วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2562

คลายใจกายสบาย


คลายใจกายสบาย
หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องฝุ่นละอองเล็ก ๆ มาบ้าง จึงเกิดความตั้งใจว่าเราต้องช่วยลดมลภาวะบ้าง เริ่มจากสิ่งที่เป็นอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ในวันว่างวันหนึ่ง จึงตื่นมาทำความสะอาดบ้านแต่เช้า ดูดฝุ่น เช็ดกระจก ขัดระเบียง ตอนแรกก็คิดว่าทำไม่นานคงจะเรียบร้อยหมด ทำไปทำมา หลายอย่างมีความลำบาก ต้องยืนในที่แคบ ๆ ต้องเอื้อม ต้องโหน มือหนึ่งยึดมือหนึ่งเช็ด กว่าจะเสร็จผ่านไปครึ่งค่อนวัน เห็นฝุ่นผงที่ลงมากองในถังแล้วทำให้เข้าใจเลยว่า มลพิษจะลดลงได้หากเรารู้จักที่จะช่วย ๆ กันทำในสิ่งที่เราทำได้ หลังจากอาบน้ำชำระร่างกาย ก็รู้สึกปวดเมื่อยตามข้อต่าง ๆ กล้ามเนื้อเริ่มล้า กันไว้ดีกว่าแก้จึงออกมาปรึกษาหมอ ได้ยาทานและยาทาคลายกล้ามเนื้อเพื่อไม่ให้เกิดอาการอักเสบ ด้วยเพราะการที่ไม่ค่อยได้ทำอะไรหนัก ๆ แบบนี้มานาน พอจัดทีจัดเต็มเกินกำลัง

  
ในขณะที่นั่งทาถู ๆ ด้วยยาคลายกล้ามเนื้อ ก็เกิดความคิดว่า “แล้วเรามียาคลายความเครียด คลายการยึดติด คลายความกังวล คลายความโลภ คลายความดื้อร้น ความอวดเก่งบ้างไหม?” หากมียาคลายสิ่งเหล่านี้ได้คงจะดีไม่น้อย มีสิ่งเดียวที่เป็นโอสถที่จะคลายได้คือ จิตใจที่อ่อนน้อม จิตใจที่เอื้ออาทรและจิตใจที่พร้อมจะปรับปรุง ในโลกที่มุ่งเน้นความรวดเร็วเป็นหลัก ผู้คนพบเจอความเครียดเป็นประจำ “ความเครียด” คือ ภาวะทางอารมณ์และความรู้สึกที่อึดอัด ไม่สบายใจ กดดัน วิตกกังวล ไม่มีความสุข เพราะประสบกับปัญหาที่คิดไม่ตกหรือไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งส่งผลร้ายต่อร่างกาย จิตใจและอารมณ์ของคนเราเป็นอย่างมาก ในร่างกายของเราทุกสิ่งต่างประสานเป็นหนึ่งเดียว กายป่วยใจป่วย เครียดจากสมองจากความคิด จิตใจย่อมหดหู่ตาม การคลายความเครียดที่ได้ผลคือการรู้จักที่จะปล่อยวาง หยุดแบกภาระหนักอึ้ง สร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างกายกับใจ

