วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ยานแม่


ยานแม่
ในช่วงชีวิตคนเรามักพบเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมาย เคยพูดคุยกับบางคนที่หมั่นสังเกตช่วงของชีวิต มักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แต่ละคนมักมีช่วงวงล้อการเปลี่ยนแปลงด้วยกันทั้งนั้น บางคนสิบปี บางคนสิบสองสิบสามปีจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นเสมอ ทั้งด้านดีและด้านไม่ค่อยจะดี วงล้อวงโคจรของชีวิตเรานี้เป็นเหมือนยานแม่ ที่มักจะทำให้เราได้รับประสบการณ์ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิต ได้เรียนรู้การดำรงตนในสังคมให้เหมาะสม ได้ทำให้หัวจิตหัวใจมีความเข้มแข็ง พูดง่าย ๆ คือมีความเป็นผู้บรรลุวุฒิภาวะ บรรลุทางธรรมมากขึ้น ยิ่งผ่านวงรอบมากขึ้นเท่าไหร่ย่อมทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนที่มั่นคงทางอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น แต่ก็มีไม่น้อยที่วันเวลามิได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะด้วยยึดมั่นถือครอง ไม่รู้จักการผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่รู้จักที่จะให้อภัยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่ผ่านวันเวลามาเช่นนี้ ย่อมมีคุณค่าน้อยนัก เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมนำมาซึ่งความเจริญงอกงามเสมอ

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
การเปลี่ยนแปลงของโลกเรามีมาอย่างต่อเนื่อง วงรอบการเปลี่ยนครั้งใหญ่ ๆ มักจะมีระยะห่างเป็นพันปีร้อยปี แต่ในวันนี้เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความถี่เร็วขึ้นเพียงปีสองปี หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนอย่างผิดหูผิดตา และเราผู้ซึ่งอยู่ในยุคคาบเกี่ยวแห่งการลอกคาบ เราจะเป็นเช่นไร? บางทีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปโดยที่เราไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำไป เมื่อ 50 ปีที่แล้วของในช่วงระยะเวลานี้ โลกก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะมนุษย์ได้ไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก ในครั้งนั้นมีการถ่ายทอดสด ที่มีมนุษย์ลงบนดวงจันทร์ด้วย บ้านใครมีทีวีก็จะกลายเป็นที่ชุมนุมของคนรอบบ้านสร้างปรากฏการณ์เล่าขานกันจนจำชื่อมนุษย์คนแรกที่เหยียบดวงจันทร์ได้อย่างแม่นยำนั่นคือ นีล อาร์มสตรอง ยานแม่ที่สร้างความฮือฮามีชื่อว่า อพอลโล 11 ทะยานขึ้นจากศูนย์อวกาศเคนเนดี้ในรัฐฟลอริด้า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ปี 2512 พร้อมกับนักบินอวกาศ 3 คน ได้แก่ นีล อาร์มสตรอง ผู้บังคับการ เอดวิน อัลดริน และไมเคิล คอลลินส อพอลโล 11 ใช้เวลา 4 วัน จึงเดินทางถึงดวงจันทร์ เป็นที่มาของแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนมาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วโลกมิใช่ศูนย์กลางจักรวาล มิใช่ดวงดาวที่ยิ่งใหญ่ แล้วมนุษย์เราก็ต้องน้อมรับความกระจิดริดของตัวเอง มิใช่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของใครต่อใคร ก็นั่นแหละเหตุการณ์นั้นอาจจะสร้างสำนึกให้กับหลายคน แต่ก็ยังมีอยู่ไม่น้อยคนที่ยังยึดโยงตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่ดี
ครั้นมาถึงวันนี้ วันที่ความถี่ของวงจรการเปลี่ยนผ่านเข้ามารวดเร็วขึ้น  Elon Musk เป็นหนึ่งในซีอีโอระดับโลกที่โด่งดังที่สุดในยุคปัจจุบัน เขาคือผู้พลิกโฉมวงการรถยนต์และด้านอวกาศ ด้วยการก่อตั้งบริษัท Tesla พัฒนานวัตกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไร้คนขับ ระบบกักเก็บพลังงาน และแผงโซล่าเซลล์ และบริษัท SpaceX ผู้บุกเบิกด้านการสำรวจอวกาศ พัฒนาการให้บริการอินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายดาวเทียมและจรวดส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร  และเมื่อไม่กี่วันนี้เขาประกาศจัดตั้งบริษัท “Neuralink” ที่จะเป็นการพลิกโฉมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกอีกครั้ง

