั้งหลายได้แบกความวิตกของบรรดาสัตบุรุษไว้บนบ่า (โอวาทพระสันตะปาปาฟรังซิสแก่ สหพันธ์สภาบิชอปแห่งเอเชีย)
บางครั้งพ่อมองเห็นบรรดาเยาวชนและเหล่าต้นไม้ที่งดงาม มีกิ่งก้านสาขาแผ่ขยายขึ้นไปบนท้องฟ้าที่สูงชะลูดไปเรื่อยๆ แต่หลังจากเกิดพายุขึ้น พ่อพบว่าพวกมันได้ร่วงหล่น ล้มลง และตายไป เพราะพวกมันปราศจากรากที่ลึก พวกมันแผ่กิ่งก้านสาขา โดยปราศจากการปลูกฝังที่มั่นคง จึงเป็นความเจ็บปวดของพ่อที่บางครั้งเห็นบรรดาเยาวชนได้ถูกแนะนำให้สร้างอนาคต ที่ปราศจากรากเหง้าต้นกำเนิดที่มา

สำหรับพวกเราที่จะเจริญเติบโตได้ต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนเรา และช่วยให้เรามีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง ลูกทั้งหลาย พวกลูกเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความหวัง มีความฝัน และมีคำถามใหม่ๆ อาจรวมถึงความสงสัยต่าง ๆ อีกด้วย พ่อขอเชิญชวนให้พวกลูกรักษาความชื่นชมยินดีให้มีชีวิตชีวา จงอย่ากลัวที่จะมองไปในอนาคตข้างหน้าด้วยความเชื่อมั่น จงหยั่งรากลึกลงในพระเยซูคริสต์ จงมองอนาคตด้วยความชื่นบานและไว้วางใจ ประสบการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อลูกทราบว่า พระเจ้าแสวงหาลูก ทรงพบลูก และทรงรักลูกตลอดนิรันดร (บทเทศน์ในมิสซาเยาวชนที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ)
เราควรนำไปไตร่ตรองเพื่อให้ชีวิตของเราที่ได้เห็นตัวแทนพระคริสต์บนโลกนี้และจะได้ทำตามที่ท่านได้ฝากคำสอนไว้ เพื่อว่าเราจะได้มีอะไรมาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณบ้างในวันที่พ่อผู้นำจิตวิญญาณกลับไปสู่วาติกันแล้ว อย่าลืมว่า ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คือจิตวิญญาณความเป็นไทย อย่าให้ความสมัยใหม่เอาความเห็นแก่ตัวเข้าครอบครอง

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

วินาทีแห่งความเป็นมนุษย์


วินาทีแห่งความเป็นมนุษย์
ในทุกวันนี้เรากำลังถูกเครื่องมือสมัยใหม่เข้าครอบงำวิถีชีวิต ทำอะไรก็ต้องมีตัวช่วย จนบางครั้งทำอะไรกันไม่เป็นเลย เราคิดถึงแต่ตัวเอง ไม่เหลียวแล แต่เรียกร้อง ไม่ใส่ใจ แต่สะใจ ไม่มีเมตตา แต่มีอัตตา การเสด็จมาของสมเด็จพระสันตะปาปา บิดาที่รักยิ่งของเราได้นำแบบอย่างมาให้ซึ่งสำคัญมากกว่าการได้เห็นพระองค์ได้สัมผัสพระองค์เสียอีก ก่อนหน้าที่พระองค์จะเริ่มเดินทางเพียงวันเดียว (18 พ.ย.2019) พระองค์ทรงเลี้ยงอาหารกลางวันแก่คนยากจนและคนไร้บ้าน 1,500 คน ซึ่งเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2017 พระองค์ประกาศให้เป็นวันความยากจนโลก อาหารดี ๆ ถูกนำมาเสิร์ฟในห้องประชุมขนาดใหญ่ของวาติกัน นอกจากนี้ยังมีอาสาสมัครจากองค์กรการกุศลต่าง ๆ มาช่วยงานอีกด้วย ก่อนหน้านี้มีการตั้งคลินิกเคลื่อนที่ในบริเวณจัตุรัสมหาวิหารนักบุญเปโตร เพื่อตรวจสุขภาพแก่คนยากจนและคนไร้บ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ถวายมิสซาบูชาขอบพระคุณ พร้อมทรงขอร้องให้คริสตชนช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พระองค์เคยตรัสไว้เมื่อหลายปีก่อนว่า