ชายหนุ่มคนหนึ่งรู้สึกว่าชีวิตของตนน่าเบื่อหน่าย จึงขอพบพระอาจารย์เซ็นอู้จี้เพื่อขอคำชี้แนะว่าทำอย่างไรตนจึงจะมีความสุข พระอาจารย์ไม่กล่าวว่าอะไร ได้แต่หยิบตะกร้าไผ่ใบหนึ่ง นำชายหนุ่มมายังริมแม่น้ำเล็ก ๆ ลมเย็นโบกพัด พวกเขาเดินเลาะริมฝั่ง แล้วอยู่ ๆ พระอาจารย์อู๋จี้ก็บอกกับชายหนุ่มว่า 
“เจ้าเห็นก้อนหินที่อยู่ตามทางนั่นไหม นับจากนี้เมื่อเจ้าเดินก้าวหนึ่ง ก็จงหยิบขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วใส่ไว้ในตะกร้าไผ่ข้างหลัง ตกลงไหม"
ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่เข้าใจเจตนาของพระอาจารย์ แต่เมื่อเห็นก้อนหินรูปทรงประหลาดมากมายริมแม่น้ำ ก็พยักหน้าด้วยความยินดี พลางเดินหยิบก้อนหินไปพลาง ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้า ตะกร้าไผ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังก็หนักอึ้งเกินกว่าจะทำให้จิตใจเบิกบานในที่สุดเขาก็เดินไปจนสุดทาง พระอาจารย์ถามเขาว่า “รู้สึกอย่างไรบ้าง”
เขาส่ายหน้าอย่างจนใจ  “ตะกร้าหนักขึ้นเรื่อย ๆ แทบจะแบกไม่ไหวแล้ว !”
พระอาจารย์กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “รู้ไหม เหตุใดจึงไม่เป็นสุข เพราะเจ้าแบกสิ่งของเอาไว้มากเกินไป”
จากนั้นพระอาจารย์ก็หยิบก้อนหินในตะกร้าออกมาทีละก้อนพลางพูดว่า.. “ก้อนนี้คืออำนาจ ก้อนนี้คือเงินทอง ก้อนนี่คือหญิงงาม ก้อนนี้คือความกลัดกลุ้ม นี่คือความเหงา...”
เมื่อก้อนหินเหล่านั้นถูกโยนทิ้งไป ชายหนุ่มสะพายตะกร้าไผ่ขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกเบาโล่ง ทำให้เขาได้สติขึ้นในฉับพลัน แค่วางลง ก็เป็นสุขแล้ว ! ขอเพียงแค่ยอมวางลง ความสุขก็จะล้นปรี่อยู่ทุกวัน (นิทานเซ็น)

ภาพ :  อินเตอร์เน็ต

ปล่อยวางตำแหน่งหัวโขนที่ทำให้กลัดกลุ้ม แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันแสวงหา ยากนักที่จะมีใครปล่อยวางลงได้ และสิ่งหนึ่งที่มักผูกรั้งเอาไว้คือคิดว่าตนสำคัญที่สุด
ปล่อยวางการแพ้ชนะที่ชวนให้อ่อนล้า ในโลกนี้ความปราณีต่อกันคือความอ่อนด้อย ผู้ชนะมักจะเป็นที่ชื่นชม ยกย่อง แม้เพียงชั่วคราวแต่หลายคนก็ยินยอม 
ปล่อยวางความสูญเสียครั้งหนึ่งที่ทำให้หัวใจปวดร้าว ปล่อยวางความสัมพันธ์ที่นำพาแต่ความทุกข์ ปล่อยวางความเจ็บปวดที่ค้างคาใจ คนยุคนี้ความอดทนอดกั้นมีน้อยนัก อภัยต่อกันนั้นไม่มีวันเป็นได้ มีแต่แค้นเคือง แค้นฝังหุ่น โกรธไร้สติหากต้องสูญเสียผลประโยชน์
ปล่อยวางความทุกข์ เศร้า เหงา ตรม จะทำชีวิตให้กลับมาเรียบง่าย กลับมาสดใสอีกครั้งวางลง ก็คือความสุขแต่ก็นั่นแหละสิ่งที่มนุษย์โลกรู้แต่ทำไม่เคยได้ เมื่อเราปล่อยไม่ลง วางไม่ได้ ย่อมตกอยู่ในภาวะเครียด และภาวะอื่นก็จะแทรกซ้อนง่าย
สภาวะความเครียดเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในความเครียดแล้ว เราต้องรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง โดยการพยายามไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในความเครียดนานจนเกินไป เพราะความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีที่เหมือนฝุ่นละอองเล็ก ๆ ที่นำพาเชื้อโรคร้ายทำลายทั้งสุขภาพใจและสุขภาพกายของเรา เมื่อกายกระทบใจก็กระเทือน เราต้องย้ำเตือนตนให้รู้จักที่จะเลิกแบกภาระลงบ้าง แล้วหันมาหาพระ ทำใจให้อ่อนโยน ทำชีวิตเราให้มีความเมตตาแม้จะทำไม่ได้ดีในทีเดียวก็หมั่นทำบ่อย ๆ ใจคลายกายสบาย เราสุขโลกก็สันติ...