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
เป้าหมายของบริษัท Neuralink คือการพัฒนาเทคโนโลยีการเชื่อมสมองของมนุษย์เข้ากับสมองกล โดยการฝังอุปกรณ์ลงไปในสมองเพื่อช่วยให้สมองของมนุษย์ผสานรวม (merge) กับซอฟต์แวร์และปัญญาประดิษฐ์เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ซึ่งจะช่วยในเรื่องความจำและทำให้มนุษย์สามารถเชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ 
การพัฒนาครั้งนี้เพื่อช่วยให้มนุษย์เรามีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นปราศจากโรคภัยหรือสามารถรักษาโรคร้ายไม่ให้ทำลายชีวิตเราได้ การเชื่อมสมองคนเรากับเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นความฝันที่ถูกทำให้เป็นความจริงมาขึ้นเรื่อย ๆ นวัตกรรมนี้สร้างความตื่นเต้นและก่อให้เกิดการตื่นตัวอย่างมากในแวดวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งอาจจะสามารถพลิกโฉมการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ในขณะเดียวกันเรากลับถอยห่างจากการเชื่อมโยงจิตใจ จิตวิญญาณให้ออกจากชีวิตเรามากขึ้น การพัฒนาชีวิตภายในหยุดอยู่กับที่ เรามุ่งพัฒนาไปเพื่อสิ่งใดกันเล่า? เพื่อสืบสานงานสร้างโลกให้สมบูรณ์ หรือเพื่ออาณาจักรแห่งตนให้มั่นคง เรามีความคิดที่จะเข้าใกล้ เข้าหาพระเจ้า หรือเรากำลังดับไฟพระเจ้าในตัวเรา การพัฒนาเป็นเรื่องที่ดีงามหากการพัฒนานั้นมุ่งเน้นให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้นมิใช่พัฒนามาให้เราหยิ่งผยองลำพองในความสามารถของตน เมื่อเทคโนโลยีก้าวไกล ความเชื่อและความวางใจในพระเจ้าก็ถอยร่น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
เป็นพวกเราเองที่จะต้องใช้ความเชื่อความไว้วางใจของเราเป็นยานแม่ เพื่อมุ่งหาพระเจ้า เพื่อชีวิตนิรันดร์ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างล้วนมาจากพระเจ้าผู้เผยแสดงให้เรารับรู้ การพัฒนาทุกสิ่งล้วนเพื่อก่อให้เกิดความดี และเห็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อตัวเรา ไม่มีอะไรจะดีเท่ากับการวอนขอให้เรามีปรีชาญาณ เป็นยานแม่ เพื่อนำพาชีวิตของเราให้ก้าวสู่ความจริง โดยผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้า ด้วยการนำคำสอนของพระองค์มาทำให้ชีวิตของเราเติบโต พบกับการเปลี่ยนแปลงสู่ความดีงามในทุกวันเวลา อาณาจักรใดเล่าจะยิ่งใหญ่เท่าอาณาจักรแห่งใจ ใจที่เปรมปรีดิ์ ใจที่เต็มไปด้วยสันติสุข...
( ปล.อินเดียเพิ่งปล่อยจรวด “จันทรายาน-2” ไปดวงจันทร์เมื่อตอนสี่โมงเย็นวันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมานี้ )