“การจะรักคนอื่นเหมือนที่พระเยซูเจ้ารักและสอน เราต้องทำตามแบบอย่างของพระองค์ นั่นคือ เราต้องเดินบนหนทางของการกำจัดความเห็นแก่ตัวออกไปจากตัวเอง เมื่อกำจัดมันออกไปแล้ว เราก็ต้องออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เพราะความรักแบบคริสตชนคือความรักที่จับต้องได้ ไม่ใช่ความรักที่เลื่อนลอย
อย่างไรก็ตาม เราต้องระวังคนที่นำเสนอความรักที่หลุดไปจากหลักคำสอนเรื่องพระวจนาตถ์มารับสภาพมนุษย์(การออกจากความเห็นแก่ตัวและก้าวไปรับใช้เพื่อนมนุษย์) เพราะพวกเขากำลังสอนความรักที่ไม่ได้ยึดหลักในพระเจ้า พวกนี้เป็นมโนคติที่ตั้งอยู่บนความรักและนำการที่พระคริสตเจ้าทรงรับสภาพมนุษย์ออกไปจากพระศาสนจักร มโนคติเหล่านี้จะสอนให้เราพูดว่า ใช่ ฉันเป็นคาทอลิก ฉันรักโลกใบนี้ แต่มันดูเป็นคำพูดที่บอบเบามาก เพราะความรักแท้จริงต้องจับต้องได้ สัมผัสได้ และต้องไม่ก้าวออกจากหลักคำสอนเรื่องพระวจนาตถ์มารับสภาพมนุษย์ พ่อจึงขอเตือนว่า ใครก็ตามที่ไม่ต้องการรักคนอื่นเหมือนที่พระคริสตเจ้ารักพระศาสนจักรด้วยการรับใช้และอุทิศชีวิตเพื่อคนอื่น เขาก็เป็นแค่รักแบบมโนคติ ความรักแบบทฤษฎีเท่านั้น” (PopeReport)


ความรักและความเมตตานั้นเครื่องมือทันสมัยต่าง ๆ ก็ทำแทนไม่ได้ บางทีแค่เพียงวินาทีเดียวที่เรามีความรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวนั้นสามารถช่วยผู้คนได้มากมาย ดังเช่นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันที่ 15 มกราคม​ 2009 เที่ยวบิน​ 1549 ของสายการบิน​ US Airway เครื่อง​ Airbus​ A320 มีผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด​ 155 คน​ บินจากสนามบินลากาเดียร์ในนิวยอร์ก​มุ่งหน้าไปเมืองชาร์ล็อตต์ในรัฐนอร์ธแคโรไลน่า​ โดยมีกัปตันซัลลี่ (Chesley) เป็นกัปตันผู้ควบคุมเครื่อง หลังขึ้นบินไปได้เพียง​ 3​ นาที​ ที่ความสูง​ 2800 ฟุต​ 1549​ ถูกฝูงนกพุ่งเข้าชนจนเครื่องยนต์​ทั้งสองเสียการทำงาน​ วินาทีนั้นกัปตันซัลลี่มีทางเลือกไม่มากนัก​ ทางแรกคือนำเครื่องวนกลับไปสนามบินลากาเดียร์ อีกทางคือไปลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินทีเทอร์โบโร่​ แต่สุดท้ายซัลลี่เลือกที่จะนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินกลางแม่น้ำฮัดสัน


ที่น่าเหลือเชื่อคือเขานำเครื่องลงจอดได้อย่างปลอดภัยกลางแม่น้ำ 155​ คน​ ไม่มีผู้เสียชีวิตแม้แต่คนเดียว​ กัปตันซัลลี่ได้รับการยกย่องว่าเป็นฮีโร่​ แต่หลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์​พลิกกลับ กัปตันซัลลี่ถูก​ ntsb ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการรักษาความปลอดภัยในการขนส่งของสหรั​ฐอเมริกา​ตั้งข้อกล่าวหาว่าตัดสินใจผิดพลาดในการเลือกที่จะนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินกลางแม่น้ำ​ แทนที่จะนำเครื่องวนกลับไปสนามบิน ntsb​ ใช้เครื่องจำลองการบินทดสอบว่าจริง ๆ แล้ว​ซัลลี่สามารถนำเครื่องไปลงจอดที่สนามบินทั้งสองได้อย่างปลอดภัย จากฮีโร่ผู้ช่วยชีวิต​ 155​ คน​ กลายมาเป็นกัปตันที่ถูกตั้งข้อกล่าวหา​ และถ้าซัลลี่ผิดจริงเขาจะต้องถูกยึดใบอนุญาต​ ถูกไล่ออกโดยที่ไม่ได้รับสวัสดิการใด ๆ เลย