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

เมืองม่านหมอก


เมืองม่านหมอก
ด้วยว่าเกิดเป็นคนที่แพ้อากาศเป็นนิจ ชีวิตยามเช้า ๆ มักจะจามอยู่บ่อย ๆ ยิ่งเมื่อออกจากสถานที่ ที่มีความแตกต่างกันของอุณหภูมิด้วยแล้ว อาการฟึดฟัดคัดจมูกจะเกิดขึ้นทันที มีการรับรู้ของร่างกายและระบบหายใจเร็วกว่าคนอื่น และยิ่งเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมามีธุระเร่งด่วนที่จำเป็นต้องเดินทางมาแถวสีลม ในช่วงเวลาเลิกงาน ความหนาแน่นของรถบนถนนเต็มเหยียด ผู้คนเดินกันเนืองแน่น หลายคนสวมใส่หน้ากากอนามัย ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ากรุงเทพวันนี้มีฝุ่นละอองเล็ก ๆ ที่ลอยละล่องไม่ยอมจากเมืองหลวงไปไหนอยู่เต็มไปหมด แล้วร่างกายระบบอากาศก็ส่งสัญญาณมาทันทีเริ่มแสบจมูกและคันคอ โชคดีตรงที่ใช้เวลาไม่มากนักที่จะอยู่ในบริเวณนั้น


บรรยากาศในเมืองฟ้าอมรแห่งนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาดูขมุกขมัวเหลือเกิน อันเนื่องมาจากฝุ่นละอองที่เกินค่ามาตรฐานสากล แม้กระทั่งแสงแดดยังไม่สามารถสาดส่องทะลุเจ้าฝุ่นละอองเล็ก ๆ ลงมาได้ ข่าวการซื้อหน้ากากอนามัยรุ่นที่สามารถสกัดกรองละอองนี้ได้ก็หมดเกลี้ยงจากร้านขายในเวลาอันรวดเร็ว มีหลายเสียงเริ่มบ่นหาผู้ที่จะมาแก้ไขปัญหานี้ หลายคนเริ่มโยงไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตั้งสมมุติฐานตั้งตนเป็นสมมุติเทพว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตามมโนโซเชียลมีให้เห็นเต็มหน้าจอที่ออกมาจ้อกันอย่างมากมาย เราก็มักลืมไปว่าเราเองก็เป็นหนึ่งในการก่อมลพิษด้วยกันทั้งนั้น ต้องมีส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ด้วยการเริ่มต้นใส่ใจในการกระทำของเรา ให้รู้จักรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างบรรยากาศแห่งรักและนึกถึงผู้อื่นให้มากขึ้น เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันโดยมิยึดโยงเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เพราะจะเกิดจุดโน้มถ่วงขึ้นมาได้ สร้างอากาศบริสุทธิ์ด้วยหัวใจบริสุทธิ์ต่อกัน


ในทุกเมืองที่มีการพัฒนาล้วนประสบปัญหาเช่นนี้ด้วยกันทั้งนั้น ในเมืองเรามีการก่อสร้างเยอะแยะ เราใช้รถยนต์มากมายวิ่งไปมาบนท้องถนน เครื่องจักร โรงงาน แอร์ และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดฝุ่นเกิดมลภาวะพิษ ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาความกดอากาศที่ต่ำเป็นตัวขวางกั้นการเลื่อนลอยกระจายสลายไปสู่ด้านบนชั้นอากาศ ช่องระบายด้านข้างก็ถูกขนาบด้วยตึกสูง คอนโดมิเนี่ยม อีกเป็นจำนวนมาก ใช่หรือไม่ เราต่างก็ปรารถนาเห็นการพัฒนาเมืองให้เจริญ ในมุมหนึ่งเรากลับไม่ค่อยที่จะเรียนรู้ถึงเรื่องการควบคุมผลเสียจากการพัฒนานั้น เราต่างไม่ใส่ใจนำพาเพียงความสะดวกสบายของเราฝ่ายเดียว เมื่อถึงเวลาหนึ่งจังหวะหนึ่ง สิ่งแวดล้อมธรรมชาติก็จะให้บทเรียนแก่พวกเรา แล้วเมื่อนั้นแหละเราจึงจะร่วมกันหามาตรการเพื่อสร้างมาตรฐานขึ้นมา เพื่อปรับสมดุลระหว่างธรรมชาติกับผู้คน