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

สถานีที่แตกต่าง


สถานีที่แตกต่าง
ในวันหยุดที่ทุกคนในบ้านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน จึงหาโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันสักที นัดแนะกันว่าเย็น ๆ จะออกไปเดินเล่นที่สวนใต้ทางด่วนใกล้ ๆ บ้าน เมื่อมาถึงสถานที่สิ่งที่เราตั้งใจจากท้องฟ้าสว่างไสวกลับมีเม็ดฝนโปรายปรายลงมา แต่ไม่เป็นอุปสรรคเพราะดูแล้วคงตกไม่นาน จึงได้ทำตามความประสงค์ ในขณะที่เดินเล่นในสวนแห่งนี้ เห็นเต่าหลายตัวออกมาเดินแข่งกับผู้คน เด็ก ๆ วิ่งตามจะเอาขนมให้เต่ากิน แต่เต่าไม่สนใจ ก็เรียกรอยยิ้มจากหลายคนได้ ปลามากมายที่มาชุมนุมกันในบ่อธารที่ไหลมาจากแม่น้ำสายใหญ่ ต่างดื่มด่ำกับอาหารที่หลายคนนำมาโปรย นำมาโยนให้ อย่างไม่ขาดสาย ปลาแต่ละตัวจึงดูอวบอั๋นสมบูรณ์พูนสุข ที่ต้นไม้ริมแม่น้ำเห็นกล้วยแขวนไว้ นึกสงสัยว่าใครเอามาแขวนไว้ คงเตรียมมานั่งปิกนิกต่อหลังจากออกกำลังกาย แต่ที่ไหนได้ ไม่นานเห็นเจ้ากระรอกตัวน้อย 2-3 ตัว วิ่งลงมาจากยอดต้นไม้มากินกล้วยนั้นอย่างเพลิดเพลินโดยไม่แคร์สายตาของผู้คนที่ต่างมายืนมองความน่ารักของมัน สิ่งที่เราเห็นมันมากกว่าสิ่งที่เราคาดคิดไว้ ถือว่านี่เป็นความงามที่วันเวลาได้มอบให้กับพวกเราในวันที่เราได้พักผ่อนจากภาระการงาน

โลกที่แสนกว้างใหญ่ มีสิ่งต่าง ๆ ให้เรียนรู้มากมาย มีสิ่งที่แตกต่างในสถานที่เดียวกัน ไม่มีอะไรที่เหมือนกันจนไม่มีข้อแตกต่าง สัตว์ที่พบเห็นในสวนนี้ แม้จะเหมือนกันแต่ก็ไม่เหมือนกัน เต่าตัวแข็งแต่กินน้อยเชื่องช้าน่าถนอม แต่ปลาในบ่อเดียวกันกับเต่ากินเก่ง กินไม่หยุดว่องไวแหวกว่ายกระรอกวิ่งขึ้นลงกินกล้วยอย่างรวดเร็ว มดตัวน้อย ๆ ค่อย ๆ ริมเล็มเนื้อกล้วยใบเดียวกันทีละนิด ใช่หรือไม่ บางครั้ง ในขณะที่เรากำลังรู้สึกอิจฉาคนอื่น ในทางกลับกันคนอื่นก็กำลังอิจฉาเราอยู่ คนเราทุกคน ต่างมีเวลาที่ทุกข์ระทม มีน้ำตาที่ต้องเช็ดด้วยตนเอง มีทางที่ต้องเดินด้วยตัวเองกันทั้งนั้นก่อนที่เราจะอิจฉาใคร ได้เห็นอีกมุมของเขาหรือเปล่า? บางทีในสถานีเดียวกันต่างมีทุกข์สุขของทุกคนปะปนกันอยู่
ในหลายครั้งหลายเวลาที่เราต้องดิ้นรนวิ่งวนวุ่นวายกับการทำมาหาเลี้ยงชีพ หลายครั้งหลายหนก็บ่นก็เบื่อกับสภาพแวดล้อมรอบตัว มองหาความสุขสงบไม่พบไม่เจอ สถานีชีวิตมีแต่เรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ย่ำ ๆ ไปในทุกวัน มีผู้คนมากมายที่ต่างไม่รู้จักกันในสถานีเดียวกัน ถึงเวลาก็แย่งกันกิน แย่งกันไป ไม่มีเวลามานั่งหาความงามความละมุนละเมียด เครียดกับผู้คนที่รู้จักกันก็บ่อยไป ต่างนินทาว่ากล่าวกันไปมา ยิ่งทำงานกับผู้คนหลากหลายยิ่งลำบากลำบน ยิ่งพบเจอคนมากหน้าหลายตายิ่งดูอลหม่าน กว่าจะผ่านไปแต่ละวันเหนื่อยแสนเหนื่อย วันเวลาผ่านไปไฟในตัวเริ่มมอดลงทีละเล็กทีละน้อย และถ้าหากปล่อยเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ความสุขก็จะลดลงและหาไม่พบ เกิดอาการเบื่อหน่ายกับวิถีชีวิต ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองและผู้อื่น ความจำเจกลายเป็นการจองจำให้ชีวิตตกอยู่ในความเหนื่อยหน่ายตลอดไป และที่สุดเราก็พาลหาว่ากล่าวถึงคนอื่น มองคนรอบข้างว่าปล่อยให้เราอ้างว้าง หรือ ปล่อยให้เราเป็นคนทำนั่นทำนี่อยู่ฝ่ายเดียว คิดเข้าข้างตัวเอง 