แต่สุดท้ายกัปตันซัลลี่พ้นข้อกล่าวหา​ เขาแก้ต่างว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาที่เอาคอมพิวเตอร์​หรือหุ่นยนต์​ปัญญา​ประดิษฐ์​ (AI) มาเทียบเคียง​ เพราะเขาเป็นมนุษย์​ เครื่องจำลองการบินนั้นหันเครื่องกลับทันทีหลังจากเครื่องยนต์​ถูกนกบินชนจนพัง​ เหมือนรู้ไว้ล่วงหน้า​ ถูกโปรแกรมไว้ก่อนแล้ว แต่ตัวเขาไม่ใช่​ เขาไม่รู้ล่วงหน้า​เหมือนเครื่องจำลองการบิน​ เขาเป็นมนุษ​ย์ เขาต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับสถานการณ์​ตรงหน้า​ เขาขอเวลา​ 30 วินาทีสำหรับความเป็นมนุษย์ของเขา​ หลังจากนั้น​ ntsb ใช้เครื่องจำลองการบินทำการทดสอบอีกครั้ง​ โดยหันเครื่องกลับสนามบิน​ 30​ วินาทีหลังจากเครื่องยนต์​ดับ​ และผลจากการทดสอบคือเครื่องบินไม่สามารถบินไปถึงสนามบินได้นี่คือ​ 30​ วินาทีแห่งความเป็นมนุษย์ที่ช่วยให้อีกหลายคนได้รอดชีวิต (cr.ฝันเฟื่องเรื่องบอลเด็ก)
เราล้วนมีความเป็นมนุษย์​ เราอาจทำผิดพลาด​ เรามีอารมณ์​ ความรู้สึกเพราะเราไม่ใช่หุ่นยนต์​เราเป็นมนุษ​ย์ถึงแม้ว่าวันนี้โลกเราร่ำรวยขึ้น แต่ก็ยังมีผู้คนที่เป็นมนุษย์เหมือนเรายากไร้อีกมากมาย ถึงแม้ว่าเราร่ำรวยทรัพย์สิน แล้วน้ำใจเล่า เราร่ำรวยเพิ่มขึ้นหรือไม่ ทุกวินาทีที่มีลมหายใจ นั่นคือ เรายังเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจแห่งรักและเป็นลูกของพระเหมือน ๆ กัน ...

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เก็บเกี่ยวความรู้สึก


เก็บเกี่ยวความรู้สึก
ในขณะที่เดินทางเพื่อทำกิจวัตรในทุกเช้า หลายครั้งเริ่มเห็นคนหน้าตาเดิม ๆ เดินทางร่วมกันบนเส้นทางเดียวกัน บางคนเดินสวนกัน แต่เราไม่เคยพูดคุยกัน นี่คือวิถีคนเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมี ที่พ้นผ่านไปโดยมิได้รู้สึกรู้สาต่อกัน จนกลายเป็นนิสัยที่เรามักไม่ค่อยจะใยดีต่อผู้คนรอบข้าง เรามักจะอยู่ในโลกของเรา ขึ้นรถได้ก็เอามือถือมาถูไถ เอาหูฟังมาสวมใส่ ตาก็จ้องมองดูโลกกว้างบนจอเล็ก ๆ ต่างคนต่างไม่เคยมองหน้ากลัวจะมีเรื่อง นานวันเข้าเราก็เริ่มที่จะไร้ความรู้สึกต่อคนที่อยู่ตรงหน้า ไปให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกเสมือนจริง พูดคุยได้แสดงความรู้สึกแบบฉาบฉวยได้อย่างไม่เคอะเขินในที่แห่งหนนั้นบนอากาศ นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเราต่างคนต่างทิ้งขว้างความเมตตา ทิ้งขว้างน้ำใจดีต่อกัน เกิดความระแวงว่าคนนั้นจะคิดไม่ดีต่อเรา มองเราในแง่ไม่ดี จนบางครั้งต้องทำตัวอย่าไปแคร์คนอื่น ช่างเขาเถอะ เพื่อความสบายใจ กระแสสังคมกดดันให้เราต้องต่างคนต่างอยู่ อย่าไปวุ่นวายต่อกัน(บางกรณีถือเป็นเรื่องที่ควรทำ) แต่วันนี้เราเป็นแบบนี้กันทุกครั้งทุกกรณีไปจนหัวใจไร้ความรักไร้รากแห่งเมตตาไปเสียแล้ว



ในสายตาคนอื่นมองว่าเรา บางคนอาจจะเข้าใจผิดคิดร้ายต่อเรา ที่เห็นเราทำบางสิ่งบางอย่างไม่ได้อย่างใจเขา บางคนก็กลัวเราจะได้ดีกว่าเขาก็มี จึงใช้สายตาแห่งความริษยามองมา แล้วเราจะทำเช่นไร??? เพื่อว่าเมื่อคนอื่นมองเห็นเรา เขาจะได้เห็นความงาม ทั้งนี้ไม่ใช่ให้คนอื่นเห็นความงามของตัวตนเราและยกย่องเรา แต่เราต้องตระหนักว่าคนอื่นจะได้มองเห็นองค์แห่งความดีงามในตัวเราต่างหาก ส่วนใครจะมองเห็นเช่นไร ก็มิใช่เราอีกนั่นแหละที่จะไปเที่ยวกำหนดกฎเกณฑ์ เราทำดีให้ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่าความดีนั้นอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ การดำเนินชีวิตยุคปัจจุบันไม่ง่ายนัก เราโชคดีที่มีผู้สืบสานคำสอนของพระคริสต์เพื่อให้ชีวิตของเรามุ่งสู่ความงามเสมอมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเคยให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อคาทอลิกภายใต้การดูแลของสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งอิตาลี โดยมีเนื้อหาสำคัญได้นำมาแบ่งปัน เพื่อให้เรานำไปปฏิบัติในชีวิตจริง แบบอย่างที่ง่าย ๆ ที่จะนำสันติมาสู่สังคมโลก