ในปัญหานี้เราได้รับบทเรียนหลายอย่าง ใช่หรือเปล่า เราเคยได้ยินมาว่าในโลกนี้คนเรามักใส่หน้ากากเข้าหากัน ไร้ความจริงใจต่อกัน มาวันนี้เราจำเป็นต้องใส่หน้ากากคุยกัน เราจำต้องสวมหน้ากากปกปิดเพื่อให้ชีวิตปลอดภัยขึ้น บางทีข้อดีของการใส่หน้ากากก็คือการคัดกรองสิ่งที่ไม่ดีไม่งามออกจากชีวิตเราได้เช่นกัน ในทุกเรื่องจึงมีสองด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกที่จะนำมาเรียนรู้อย่างไร? ในความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกัน “หน้ากาก” ที่เป็นนามธรรมนั้นเราไม่ควรที่จะสวมใส่เข้าหากัน แต่เราควรที่จะใส่ใจกันอย่างจริงใจ ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อกัน ไม่โกหกหลอกลวง การคบหาสมาคมต้องเต็มไปด้วยหัวใจและความจริงที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน ที่จะนำไปสู่ความรักและการให้อภัยกัน ในโลกที่แข่งขันเราก็ไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับใครในทุกสนาม ในความเป็นจริงเราต้องสวมใส่หน้าของพระผู้ทรงธรรม พระผู้เป็นองค์แห่งความรักและความดีงามเพื่อกรองความเป็นมลพิษทางจิตวิญญาณ ที่บางสิ่งบางอย่างแม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ค่อย ๆ สะสมจนทำให้เกิดโรคร้ายภายในฝ่ายจิตวิญญาณได้ ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความโกรธ เกลียด สิ่งเหล่านี้หากเข้าไปในชีวิตเรามาก ๆ ไม่นาน เราก็จะกลายเป็นคนป่วยที่ไร้ความสุขในชีวิต
แล้วอะไรเล่าที่จะเป็นหน้ากากอนามัยคัดกรองสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ความเอื้ออาทร ความเมตตาและการรู้จักอภัยต่อกัน การอยู่ร่วมสังคมแบบพี่แบบน้อง ฟังกันบ้าง ยอมกันบ้าง ไม่ดื้อรั้น พยายามอย่าคิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายเก่งไปเสียทุกเรื่อง ลดความฝืดเคืองในใจต่อกันลงบ้าง ใช้หน้าจริงแห่งความรักเป็นสิ่งสกัดกั้นที่ดีที่สุด จิตใจที่อ่อนโยน จิตใจที่สงบสันติ จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณงามความดี นี่แหละจะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันที่จะไม่ให้เราเป็นโรคภูมิแพ้ต่อกลลวงของโลกนี้ได้ มลพิษฝุ่นละอองแก้ด้วยน้ำฟ้าน้ำฝน มลพิษทางจิตใจคนแก้ด้วยน้ำใจที่มีให้กัน อย่านิ่งดูดายและนั่งโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ สิ่งที่เราควรทำและต้องทำตลอดคือสร้างตัวตนของเราให้เป็นศิษย์พระคริสต์ออกมาให้เป็นรูปธรรมให้ได้ เพื่อทำให้เมืองนี้สดใส เป็นเมืองแมนแดนสวรรค์ แทนเมืองในม่านหมอก
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสไตร่ตรองและตั้งคำถามที่ท้าทายมาก ในสภาวะที่ภูมิอากาศของโลกผันแปรแบบเฉียบพลัน และระบบนิเวศผกผัน พระองค์จึงตั้งประเด็นว่า “โลกชนิดไหนกันที่พวกเราจะส่งมอบต่อให้กับผู้ที่จะตามมาภายหลัง ต่อลูกหลานที่กำลังเจริญเติบโต?” สมณสาส์น “ขอคำสรรเสริญจงมีแด่พระองค์” LAUDATOSII:ว่าด้วยการเอาใจใส่ดูแลบ้านส่วนรวมของเรา

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

ดอกงามยามร่วงหล่น


ดอกงามยามร่วงหล่น
ในวันข้ามปีคนดีจากลาโลกนี้ไปอีกหนึ่งท่าน ทันทีที่ตื่นมารับวันใหม่ของปีใหม่กับข่าวการจากไปของคุณพ่อที่เคารพรักยิ่ง คุณพ่อโรแบรต์ โกสเต ผู้ซึ่งเป็นมิชชันนารีที่พลีตนเดินทางมารับใช้ ประกาศข่าวดีด้วยการทำกิจการดี ๆ ให้กับชาวไทยทางภาคอิสานตลอดมา คุณพ่อผู้ที่ศึกษาบันทึกประวัติศาสตร์คาทอลิกไทยและลาวผ่านตัวอักษร คุณพ่อผู้ที่ทำให้มีหนังสือคำสอนที่มีคุณค่า สร้างความเข้าใจในพระวาจาและพระคัมภีร์ บัดนี้พ่อจากลาไปอย่างสงบและสง่ายิ่ง แม้กายจากไปแต่กิจการแห่งพระคริสต์ยังคงอยู่ กายโบยบินแต่อักษรคงเป็นนิรันดร์