ใช่หรือไม่ หลายครั้งเราก็เห็นคนรอบข้างเราต่างบ่นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง บ่นว่าคนนั้นคนนี้อยู่ร่ำไป ตำหนิกันไปมา นินทากล่าวร้ายรายวัน สถานที่ใดมีผู้คนแบบนี้มาก ๆ ย่อมเป็นสังคมที่ไร้ความสุขความสดชื่น บางทีการได้หยุดพักหยุดคิด มีเวลามองเห็นความงามรอบตัวบ้าง ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในจิตใจเรา มีเวลาได้นั่งคุยกับคนกันเอง มีเวลาได้ยืดกายสบายใจเพิ่มโอโซนให้กับจิตวิญญาณ ด้วยความงามของสิ่งสร้าง สรรพสิ่งเล็ก ๆ ให้ความสุขเกิดขึ้น และจะนำมาซึ่งความรักอันยิ่งใหญ่บ้าง สิ่งนี้ย่อมมีค่ามากกว่าทรัพย์สินภายนอก มีค่ามากกว่าตำแหน่งแห่งหนทั้งหลายทั้งปวง
เคยมีคนถามคุรุเทพรพินทรนาถ ฐากุร นักปรัชญาของอินเดีย 3 คำถามว่า
ข้อที่ 1 ในโลกนี้สิ่งใดง่ายที่สุด?
ข้อที่ 2 ในโลกนี้สิ่งใดยากที่สุด?
ข้อที่ 3 ในโลกนี้สิ่งใดยิ่งใหญ่ที่สุด?
คุรุเทพรพินทรนาถ ฐากุรตอบเขาว่า
“ตำหนิคนอื่นง่ายที่สุด
รู้จักตัวเองยากที่สุด
ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด”


การสาละวนกับสิ่งภายนอก การวุ่นวายกับผู้คนมากไป เปรียบเทียบคนอื่นกับเรามากเกินไปก็ทำให้เราขาดความสุข แต่การใส่ใจกัน สนใจกันโดยมีความเอื้ออาทร โดยมีความหวังดี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะนำมาซึ่งความรักอันยิ่งใหญ่ หากว่าเราได้ทำทุกสถานีที่เราไปกลายเป็นสถานีแห่งความรักและความสุข เราก็จะร่วมขบวนเดินทางไปถึงเป้าหมายอย่างมีความหมาย ความสุขของคนเรานั้นหาง่ายกว่าการหาเงินทองเสียอีก ความสุขนั้นไม่ได้เกิดจากความเก่งที่เหนือกว่ากัน ความสุขนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะใครใหญ่กว่ากัน แต่อยู่ที่หัวใจที่พร้อมมอบให้คนอื่น และรู้จักวางตัวเองให้เป็นในสถานีต่าง ๆ  มองเห็นความงามของสิ่งรอบตัว ไม่ริษยาในความต่างของผู้อื่น ที่สุด เลือกที่จะพัฒนาชีวิตฝ่ายจิต ชีวิตภายในให้เติบโตขึ้น เพื่อสันติสุขจะได้คงอยู่ในสังคม ในสถานีที่เราอยู่ ที่เราไปตลอดทาง