พระองค์กล่าวถึงสังคมปัจจุบันว่า“ศัตรูที่น่ากลัวสุดของพระเจ้าคือเงิน ถ้าคุณคิดสักนิด พระเยซูตรัสไว้แล้วว่า เราจะรับใช้พระเจ้าและเงินพร้อมกันไม่ได้ พระเยซูให้สถานะเงินเป็นเจ้านายเช่นกัน เจ้านายสองคนคือพระเจ้าและเงิน เราต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความจริงก็คือปีศาจมักจะเข้ามาทางกระเป๋าสตางค์ของเรา มันเหมือนเป็นเส้นทางที่ปีศาจชอบมาก ๆ จึงจำเป็นที่เราต้องสร้างพระศาสนจักรที่ยึดความยากจนเพื่อผู้ยากไร้ การประจญล่อลวงเจอแน่นอน! สิ่งที่พ่อเจอก็ไม่ต่างจากคนอื่นหรอก ปีศาจมักจะมาเจาะจุดอ่อนของเรา นั่นคือ ความไม่อดทน ความเห็นแก่ตัว และความขี้เกียจ”
“การเป็นคนอารมณ์ดีถือว่าเราได้รับพระหรรษทานจากพระเจ้า พ่อสวดขอพระเจ้าทุกวันให้พ่อเป็นคนอารมณ์ดี พ่อสวดบทภาวนาของนักบุญโทมัส มอร์ ด้วยนะที่สวดว่า “โปรดประทานให้ลูกเป็นคนขำขันอารมณ์ดี” พ่อสวดขอพระเจ้าโปรดช่วยให้พ่อหัวเราะบ่อย ๆ เวลามีคนมาเล่าเรื่องตลกให้ฟัง เพราะการเป็นคนอารมณ์ดีคือคติในการดำเนินชีวิตของพ่อด้วย”

พ่อเป็นภูมิแพ้พวกประจบสอพลอ มันเป็นโดยธรรมชาติเลยนะ! การประจบไม่ใช่เรื่องดี การประจบคนอื่นคือการใช้คนอื่นเพื่อปกปิดความต้องการแท้จริงของเราในการได้รับอะไรบางอย่าง น่าละอายมาก ... ส่วนเรื่องการพูดจาให้ร้ายตัวพ่อหน่ะหรือ พ่อรับได้ เพราะพ่อเป็นคนบาป พ่อรู้ตัว เวลาคนใส่ร้ายหรือนินทาพ่อ มันไม่ทำให้พ่อกังวลหรอกนะ”
“คำว่า “โรคหัวใจไร้ความรู้สึก” พ่อเรียนรู้จากพระสงฆ์อาวุโสท่านหนึ่งที่พ่อไปเยี่ยม ท่านสอนคำนี้ให้พ่อ นี่คือโรคที่เกิดกับคนยุคนี้ พ่อคิดว่าความเมตตาคือยารักษาโรคนี้ได้ บ่อเกิดของโรคนี้คือวัฒนธรรมทิ้งขว้าง คนที่ชอบพูดว่า “เราไม่ต้องการคนชรา เราส่งพวกเขาไปอยู่บ้านคนชราจะดีกว่า ส่งไปแล้วไม่ต้องเอากลับมานะ” คนพวกนี้แหละคือพวกหัวใจไร้ความรู้สึก คนอีกจำพวกที่หัวใจไร้ความรู้สึกก็คือพวกที่ชอบทำสงคราม”
เคล็ดลับในการรักษาการอุทิศตนอย่างไม่มีวันจบสิ้น “พ่อก็ไม่รู้นะว่าพ่อบริหารจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่คิดว่าน่าจะมาจากการสวดภาวนา สิ่งนี้ช่วยพ่อได้มากเลย เพราะการสวดทำให้พ่อได้คุยกับพระเจ้า ไม่ว่าจะถวายมิสซา สวดทำวัตร หรือสวดสายประคำ ช่วยได้หมด การภาวนายังช่วยให้พ่อหลับลึกและหลับสนิทด้วย บางทีนี่อาจเป็นพระหรรษทานจากพระเจ้า พ่อนอนหลับเป็นตายเหมือนท่อนไม้เลย พ่อหลับสนิทนาน 6 ชั่วโมงทุกคืน บางทีนี่อาจเป็นเคล็ดลับทำให้พ่อสุขภาพดีก็ได้” (บางส่วนจากคำสัมภาษณ์พระสันตะปาปา แปลโดย Pope Report)
ในวันนี้เราจะตอบคำถามต่อตัวเราเองเสมอว่า เราได้ยิ้ม เราสงสาร เราสนทนา เราเห็นใจต่อผู้คนที่อยู่ข้าง ๆ บ้างหรือยัง??? อย่าไร้ความรู้สึกที่มีต่อกัน เพราะเราล้วนเป็นสิ่งสร้างที่แสนจะงดงามที่ถูกเลือกสรรมาอยู่บนโลกนี้ ทุกคนล้วนมีคุณค่าในแบบเฉพาะตัว อย่าไปดูถูก อย่าไปกดดัน อย่าไปข่มเหง จนทำให้ทั้งเราและเขาไร้ความรู้สึกที่ดีต่อกัน สร้างรอยยิ้มและมีเมตตาต่อกัน เพื่อเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งแห่งความงามในวันแห่งประวัติศาสตร์ วันที่พ่อจะเดินทางมาพบลูก ๆ เราจะได้ระลึกถึงความรู้สึกในช่วงเวลาที่ดี ๆ ด้วยกันตลอดไป