ในเช้าวันนั้นจึงเป็นเช้าที่จิตใจมีสันติยิ่งนัก หลังจากมาร่วมพิธีมิสซารับพรปีใหม่ และได้สวดภาวนาให้แด่ดวงวิญญาณของคุณพ่อถึงจะห่างไกลกัน ความสัมพันธ์ในพระคริสต์จึงทำให้เกิดความใกล้ชิด และก่อนจะเดินทางกลับบ้านไปพักผ่อนได้เห็นต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ตรงลานจอดรถข้างวัดต้นหนึ่ง เด่นเป็นสง่าดอกสีม่วงแกลมชมพูกำลังร่วงหล่นลงบนพื้น จากพื้นคอนกรีตที่แข็งแกร่ง บัดนี้ดูงดงามอ่อนช้อยเพราะเต็มไปด้วยดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่ลงมานอนนิ่ง ความนิ่งนั้นทำให้เกิดความทรงจำงดงาม แม้สภาพภายนอกที่อีกไม่กี่ชั่วโมงดอกนั้นจะเปื่อยเน่าไปก็ตาม การเกิดและผลิดอกว่าสวยแล้ว ยามช่วงเวลากำลังลอยละล่องร่วงหล่นสู่พื้นนั้นงดงามยิ่งกว่า ใช่หรือไม่ หากในชีวิตจริงของเรา ในทุกวันเวลาต่างผลิดอกใบแห่งความดี ในวันที่เรากลับคืนสู่นิรันดร์นั้น จะเป็นช่วงเวลาที่ความดีของเราจะขจรขจายขยายไปทั่วในใจคน

และภาพนี้ได้ปรากฎชัดเจนขึ้นในวันที่มีพิธีปลงศพคุณพ่อ โรแบรต์ โกสเต แม้ว่าคุณพ่อจะเขียนพินัยกรรมให้จัดงานศพของคุณพ่ออย่างเรียบง่าย ดุจดังศพของผู้ยากไร้ แต่ความดีงามของคุณพ่อที่ได้ทำไว้ให้กับพระศาสนจักรคาทอลิกไทยและสังฆมณฑลอุบลราชธานีนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ผู้คนที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาที่เคยได้รับความเมตตาอาทร ที่เคยได้รับคำสั่งสอนจากคุณพ่อจะจัดให้มีพิธีแบบเรียบง่ายนั้นจึงเป็นเรื่องลำบากใจ แต่ทุกคนก็เข้าใจในความหมายของคำสั่งนั้นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนน้อม ความเกรงใจ ที่ไม่ปรารถนาให้ใครต้องมาวุ่นวายสาละวนเรื่องของท่าน ที่ไหนได้ทุกคนต่างยินดีที่จะร่วมกันทำให้งานครั้งสุดท้ายของท่านสำเร็จอย่างเรียบง่ายและเรียบร้อย
ในวันนั้น 7 มกราคม 2019 มีพระสังฆราชถึง 3 องค์ บรรดาพระสงฆ์นักบวชชายหญิง พี่น้องสัตบุรุษมาร่วมพิธีแน่นอาสนวิหารแม่พระนิรมล อุบลราชธานี ทุกคนรักคุณพ่อ มีการจัดขบวนแห่ไปยังสุสานที่สมเกียรติกับการอุทิศตนในฐานะมิชชันนารี ผู้ที่ต้องจากบ้านเกิดมาอยู่เมืองไทย และมอบทั้งชีวิตนี้เพื่อคนไทย ระหว่างพิธีมีหลายครั้งที่ทำให้ย้อนกลับไปมองดูชีวิตของตัวเอง ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย กระหายหาอยากได้ใคร่มี กิเลส โลภ หลง ยังมีมาอยู่เรื่อย ๆ โดยยังคงประมาทต่อวันเวลา ซึ่งไม่รู้ว่าวันไหนกัน ที่เราจะร่วงหล่นลงนอนราบบนพื้นดิน และดอกใบในหนทางชีวิตนั้นมีความงามให้ผู้คนได้เก็บชมหรือเปล่า!!! หรือเป็นแค่ดอกไม้ริมทางที่ร่วงหล่นเกลื่อนกลาดทั่วไป ยิ่งมองไปยังโลงที่คุณพ่อได้หลับพักผ่อนอยู่นั้น ยิ่งรับรู้ถึงความสงบ บางครั้งเราอยากสงบแต่กลับวุ่นวายกับการแสวงหาที่สงบ ด้วยใจที่ไม่เคยสงบ คำพูดหนึ่งของคุณพ่อในความทรงจำผุดขึ้น คุณพ่อมักพูดว่า นี่แหละมนุษย์ เหมือนกำลังบอกเราว่าให้รู้ถึงความอ่อนแอของตัวเราเสมอ


หลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรมในบ่ายวันนั้น จึงถือโอกาสมาที่บ้านพักของคุณพ่อ ที่บ้านสวนในบริเวณของอารามของคณะภคินีรักกางเขนแห่งอุบลราชธานี เห็นห้องทำงานของคุณพ่อที่บัดนี้ถูก ล็อคและมีคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายสิ่งของ หนังสือ มองเข้าไปข้างในห้องกระจกนั้น ยังเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ คงเป็นหนังสือที่คุณพ่ออ่านค้างคาอยู่ ตลอดชีวิตของคุณพ่อท่านคือนักอ่าน นักค้นคว้า นักเขียน คุณพ่อผู้มีสมองจดจำเรื่องราวได้จวบจนวาระสุดท้าย คุณพ่อเอ่ยกลับซิสเตอร์ผู้ดูแลว่า พ่อกำลังจะตายนะ และท่านก็จากลาโลกนี้เหมือนหลับไปตลอด นับจากบัดนั้น มานั่งอ่านหนังสือในบ้านพักหลังนี้ มานั่งเขียนความทรงจำ มานั่งทบทวนเรื่องราวที่เคยนั่งสนทนากับคุณพ่อ ไม่น่าเชื่อเลยว่า ห้องเล็ก ๆ ห้องนี้ ได้มีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่บังเกิดขึ้น ณ ตรงนี้  ที่นี่เงียบสงบ ต่างจากสังคมเมืองที่เราอาศัย แต่นั่นแหละ หัวใจต่างหากที่จะนำพาให้เราพบสันติความสงบที่แท้จริง ต่อให้ทุกสิ่งเคลื่อนไหว สับสนอลหม่าน วิหารแห่งใจยังดูสง่างามสงบตระการได้เสมอ แล้วเราก็กลับมาสู่ชีวิตที่ยิ่งต้องพยายามทำดีต่อไป เพื่อให้ความงามยังคงอยู่คู่โลกนี้ตลอดไป


“ให้เราโมทนาคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ประทานให้แก่เราตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่เราบางครั้งได้รับโดยไม่รู้ตัวและขอโทษพระองค์ที่ใช้เวลาของพระองค์โดยไม่ได้เกิดประโยชน์ทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามในความผิดบกพร่องและทำตามความอ่อนแอของเรา ให้เราเริ่มชีวิตใหม่ปีนี้ในการช่วยเหลือผู้อื่นเสมอไป ไม่เห็นแก่ตัว เปลี่ยนแปลงตัวเองในวันปีใหม่นี้ให้ดีกว่าเดิม” (บทเทศน์ของคุณพ่อโรแบรต์ โกสเต วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม 2018 บันทึกโดยสมาชิกบ้านนวกสถาน คณะภคินีรักกางเขน แห่ง อุบลฯ)


วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2562

ให้เห็นเป็นประจักษ์


ให้เห็นเป็นประจักษ์
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณวัดเซนต์หลุยส์ที่ได้มอบโอกาสดี ๆ ให้ได้ขีดเขียนบทความลงสารวัดเป็นประจำ เหลียวหลังไปมองผ่านมาร่วม ๆ 20 ปีเข้าไปแล้ว ขอบคุณผู้อ่านผู้ติดตามทุก ๆ ท่าน ขอบคุณที่ให้มีพื้นที่ได้แบ่งปันความคิด ทัศนคติ ผ่านตัวอักษร แม้ว่าบางเรื่องบางบทอาจจะเขียนไปด้วยความรู้สึกส่วนตัวบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกบทความล้วนมาจากความตั้งใจที่จะแบ่งปัน ที่จะช่วยให้ผู้อ่านผู้ติดตามได้แง่คิด สะกิดให้ช่วยกันสร้างความดีงาม และสำคัญสุดทุกสิ่งที่ขีดเขียนเหมือนได้สอนตัวเอง เตือนตนว่าต้องพยายามทำในสิ่งที่เขียนไว้ให้ได้ด้วย แม้จะไม่มีใครเห็นแต่เราเห็น รู้ด้วยตัวเอง และแน่นอนพระเจ้าย่อมรับรู้ทุกสิ่งที่เราทำเสมอด้วยเช่นกัน...



และแล้ววันหยุดพักผ่อนช่วงรอยต่อปีก็ผ่านพ้นไป เริ่มต้นสู่ปีใหม่กับภารกิจเดิม ๆ เพิ่มเติมด้วยข้อตั้งใจใหม่เพื่อให้ชีวิตดีขึ้น อะไรที่ตั้งมั่นตั้งเป้าหมายไว้อย่าได้ลืมเลือนเตือนตนบ่อย ๆ อย่าได้คล้อยไปกับนิสัยประจำ ยิ่งหากเรามีความรู้สึกว่านับวันเรายิ่งเห็นวันเวลาผ่านไปเร็ว และรู้สึกเฉย ๆ กับทุกช่วงเทศกาล เรายิ่งต้องตระหนักว่า เวลาเราก็ลดน้อยลงไปทุกที ๆ ต้องรู้จักที่จะทำตัวให้อ่อนน้อมยอมรับต่อสิ่งรอบ ๆ ตัว อย่าพยายามหาเหตุและผลแอบอ้างเข้าข้างตัวเองให้มากนัก ฟังคนอื่น รับคำเตือน นิ่งและพิจารณาความเหมาะความควร เพื่อให้ชีวิตที่เหลือน้อยลงมีคุณค่าคู่ควรให้ผู้คนได้จดจำ ทำความดีเพื่อส่วนรวม เคารพต่อทุกสิ่งสร้าง เราจะได้ไม่เป็นผู้อ้างว้างในวันข้างหน้า 
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาความสุขเล็ก ๆ ได้บังเกิดขึ้นในครอบครัว ที่เราต่างมีวันเวลาร่วมกัน ได้ทำกิจกรรมหลายสิ่งหลายอย่าง ร่วมเดินทาง ร่วมพักผ่อน ร่วมสร้างเสียงหัวเราะ ร่วมกันรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าประทับใจในวันวาน ในยุคสมัยที่เราต่างแยกย้ายไปทำมาหากิน สร้างถิ่นสร้างฐานในที่ใหม่ ๆ จะมีสักกี่ครั้งกันเชียวที่ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หรือบางทีเราก็รู้สึกว่าการอยู่ด้วยกันนานเกินไปก็น่าเบื่อหน่าย ไม่รู้จะพูดจะคุยอะไรกัน เราจึงต้องมีเวลาเดินทางไปเปลี่ยนสถานที่ ทำอะไรใหม่ ๆ ด้วยกันบ้าง จะได้มีเรื่องใหม่ ๆ คุยกัน แบ่งปันกันอีกสักเดือนสองเดือน 