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

สองตามิอาจเห็นโลกทั้งใบ


สองตามิอาจเห็นโลกทั้งใบ
ในสังคมที่เราชอบเลือกดู เลือกเสพสื่อ ด้วยตาของเราผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารที่ทันสมัย จนทุกคนต่างติดกันงอมแงม แทบจะขาดมันไม่ได้สักนาที อุปกรณ์สื่อสารผ่านปลายนิ้วมือ ผ่านสายตา เข้ามากัดกินเวลาในชีวิตคนเราไปมากทีเดียว มาดึงเอาความใส่ใจสนใจต่อสิ่งรอบตัวไปก็เยอะ ประโยชน์นั้นมีอนันต์ถ้าใช้กันเป็นเวล่ำเวลา บ่อยครั้งทีเดียวที่คนเราสมัยนี้ไม่นิ่ง ต้องมีเจ้าสิ่งนี้ไว้ในมือ แล้วก็ถือถูไถไปมา วนเวียนเวียนวน ทนถูทนไถได้เป็นวัน ๆ คนรุ่นใหม่คนรุ่นเก่าถูกตรึงด้วยมนต์เสน่ห์ของความรวดเร็ว ของการเป็นเจ้าของในสิ่งที่เราต้องการจะเสพ ต้องการจะบอก หลายคนเพียงได้รับสารอะไรนิดหน่อยต้องรีบแชร์เพื่อโชว์ถึงความรวดเร็วและความรอบรู้ และเพื่อสิ่งนี้นี่เองเราจึงจะห่างขาดจากมันไม่ได้สักนาที และเชื่อถือมันยิ่งกว่าพระเจ้า ที่พูดเช่นนี้มิใช่พูดให้เกินความจริง สิ่งที่พบเห็นกับตาเวลาเข้าวัดมาร่วมพิธีมิสซา หลายต่อหลายคน ก็มิอาจจะห้ามใจที่จะเลิกละปล่อยให้ข่าวสาร ขยะโซเชี่ยล ผ่านหูผ่านตาไป ตัวอยู่ในสถานที่พบพระ แต่ตาและใจล่องลอยไปพบเพื่อน ปล่อยพระให้อยู่กับพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีต่อไปอย่างกับธุระไม่ใช่
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต
ด้วยเพราะเรายึดติดเสพติดจนยึดถือเชื่อถือสารที่พรั่งพรูมาจากสื่อชนิดนี้อย่างหัวปักหัวปำ ทำให้การตัดสินใจของเราเลือกที่จะเอาข้อมูลเพียงตาสัมผัส หูได้ยิน แต่ไร้หัวใจไร้ปรีชาญาณกลั่นกรอง และเลือกที่จะเชื่อถือข้อมูลที่เรามีเราชินเราชอบเพียงด้านเดียว ทั้ง ๆ ที่โลก สังคมที่เราอาศัยอยู่ประกอบด้วยหลากหลายมิติ หลายครั้งหลายข่าวเพียงไม่ทันข้ามวัน ก็เกิดการพลิกขั้ว เกิดโป๊ะแตก ความจริงเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่เราได้เห็นได้ฟังได้อ่านในข่าวแรก แล้วเราก็เกิดอคติ ตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ ต่อเติม เล่าให้เพื่อนฝูง ส่งต่อความเกลียดชังไปยังคนอื่น แต่เมื่อความจริงปรากฏผิดฝาผิดตัวก็ไม่เคยมีใครออกมาแก้ไขสิ่งที่ส่งผ่านไปแล้ว ในความเป็นคนของเราผู้เป็นศิษย์พระคริสต์สิ่งหนึ่งที่เราต้องคำนึงและฝึกฝนให้บ่อย คือ ชีวิตที่ใช้ปรีชาญาณ ปัญญานำทาง ใช้หัวใจที่จะให้ความรัก ให้ความใส่ใจ และพร้อมที่จะต้องคิดเสมอว่าคนเราทุกคนย่อมมีที่มาที่ไป มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่เราไม่รู้หรืออาจจะคิดไม่ถึงได้เสมอ บางทีท่าทีในการก้มลงเขียนดินเหมือนกับพระเยซูเจ้า ในขณะที่ทุกคนต้องการให้พระองค์ตัดสินความผิดแก่สตรีนางหนึ่ง พระองค์นิ่ง เข้าใจ เห็นใจ ที่บางครั้งคนเราพลาดพลั้งกันได้เพราะอาจจะด้วยความจำเป็น ด้วยปัจจัยแวดล้อม สำคัญอยู่ที่ผิดและต้องสำนึกให้ได้สำนึกให้เป็น ยอมรับความผิด ท่าทีเช่นนี้ควรมีอยู่ในตัวเรา
เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวที่งดงามข่าวหนึ่งที่มีคนแชร์ จนสำนักข่าวต่างประเทศขึ้นพาดหัวข้อข่าวว่า “ชาวสะมาเรียยุคใหม่” เป็นข่าวที่หนุ่มขี่บิ๊กไบค์คนหนึ่งขี่รถมาเจอพ่อที่กำลังขับรถยนต์พาลูกที่ป่วยเป็นโรคลมชักไปโรงพยาบาล แต่มาเจอรถติดกลางสี่แยกไฟแดง และกลัวว่าจะไม่ทันการณ์ จึงให้พ่ออุ้มลูกซ้อนท้ายบิ๊กไบค์ไปส่งโรงพยาบาล จนลูกปลอดภัย ใช่หรือไม่ บนท้องถนน เรามักติดนิสัยชอบบ่นโวยวาย ทำไมคันหน้าขับช้า ทำไมมอเตอร์ไซค์คันนี้ซอกแซกจะรีบไปไหน ทำไมและทำไมมากมาย เราเพียงเห็นแค่สองตาความจริงทั้งหมดเราไม่รู้ เราจึงขาดความใส่ใจในการตัดสินใจที่จะกล่าวหาผู้อื่น