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ยุคเรียบไม่ง่าย


ยุคเรียบไม่ง่าย
ชีวิตแต่ละวันแต่ละช่วงเวลานาทีพ้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว อากาศเริ่มเย็นจากความกดอากาศที่ต่ำลง หลายพื้นที่ทางตอนเหนือเริ่มหนาว เริ่มแห้ง ในกรุงเทพฯเช้า ๆ ก็เริ่มเย็นหน่อย ๆ หลายคนชอบอากาศแบบนี้ คนเมืองห่างหายจากอากาศหนาวมาหลายปี พออากาศเป็นแบบนี้จึงรู้สึกตื่นเต้น การเปลี่ยนแปลงของอากาศ การเปลี่ยนไปของสังคมปรวนแปรยิ่งนัก หลายอย่างผ่านมาสร้างความเจ็บปวด หลายคนพ้นผ่านไปด้วยคำพูดที่มีความกดดัน ทำให้เรากลายเป็นคนไร้แล้งน้ำใจ ยิ่งนับวันเรายิ่งต่างอวดเก่ง ไม่ใคร่จะฟังกัน ไม่ใคร่จะให้เกียรติกัน คนที่ทำงานอย่างเงียบ ๆ ก็ยังถูกกดดันด้วยการถูกตราว่าที่ทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ โดยที่เรามักเอามาตรฐานส่วนตัวไปตีค่าคนอื่น สังคมจึงดูเหมือนคนดีคนทำงานที่ไม่อยากเด่นดังยังอยู่ยาก สันติสุขในใจคนอยู่ไหนหนอ!!!

