สถานีที่แตกต่าง
ในวันหยุดที่ทุกคนในบ้านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
จึงหาโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันสักที นัดแนะกันว่าเย็น ๆ จะออกไปเดินเล่นที่สวนใต้ทางด่วนใกล้
ๆ บ้าน เมื่อมาถึงสถานที่สิ่งที่เราตั้งใจจากท้องฟ้าสว่างไสวกลับมีเม็ดฝนโปรายปรายลงมา
แต่ไม่เป็นอุปสรรคเพราะดูแล้วคงตกไม่นาน จึงได้ทำตามความประสงค์ ในขณะที่เดินเล่นในสวนแห่งนี้
เห็นเต่าหลายตัวออกมาเดินแข่งกับผู้คน เด็ก ๆ วิ่งตามจะเอาขนมให้เต่ากิน
แต่เต่าไม่สนใจ ก็เรียกรอยยิ้มจากหลายคนได้ ปลามากมายที่มาชุมนุมกันในบ่อธารที่ไหลมาจากแม่น้ำสายใหญ่
ต่างดื่มด่ำกับอาหารที่หลายคนนำมาโปรย นำมาโยนให้ อย่างไม่ขาดสาย
ปลาแต่ละตัวจึงดูอวบอั๋นสมบูรณ์พูนสุข ที่ต้นไม้ริมแม่น้ำเห็นกล้วยแขวนไว้
นึกสงสัยว่าใครเอามาแขวนไว้ คงเตรียมมานั่งปิกนิกต่อหลังจากออกกำลังกาย
แต่ที่ไหนได้ ไม่นานเห็นเจ้ากระรอกตัวน้อย 2-3 ตัว วิ่งลงมาจากยอดต้นไม้มากินกล้วยนั้นอย่างเพลิดเพลินโดยไม่แคร์สายตาของผู้คนที่ต่างมายืนมองความน่ารักของมัน
สิ่งที่เราเห็นมันมากกว่าสิ่งที่เราคาดคิดไว้ ถือว่านี่เป็นความงามที่วันเวลาได้มอบให้กับพวกเราในวันที่เราได้พักผ่อนจากภาระการงาน
โลกที่แสนกว้างใหญ่ มีสิ่งต่าง
ๆ ให้เรียนรู้มากมาย มีสิ่งที่แตกต่างในสถานที่เดียวกัน
ไม่มีอะไรที่เหมือนกันจนไม่มีข้อแตกต่าง สัตว์ที่พบเห็นในสวนนี้
แม้จะเหมือนกันแต่ก็ไม่เหมือนกัน เต่าตัวแข็งแต่กินน้อยเชื่องช้าน่าถนอม แต่ปลาในบ่อเดียวกันกับเต่ากินเก่ง
กินไม่หยุดว่องไวแหวกว่ายกระรอกวิ่งขึ้นลงกินกล้วยอย่างรวดเร็ว มดตัวน้อย ๆ ค่อย ๆ
ริมเล็มเนื้อกล้วยใบเดียวกันทีละนิด ใช่หรือไม่ บางครั้ง
ในขณะที่เรากำลังรู้สึกอิจฉาคนอื่น ในทางกลับกันคนอื่นก็กำลังอิจฉาเราอยู่ คนเราทุกคน
ต่างมีเวลาที่ทุกข์ระทม มีน้ำตาที่ต้องเช็ดด้วยตนเอง
มีทางที่ต้องเดินด้วยตัวเองกันทั้งนั้นก่อนที่เราจะอิจฉาใคร ได้เห็นอีกมุมของเขาหรือเปล่า?