วันหนึ่ง ขงจื๊อ เมธีจีน พร้อมศิษยานุศิษย์ เดินทางรอนแรมลี้ภัยการเมืองอยู่กลางป่า พอได้เวลาอาหาร ลูกศิษย์เตรียมตักข้าวใส่จานพร้อมสำรับอาหาร ขณะกำลังตักข้าวอยู่ห่าง ๆ นั้น ท่านขงจื๊อสังเกตเห็นว่าลูกศิษย์หยิบข้าวจากจานของท่านขึ้นมาใส่ปากเคี้ยว ท่านจึงสอนและชี้ให้เห็นว่า การหยิบอาหารจากสำรับของครูบาอาจารย์มารับประทานก่อนได้รับอนุญาตนั้น แสดงถึงความ “อนารยะ” ที่น่าตำหนิอย่างยิ่ง
ลูกศิษย์จึงขอโอกาสชี้แจง
“อาจารย์ครับ ที่กระผมหยิบข้าวจากจานของอาจารย์ขึ้นมารับประทานก่อนหาใช่กระทำไปด้วยความเขลาหรือขาดคารวะก็หาไม่ แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในจานข้าวของอาจารย์ มีผงถ่านสีดำปนเปื้อนข้าวอยู่ ครั้นจะยกมาให้อาจารย์เลยก็เกรงว่าคงไม่เหมาะ จะหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นทิ้งก็เสียดายเพราะข้าวหายากและจำเป็นมาก สำหรับการอยู่รอดในยามวิกฤติ กระผมก็เลยหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นขึ้นมารับประทานเสียเองขอรับ”

แววตาที่ฉายแววดุของผู้เป็นอาจารย์ค่อย ๆ ทอประกายอ่อนโยนด้วยเมตตา ก่อนเอ่ยวาจาขอโทษผู้เป็นศิษย์อย่างไม่ถือตัว
บ่อยครั้งที่เรามักตัดสินอะไรผิดพลาดอย่างง่ายดายจนเกินไป ทั้งที่เราอยู่ในยุคที่มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่เข้าถึงความจริงได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แต่เรากลับใช้ความเร็วจนเสียทั้งคน เสียทั้งงาน ในชั่วพริบตาเพียงเพราะเราเชื่อในสิ่งที่สายตารายงาน และปิดใจที่จะน้อมรับเอาความจริงเป็นที่ตั้ง เราคริสตชนคนยุคใหม่ต้องใช้หัวใจมากกว่าใช้กายสัมผัส ตาเห็นอาจจะไม่เป็นจริงเหมือนการใส่หัวใจลงไป เราต้องปฏิบัติตนในฐานะศิษย์พระคริสต์ ให้มีหัวใจเมตตากรุณาต่อทุกคน เริ่มจากครอบครัว ญาติพี่น้องมองดูผู้คนด้วยดวงตาของพระและอย่าลืมว่าโลกกว้างกว่าตาเห็น ใจยิ่งกว้างยิ่งเข้าใจโลกนี้