แต่หากว่าเราผ่านวันเวลามาด้วยการยึดมั่นความดีงามไว้เป็นแก่นกลางของชีวิต มีความเรียบง่ายที่ช่วยประคองให้เราดำเนินชีวิตต่อไปได้ ไม่ว่าจะมีความกดดันเพียงใด เรา ย่อมผ่านมันมาได้ด้วยดี และเราก็เรียนรู้ว่า เราจะไม่กระทำต่อผู้อื่นเช่นกัน ในที่ที่มีความแข่งขันเราก็หลีกหนี ถ้าที่ใดมีความกดดันที่คนอื่นส่งผ่านมาให้เราก็หลบหลีกปลีกแยกตัวออกมา แน่นอนว่าการจะทำแบบนี้ได้ต้องฝึกฝนต้องอดทน และยึดคำสอนเป็นเครื่องโน้มนำจิตใจ สงสารก็แต่เด็ก ๆ สมัยนี้ที่ต้องเติบโตขึ้นมาจากความกดดันรอบทิศ ชีวิตของพวกเขาคงจะมีแต่ความเหน็บหนาว เราต้องช่วยกันเปลี่ยนแปลง
เราคงจะได้ยินคำว่า (บูลลี่) กำลังเป็นศัพท์แสงที่ใช้กันในแวดวงการศึกษา เด็ก ๆ มักจะบูลลี่กันในห้อง การกลั่นแกล้งหรือ Bullying เป็นการทำให้ผู้อื่นเจ็บตัว รู้สึกแย่ โดยพฤติกรรมนี้มักเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ที่มักถูกรังแกจากเพื่อนที่โรงเรียนหรือคนในครอบครัว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของเด็กที่ถูกกระทำ รวมถึงพฤติกรรมก้าวร้าวที่คนหรือกลุ่มคนที่มีความได้เปรียบทางใดทางหนึ่งกระทำต่อผู้ที่เสียเปรียบหรืออ่อนแอกว่า ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเป็นการใช้กำลัง การใช้คำพูดท่าทีทำร้ายจิตใจ การใช้แรงกดดันทางสังคม การนินทากล่าวร้าย วิจารณ์ในสังคมโซเชี่ยล
 นี่คือปัญหาที่ผู้ใหญ่อวดเก่งสร้างโลกที่อยู่ยากให้แก่คนรุ่นต่อไปแบกรับไว้ ซึ่งในความเป็นจริงทุกสรรพสิ่งสร้างล้วนมาจากความเรียบง่ายทั้งนั้น มีแต่คนยุคเราที่ใส่ความมักใหญ่ ใส่ความอยากเด่นอยากดัง อยากเป็นที่หนึ่งอยากมีตัวตน ต่างฝ่ายต่างกดดันกันจนมองข้ามความเรียบง่ายในชีวิตไปเสียสิ้น พระสันตะปาปา ฟรังซิส ตรัสเรื่องนี้ในหลายต่อหลายครั้ง ครั้งหนึ่งตอนที่เสด็จไปยังสักการะสถานแม่พระแห่งเชสโตโฮวา ประเทศโปแลนด์ ท่ามกลางสัตบุรุษที่มาร่วมมิสซากว่า 350,000 คนทรงเทศน์สอนว่า
พระเจ้าเสด็จมาหามนุษย์ในรูปแบบอันเรียบง่าย พระองค์ทรงลงมาบังเกิดในครรภ์ของสตรีคนหนึ่ง นี่ไม่ใช่การเสด็จมาแบบประกาศศักดาอันยิ่งใหญ่ พระเจ้าไม่เผยแสดงพระองค์ดุจดวงอาทิตย์ร้อนแรง แต่เลือกมาหามนุษย์ในแบบง่าย ๆ ในรูปแบบของเด็กทารกที่เกิดจากแม่ นี่คือวิถีของพระเจ้า กล่าวคือ มาแบบเล็ก ๆ  และเรียบง่ายมาก ๆ


            แม้ในการทำอัศจรรย์ครั้งแรก พระเยซูทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นที่เมืองคานา ก็ยังเป็นแบบเรียบง่าย พระเจ้าไม่ได้เลือกทำอัศจรรย์ให้คนจำนวนมากเห็น พระองค์ไม่เคยเลือกใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังก่อนการทำอัศจรรย์หรือคำพูดที่ส่งผลไปยังผู้มีอำนาจของอาณาจักรโรมัน ในทางตรงกันข้าม อัศจรรย์แรกเกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ  และเกิดในงานแต่งงานของครอบครัวที่เป็นชาวบ้านธรรมดาด้วย
สิ่งนี้บอกเราว่า พระเจ้าไม่เคยห่างไกลจากมนุษย์ พระองค์อยู่ใกล้เราและอยู่ท่ามกลางเรา พระเจ้าทรงชอบปรากฏพระองค์ในสิ่งเล็ก ๆ ไม่เหมือนพวกเราใช่ไหมที่อยากเด่นดัง ทำอะไรต้องให้คนรู้เสมอว่าเราเป็นหนึ่งในเรื่องนี้ การยึดติดกับอำนาจ ความโอ่อ่า และต้องการให้คนรับรู้ จัดเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์จริง ๆ นี่คือการประจญล่อลวงที่ร้ายแรงซึ่งตามติดเราไปทุกที่ขอให้เราดูแบบอย่างของพระเจ้า พระองค์ทรงรักที่จะทำสิ่งเล็ก ๆ ที่เราไม่สนใจ เพราะการทำแบบนี้คือการบอกว่า พระอาณาจักรจงมาถึง นี่คือการเผยแสดงพระอาณาจักรของพระเจ้า เฉพาะอย่างยิ่ง เผยแสดงความรักของพระองค์ให้มนุษย์ได้รับรู้