ความสุขที่เรามีนั้นยังได้รับการถ่ายทอดให้กับคนอื่นได้รับรู้ และเช่นเดียวกันเราก็ได้รับรู้และชื่นชมกับหลายครอบครัวที่มีความสุขสนุกสนานด้วยกันผ่านช่วงวันเวลานี้ ในด้านหนึ่งเราต่างก็เป็นบทเรียนบทสอนเป็นประจักษ์พยานให้เห็นถึงความรัก ความเอื้ออาทรต่อกันตามแบบฉบับสังคมไทย ที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก ๆ และวัฒนธรรมเช่นนี้เราต้องร่วมกันเสริมสร้างให้คงอยู่ต่อไป การเอาใจใส่กันต่อทุกคนในครอบครัว ต่อญาติพี่น้อง จะช่วยให้เรามีชีวิตรอดพ้นจากความเปลี่ยนแปลงวันข้างหน้า อย่าละเลยต่อกันในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ รับฟังรับคำเตือนด้วยใจสุภาพ เพราะพ่อแม่พี่น้องย่อมหวังดีต่อเราเสมอ หากเรามีบุคลิกแบบนี้เราจะตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท รู้รับฟัง รู้รับมาพิจารณาและไตร่ตรอง แล้วทุกคนจะเห็นความดีงามของเราโดยไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศหรือโอ้อวดให้โลกรู้
มีแม่ทัพผู้หนึ่งรีบเร่งเดินทางจะไปทำศึกที่เมืองหลวง แต่หนทางไกลมาก ยังไปไม่ถึงไหนก็มืดค่ำลงจึงต้องหยุดพักค้างคืนที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เมื่อได้ห้องพักแล้ว    แม่ทัพคนนั้นก็เข้านอนพักผ่อน ปล่อยให้เจ้าของโรงเตี๊ยมดูแลม้า หาหญ้า หาน้ำให้กิน  แล้วก็ให้จูงม้าไปพักยังคอกม้าของโรงเตี๊ยม
ระหว่างนั้น   เจ้าของโรงเตี๊ยมสังเกตเห็นม้าเดินขากะเผลกอยู่ข้างหนึ่ง จึงยกเท้าม้าขึ้นมาดูเห็นตะปูเกือกม้าหลุดหายไปหนึ่งตัว ทำให้เกือกม้ารูปตัวยูติดไม่สนิทกับเท้าของม้า    หากไม่เสริมตะปูแทนตัวที่หลุดหายไป  เกือกม้าข้างนั้นอาจเสียหลักล้ม เจ้าของม้าที่ขี่อยู่บนหลังม้าก็จะได้รับอันตรายได้
เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าของโรงเตี๊ยมจึงบอกเรื่องให้แก่แม่ทัพผู้นั้นทราบ แต่แม่ทัพไม่ใส่ใจ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแค่ตะปูเพียงตัวเดียวเท่านั้นเองที่หลุดไป    ยังมีอีกหลายตัวที่ยังอยู่ และหากมัวแต่ซ่อมแซม ก็จะทำให้เสียเวลาไปไม่ทันการณ์    จึงกระโดดขึ้นหลังม้าและรีบเร่งเดินทางต่อไป
เมื่อถึงเมืองหลวง  ก็ได้รับคำสั่งให้ออกรบทันที แม่ทัพผู้นี้มีฝีมือในการรบ  สามารถที่จะรุกไล่แม่ทัพฝ่ายข้าศึกจนเสียที และรีบชักม้าจะหนีเข้าค่ายตนเองแม่ทัพเห็นดังนั้นก็ได้ที จึงเร่งควบม้าตามไปติด ๆ หวังจะจับตัวให้ได้ แต่การเร่งฝีเท้าม้าอย่างเต็มที่ ทำให้ตะปูเกือกม้าตัวอื่นๆ ขยับออกและเกือกม้าข้างนั้นก็หลุดกระเด็นไปในที่สุด ม้าที่ควบมาก็เสียหลักล้มลง   แม่ทัพกระเด็นตกจากหลังม้าจนขาหัก   และสุดท้ายก็ถูกแม่ทัพของฝ่ายตรงข้ามจับตัวไปได้และในตอนนั้นเอง แม่ทัพจึงนึกถึงคำเตือนของเจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วรำพึงกับตนเองว่า “เราเป็นแม่ทัพที่พ่ายแพ้แก่ศัตรูเพราะตะปูเพียงตัวเดียวแท้ ๆ ” (เรื่องเล่าจาก #เรื่องดี ๆ มีข้อคิด



            ในวันที่เราต่างก็แข็งแกร่งทางข้อมูลข่าวสาร จนกลายเป็นความเก่งกร้าว ต่างไม่ยอมรับต่อความคิดของคนอื่น อันตรายจึงเกิดขึ้น ต่อให้เก่งสักเพียงใดถ้าไม่ฟังใครก็ต้องพบจุดจบแบบแม่ทัพคนนี้ ใช่หรือไม่ บางทีการเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญที่สุดหยุดอยู่ตรงความอ่อนน้อม ที่รับฟังทุกความคิดเห็น แล้วนำไปประยุกต์ใช้ ความคิดเห็นของคนใกล้ชิดมีค่าเสมอโปรดอย่าได้ละเลย แม้ว่าเขาอาจจะเป็นแค่ลูกแค่หลาน แค่เด็กเมื่อวานซืน