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ให้โอกาสคือให้สันติสุข


ให้โอกาสคือให้สันติสุข
เสียงลมข้างรถดังขึ้น ดังมาจากไหน มองไปมองมาก็จากล้อนั่นเอง ล้อค่อย ๆ แฟบลง ๆ จนแบนติดพื้น โชคดีที่รถได้จอดอยู่ในลานจอดรถของอุทยานแก่งกระจาน ตรงนั้นมีทหารเวรอยู่ 2-3 คน ก่อนที่จะลงมือเปลี่ยนยางอะไหล่ หนึ่งในคณะได้เข้าไปขอความช่วยเหลือจากทหารเวร ซึ่งได้โทรไปแจ้งให้เพื่อนทหารอีกสองคนนำเครื่องมือมาช่วย และเป็นธุระในการเติมลมล้ออะไหล่และเปลี่ยนใส่แทนล้อที่ยางรั่ว เพื่อให้เราขับรถไปยังร้านในตลาดเพื่อปะยาง แน่นอน หน้าที่ทหารคือดูแลช่วยเหลือประชาชน นี่คืออุดมการณ์ฝังอยู่ในหัวจิตหัวใจ ในขณะที่เราถูกปลูกฝังวิถีชีวิตคนเมืองที่ต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างเก่ง จึงไม่ค่อยชินกับสิ่งเหล่านี้ ก็ออกอาการขวยอายบ้าง และรู้สึกเกรงใจทั้ง ๆ ที่พวกเขาถือว่าการช่วยเหลือครั้งนี้มันเล็กน้อยมาก ใช่หรือไม่ บางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง มักมีสิ่งมีติ่งเตือนให้ต้องหวนคำนึงถึงตัวเราไม่มากก็น้อย คำว่า การให้ การมีน้ำใจต่อคนอื่นโดยไม่ต้องคิดผลตอบแทนมันคือหน้าที่อย่างหนึ่งของความเป็นมนุษย์ ที่กำลังถูกลดทอน ถูกแทนที่ด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก จนคิดกันไปเองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเราทำด้วยตัวเองได้ มันก็เลยทำให้หัวใจเราแกน ๆ ลง 


ทุกวันนี้เราต่างเลือกที่จะอยู่กับเครื่องมากกว่าอยู่กับคน หัวใจอันละมุนกลับคุกรุ่นไปด้วยความอยากได้ อยากมี ละเลยการที่จะเห็นใจกันและกัน เราถูกทำให้ตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป ไม่สนใจใยดีต่อกัน เราถูกทำให้เชื่อว่าความสุขของเราอยู่ที่การได้เสพสื่อ เสพสิ่งบันเทิงจากผู้อื่น เพื่อกระตุ้นให้เราเกิดกิเลส เรามักมองข้ามผ่านเรื่องราว เรื่องเล่าดี ๆ ที่สวยงาม แต่ชอบที่จะเลือกเสพข่าวตามกระแส เรื่องชาวบ้านคืองานของเราชาวเน็ต เรื่องเด็ด ๆ คือเรื่องที่เราต้องไม่พลาด ยิ่งเรื่องบาดหมางยิ่งสนุก ทุกข์คนอื่นคือสุขของเรา หากเราปล่อยให้เราต้องอยู่ในกระแสเช่นนี้จนไม่สามารถจะฉุดรั้งขึ้นมาได้ ก็จะกลายเป็นผู้คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร อ้างเพียงเสรีภาพส่วนตัว เมื่อถึงขั้นนี้แล้วเราก็จะไม่ให้โอกาสใคร แม้กระทั่งโอกาสตัวเอง