บางทีในสถานีเดียวกันต่างมีทุกข์สุขของทุกคนปะปนกันอยู่
ในหลายครั้งหลายเวลาที่เราต้องดิ้นรนวิ่งวนวุ่นวายกับการทำมาหาเลี้ยงชีพ
หลายครั้งหลายหนก็บ่นก็เบื่อกับสภาพแวดล้อมรอบตัว มองหาความสุขสงบไม่พบไม่เจอ
สถานีชีวิตมีแต่เรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ย่ำ ๆ ไปในทุกวัน
มีผู้คนมากมายที่ต่างไม่รู้จักกันในสถานีเดียวกัน ถึงเวลาก็แย่งกันกิน แย่งกันไป
ไม่มีเวลามานั่งหาความงามความละมุนละเมียด เครียดกับผู้คนที่รู้จักกันก็บ่อยไป
ต่างนินทาว่ากล่าวกันไปมา ยิ่งทำงานกับผู้คนหลากหลายยิ่งลำบากลำบน
ยิ่งพบเจอคนมากหน้าหลายตายิ่งดูอลหม่าน กว่าจะผ่านไปแต่ละวันเหนื่อยแสนเหนื่อย
วันเวลาผ่านไปไฟในตัวเริ่มมอดลงทีละเล็กทีละน้อย
และถ้าหากปล่อยเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ความสุขก็จะลดลงและหาไม่พบ เกิดอาการเบื่อหน่ายกับวิถีชีวิต
ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองและผู้อื่น ความจำเจกลายเป็นการจองจำให้ชีวิตตกอยู่ในความเหนื่อยหน่ายตลอดไป
และที่สุดเราก็พาลหาว่ากล่าวถึงคนอื่น มองคนรอบข้างว่าปล่อยให้เราอ้างว้าง หรือ ปล่อยให้เราเป็นคนทำนั่นทำนี่อยู่ฝ่ายเดียว
คิดเข้าข้างตัวเอง
ใช่หรือไม่
หลายครั้งเราก็เห็นคนรอบข้างเราต่างบ่นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
บ่นว่าคนนั้นคนนี้อยู่ร่ำไป ตำหนิกันไปมา นินทากล่าวร้ายรายวัน สถานที่ใดมีผู้คนแบบนี้มาก
ๆ ย่อมเป็นสังคมที่ไร้ความสุขความสดชื่น บางทีการได้หยุดพักหยุดคิด มีเวลามองเห็นความงามรอบตัวบ้าง
ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในจิตใจเรา มีเวลาได้นั่งคุยกับคนกันเอง
มีเวลาได้ยืดกายสบายใจเพิ่มโอโซนให้กับจิตวิญญาณ ด้วยความงามของสิ่งสร้าง สรรพสิ่งเล็ก
ๆ ให้ความสุขเกิดขึ้น และจะนำมาซึ่งความรักอันยิ่งใหญ่บ้าง สิ่งนี้ย่อมมีค่ามากกว่าทรัพย์สินภายนอก
มีค่ามากกว่าตำแหน่งแห่งหนทั้งหลายทั้งปวง
เคยมีคนถามคุรุเทพรพินทรนาถ
ฐากุร นักปรัชญาของอินเดีย 3 คำถามว่า
ข้อที่ 1
ในโลกนี้สิ่งใดง่ายที่สุด?
ข้อที่ 2
ในโลกนี้สิ่งใดยากที่สุด?
ข้อที่ 3
ในโลกนี้สิ่งใดยิ่งใหญ่ที่สุด?
คุรุเทพรพินทรนาถ
ฐากุรตอบเขาว่า
“ตำหนิคนอื่นง่ายที่สุด
รู้จักตัวเองยากที่สุด
ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด”
การสาละวนกับสิ่งภายนอก
การวุ่นวายกับผู้คนมากไป เปรียบเทียบคนอื่นกับเรามากเกินไปก็ทำให้เราขาดความสุข
แต่การใส่ใจกัน สนใจกันโดยมีความเอื้ออาทร โดยมีความหวังดี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
จะนำมาซึ่งความรักอันยิ่งใหญ่ หากว่าเราได้ทำทุกสถานีที่เราไปกลายเป็นสถานีแห่งความรักและความสุข
เราก็จะร่วมขบวนเดินทางไปถึงเป้าหมายอย่างมีความหมาย
ความสุขของคนเรานั้นหาง่ายกว่าการหาเงินทองเสียอีก
ความสุขนั้นไม่ได้เกิดจากความเก่งที่เหนือกว่ากัน
ความสุขนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะใครใหญ่กว่ากัน
แต่อยู่ที่หัวใจที่พร้อมมอบให้คนอื่น และรู้จักวางตัวเองให้เป็นในสถานีต่าง
ๆ มองเห็นความงามของสิ่งรอบตัว ไม่ริษยาในความต่างของผู้อื่น ที่สุด เลือกที่จะพัฒนาชีวิตฝ่ายจิต
ชีวิตภายในให้เติบโตขึ้น เพื่อสันติสุขจะได้คงอยู่ในสังคม ในสถานีที่เราอยู่ ที่เราไปตลอดทาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น