นอกจากนี้ อีกหนึ่งบุคคลที่เราต้องดูเป็นแบบอย่างก็คือ แม่พระ ผู้เต็มใจทำสิ่งเล็ก ๆ โดยไม่ปริปากบ่นเลย ดังนั้น ขอให้เราวอนขอพระหรรษทานจากพระเจ้าในการดำเนินชีวิตตามแบบแม่พระ ด้วยการรับใช้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ เราจะได้เรียนรู้ถึงความงดงามของการรับใช้คนอื่น โดยไม่สนใจความต้องการของตัวเราเอง ขอให้เราเปิดใจทำสิ่งนี้ด้วยความเรียบง่ายตามแบบฉบับของพระเจ้าด้วย (Cr.Pope Report)
การเตรียมต้อนรับองค์สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ที่กำลังจะมาเยือนประเทศไทยเรานี้ ส่วนตัวเราแต่ละคนได้เตรียมจิตใจด้วยความเรียบง่ายแค่ไหน หรือเราต่างกดดันกันและกัน เพื่อให้ได้ที่นั่งดีที่สุด เพื่อสะดวกสบายที่สุด และต้องให้ได้อย่างที่เราหวัง อย่าลืมว่า ยังมีคนเบื้องหลัง ที่ทำงานเงียบ ๆ เรียบ ๆ ง่าย ๆ เพื่อให้การณ์นี้สำเร็จอีกหลายคน และอีกหลายคนก็มิได้หวังจะได้รับสิ่งตอบแทนที่ดีที่สุด หวังเพียงความสุขใจในการทำงานเพื่อคนอื่น โปรดจำไว้ว่า ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่สุด ตามที่พระเจ้าปรารถนา สิ่งที่ดีงามย่อมเกิดขึ้นเสมอ

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

หลายครั้งความจำเสื่อม


หลายครั้งความจำเสื่อม
ทุกช่วงเช้าหลังจากการตื่นนอน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันใหม่แล้ว ก็เข้าสู่โหมดอ่านหนังสือ เพื่อให้สมองได้รับการบริหาร จะได้ไม่เป็นโรคความจำเสื่อม เพราะอายุเริ่มมาก อวัยวะบางส่วนย่อมเสื่อมสภาพลง เห็นหลายคนเริ่มหลง ๆ ลืม ๆ  คุยแต่เรื่องเดิมซ้ำมาซ้ำไป เราคนฟังก็รู้สึกรำคาญนิดหน่อย จึงไม่ปรารถนาจะให้ใครมารำคาญเราในวันข้างหน้า การอ่านจึงเป็นทางหนึ่งในการออกกำลังกายให้สมอง นอกจากหนังสือก็ยังอ่านข่าวสารติดตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ยิ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นชีวิตของคนที่หลงไปกับวัตถุเงินทองแล้วนำมาเป็นข้ออ้างอวดเก่งอวดเบ่ง ถาโถมใส่ผู้อื่นด้วยการเอาจำนวนเงินที่มีไปดูถูกหยามเหยียดอย่างน่ารังเกียจ กลายเป็นคนไม่มีที่ยืนในสังคม เราจะโทษใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ เพราะเราเองก็เคยตกหลุมติดหล่มอยู่กับกระแสแห่งความปรารถที่จะมีอย่างไม่สิ้นสุดจนบ่อยครั้งถึงกับฉุดรั้งไม่อยู่ หลายคนมีความรู้แต่ก็ไม่สามารถนำมาเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ เรายังละความสมถะไว้ข้างหลังให้ความโลภนำพา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าต้องตกข้างทางเข้าสักวัน

เราเห็นข่าวแชร์ลูกโซ่เกิดขึ้นที่นั่นที่นี่บนโลกออนไลน์ทุกวัน โลกไซเบอร์ที่บอกความจริง ที่หาข้อเท็จจริงได้ง่ายกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่หลายคนเลือกเอาความลวงมาประโลม และก็ตกเป็นเหยื่อแห่งความโลภ เพราะเพียงแค่หวังว่าจะรวย เผื่อว่าจะได้เม็ดเงินก้อนโตที่ลงทุนก่อนได้ก่อน แล้วเลิกก่อน ใครลุกช้าจ่ายรอบวง ใช้เงินต่อเงิน ใช้โลภต่อลวง สุดท้ายต่างคนต่างลุกวิ่งมาร้องขอความยุติธรรม ผ่านไปกี่สิบปี โลกวิวัฒน์สุดล้ำ การแฉกลโกงกลลวงให้รู้มีให้เห็นให้ดูให้รู้ แต่ก็ยังมีคนแบบเดิม ๆ หลงเชื่อตามคำเชิญชวนเกิดตามมา กาลเวลาผ่านไป เทคโนโลยีล้ำสมัยก็มิอาจจะทำลายความโลภลงได้
ในยุคที่เทคโนโลยีให้เราเรียนรู้กลโกงของคนอื่นได้ เราก็ยังชอบที่จะลงไปเสี่ยงดูเผื่อได้ เผื่อฟลุ๊ค ตรงเผื่อนี่แหละคือความโลภ เหมือนเราดูการเล่นมายากล รู้ทั้งรู้ว่าหลอกแต่ก็ยังชอบดู และพยายามจับผิดซึ่งก็ไม่เคยประสบความสำเร็จสักครั้ง เช่นกัน ทุกศาสดาที่บรรลุธรรมมีคำสอนให้เรารู้จักหลีกหนีความโลภ แต่ก็มีศาสนิกมากมายไม่สามารถรอดพ้นบ่วงลวงนี้ได้ ทำให้คิดถึง สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ผู้แทนของพระเยซูคริสตเจ้า ที่กำลังจะมาเยี่ยมเยือนพวกเราลูก ๆ พระองค์ดำเนินชีวิตแบบอย่างด้วยความสมถะ และถือความยากจน ด้วยการพักที่หอพักซางตา มาร์ธา (ไม่พักที่วังพระสันตะปาปา) เพื่อจะได้ถวายมิสซากับพี่น้อง และแบ่งปันพระวาจา เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความดีงามออกมาจากพระองค์ทุกวัน ครั้งหนึ่งพระองค์เทศน์เรื่องเกี่ยวกับความโลภ วันนี้ขอนำมาแบ่งปัน เพื่อเป็นการเตรียมจิตใจพวกเราก่อนถึงวันเวลาที่จะได้พบกับพระองค์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า 


สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาเช้าในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา พระวรสารกล่าวถึงพระเยซูทรงสอนว่า “จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตของเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีเพียงใดก็ตาม” พระสันตะปาปาทรงเทศน์ให้ข้อคิดว่า
พ่ออยากเตือนใจเราทุกคนว่า เราไม่สามารถรับใช้เจ้านายสองคนได้พร้อมกัน นั่นคือ เราไม่สามารถรับใช้พระเจ้าและเงินไปพร้อมกัน พระเยซูไม่ต่อต้านความร่ำรวย แต่พระองค์ทรงเตือนเราว่า อย่าฝากทุกอย่างไว้กับเงิน เพราะการทำแบบนี้คือความเสี่ยง มันคือการทำให้ศาสนากลายเป็นหน่วยงานประกันภัย นอกจากนี้ การยึดติดกับเงินยังนำไปสู่ความแตกแยก ดังที่เราเห็นในพระวรสารว่า พี่น้องแย่งมรดกกัน ขอให้เราพิจารณาดูว่า มีกี่ครอบครัวที่เรารู้จัก ที่สมาชิกในครอบครัวต่อสู้กันเพื่อแย่งทรัพย์สมบัติ สมาชิกเหล่านี้ไม่แม้แต่จะกล่าวคำทักทายกัน แต่พวกเขาเกลียดกัน พระเยซูตรัสชัดเจนว่า จงระวังและอยู่ให้ห่างจากความโลภทุกชนิด นี่คือสิ่งอันตรายมาก มันให้ความมั่นคงกับเรา แต่นี่ไม่ใช่ความมั่นคงที่แท้จริง ความโลภอาจทำให้เราสวดภาวนา ความโลภทำให้เราสวดขอพระเจ้าเพื่อความร่ำรวย ความโลภทำให้เราไปวัด แต่หัวใจของเราไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ตรงกันข้าม ความโลภทำให้หัวใจของเรายึดติดกับความร่ำรวยทางวัตถุ

การยึดติดกับความรวยแบบไม่มีสิ้นสุด นี่คือความโลภ เมื่อใดที่หัวใจของท่านยึดติดกับความโลภ ท่านจะเกิดความต้องการไม่รู้จักจบ ความโลภคือพระเจ้าของคนที่ยึดติดกับความรวยแบบไม่รู้จักจบ ความโลภไม่ได้นำเราไปพบความรอดพ้นจากบาป แต่ต้องเป็นหัวใจที่ยึดติดกับความยากจน ดังบทสอนเรื่องผู้เป็นสุข (บุญลาภ) ที่พระเยซูตรัสสอนประการแรกว่า “ผู้ใดมีใจยากจนก็เป็นสุข” เราต้องอย่ายึดติดกับความรวย แต่เราต้องรู้จักแบ่งปันและช่วยเพื่อนมนุษย์ การช่วยเหลือผู้อื่นคือเครื่องหมายที่บอกว่า เราไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของบาปแห่งการหลงบูชาสิ่งใดแบบไม่ลืมหูลืมตา (ข้อมูล Pope Report)
            ทุกชีวิตย่อมเคยหลงผิด เดินพลาด เข้าไปพัวพันกับความโลภ การอยากได้อยากมีจนเกินเลย เราเคยโลภจนจำสิ่งที่มีได้ไม่ครบ เราเคยสะสมจนลืมที่จะใช้บางสิ่งให้เกิดประโยชน์ ใช่หรือไม่ เรากำลังคดโกงต่อคนยากไร้และไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้สิ่งของนั้น เพียงเพราะมันดันมาอยู่ในการครอบครองของเรา เราโลภที่จะเป็นคนเก่ง คนรวย ด้วยไม่สนใจที่จะเป็นคนดี อย่าให้การทำความดีเสื่อมถอยไปจากชีวิต หันมาบริหารความดีงาม แสวงหาความสุขสันติในหนทางประจำวันไปพร้อม ๆ กัน