การให้โอกาสแก่กันนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่จะนำโลกให้ก้าวหน้าไปในครรลองของธรรม การให้โอกาสแก่กันสำคัญมากกว่าการให้ทรัพย์สินใด ๆ สังคมเรากำลังก้าวพลาดจากสิ่งเหล่านี้ไป การพัฒนาสิ่งต่าง ๆ จึงดูเหมือนว่าเพื่อการค้าขายและเพื่ออำนวยความสะดวกทางกายภาพเท่านั้น ไม่เหมือนวันวานที่ผ่านมาโลกของเราก็ไม่เคยขาดการพัฒนาที่สามารถเป็นประโยชน์ต่อชีวิตผู้คน ที่มาจากการให้โอกาสกัน ดังเช่นเรื่องของ เฟลมมิง เป็นชาวนาชาวสกอตแลนด์ผู้ยากจน 
วันหนึ่งระหว่างที่เขากำลังทำงานอยู่ในไร่ เฟลมมิ่งก็ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยดังมาจากบึงโคลนที่อยู่ไม่ไกลแถวนั้น โดยไม่ต้องคิด เขาวางมือจากงานที่ทำอยู่ แล้ววิ่งตรงไปที่บึงอย่างรวดเร็ว แล้วเมื่อเข้าใกล้เขาก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังถูกโคลนดูดอยู่กลางบึง ยิ่งเขาพยายามดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองมากเท่าใด เด็กหนุ่มก็ยิ่งจมลงไปในโคลนมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้โคลนอยู่สูงถึงหน้าอกของเขาแล้ว เด็กหนุ่มจึงร้องอย่างกลัวความตาย เมื่อเห็นอย่างนั้น เฟลมมิงก็วิ่งลุยโคลนลงไปโดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง เขาต้องช่วยเด็กหนุ่มออกมาให้ได้ โชคดีเป็นของเด็กหนุ่มที่เฟลมมิงอยู่ตรงนั้น ทำให้เขารอดพ้นจากความตาย
ในวันต่อมา มีรถม้าอันหรูหราสวยงามมาจอดตรงหน้าบ้านอันยากแค้นของเฟลมมิง แล้วขุนนางผู้สูงศักดิ์ในเครื่องแต่งกายงดงามก็ก้าวลงจากรถม้า  เขาแนะนำตัวเองว่าเป็นบิดาของเด็กหนุ่มที่เฟลมมิงช่วยไว้เมื่อวานนี้
“ข้าต้องการจะตอบแทนเจ้า” ชายสูงศักดิ์กล่าว  “ที่ได้ช่วยชีวิตลูกชายของข้าไว้”
“ข้ารับค่าตอบแทนจากสิ่งที่ข้าทำลงไปไม่ได้หรอก”  เฟลมมิงตอบกลับและในเวลาเดียวกันนั้น ลูกชายของเขาก็เดินออกมาจากตัวบ้าน “นั่นคือลูกชายของท่านใช่หรือไม่?”  ชายสูงศักดิ์ถาม “ใช่” “ถ้าเช่นนั้นข้ามีเรื่องจะตกลงกับเจ้า ข้าอยากช่วยลูกชายของเจ้าให้ได้เรียนหนังสือมากเท่าที่ลูกชายของเจ้าพอใจจะได้หรือไม่ เพราะถ้าหากว่าลูกชายของเจ้าเป็นเหมือนพ่อของเขาแล้ว เขาจะเติบโตขึ้นเป็นคนที่พวกเราจะต้องภาคภูมิใจอย่างไม่ต้องสงสัย”
เฟลมมิงตอบตกลงรับข้อเสนอนั้น ต่อมาลูกชายของเฟลมมิงจึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด หลังจากที่เขาเรียนจบจากโรงเรียนแพทย์ของโรงพยาบาลเซนต์แมรีส์ในลอนดอน ชายหนุ่มคนนี้ก็กลายมาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในชื่อของ เซอร์อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง ผู้ค้นพบยาเพนนิสซิลินนั่นเอง 
ภายหลัง ลูกชายของชายสูงศักดิ์ที่เฟลมมิงได้ช่วยไว้จากโคลนดูด ก็ล้มป่วยด้วยโรคปอด แล้วอะไรล่ะที่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้อีกครั้ง? แน่นอน นั่นก็คือยาเพนนิสซิล ชื่อของชายสูงศักดิ์คนนั้นคือ ลอร์ด แรนดอลฟ์ เชอร์ชิลล์ และลูกชายของเขามีชื่อว่า เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ ที่กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม (ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสทูเดย์)

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
พระเยซูเจ้าให้โอกาสแก่สานุศิษย์ด้วยการส่งออกไปเพื่อทำหน้าที่นำความรักและสันติสุขมอบแด่ทุกคน ในวันนี้เราได้มอบสันติสุขแก่ใครบ้าง? เริ่มจากคนใกล้ตัวเรา ให้โอกาสแก่กันและกัน ให้กำลังใจกันในการก้าวสู่วิถีชีวิตของศิษย์พระคริสต์ไปพร้อม ๆ กัน