วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561

ยิ้มเปลี่ยนโลก


ยิ้มเปลี่ยนโลก
ในวันที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเข้ามาทำงานแทนผู้คน มีเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว มีการสัญจรเดินทางได้อย่างง่ายดาย แต่กลับมีอีกหลายล้านคนยังไม่สามารถที่จะหลุดพ้นกับดักแห่งทุกข์ยากได้ ยังมีหลายคนไม่สามารถค้นพบความสุขตามที่ใฝ่ฝันได้ เพราะอะไรเล่า??? นี่เป็นโจทย์ที่ต้องทำการบ้านเพื่อจะได้นำไปแบ่งปันให้กับเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนแห่งหนึ่งประมาณ 50 คน ที่ต่างคนต่างทำงานตามหน้าที่ของตนเอง ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ค่อยได้มีเวลามานั่งสนทนาแบบสบาย ๆ ไร้กังวลด้วยกัน จึงได้คิดกิจกรรม เนื้อหา เพื่อให้ทุกคนได้รับอะไรกลับไปใช้ในชีวิตได้บ้าง โดยเลือกใช้หัวข้อ รู้คุณค่า เพิ่มความสุข


แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่เตรียมไป ต้องปรับแผนรับกับความหลากหลายของอายุของผู้ร่วมกิจกรรม ต้องไม่ซับซ้อนเกินไป ต้องใช้ภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้ และสำคัญที่สุด ต้องเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขาให้ได้เสียก่อน จากการเริ่มต้นกิจกรรมจากง่าย ๆ ไปสู่กิจกรรมการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันหลายกิจกรรมทำสำเร็จในครั้งเดียว นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดความประหลาดใจไม่ใช่น้อย อาจจะเป็นเพราะความซื่อสัตย์ซื่อตรงไม่คิดคดโกง ตั้งใจทำ มุ่งมั่นและร่วมมือร่วมใจอย่างจริงจัง ไม่มีอคติหรือทัศนคติเชิงลบ ทั้ง ๆ ที่กิจกรรมเหล่านี้เคยทำให้กับกลุ่มอื่นที่อาจจะดูมีความรู้ที่สูงกว่านี้ แต่กว่าจะบรรลุความสำเร็จต้องใช้เวลานานและต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นหมายความว่าบางทีความรู้ที่แต่ละคนมีมันกลายเป็นอุปสรรค กลายเป็นอคติ กลายเป็นความโอ้อวดและไม่ยอมกัน จึงเป็นกำแพงขวางกั้นความรักความสามัคคีของผู้คนไป


เมื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เริ่มมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะร่วมกัน มีความสำเร็จร่วมกัน โลกดูสดใสขึ้น ใช่หรือไม่ นี่คือคุณค่าที่แท้จริงแห่งความสุข และนี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไปแบ่งปันและได้รับสิ่งที่ดีงามกลับมา ทำให้หัวใจสดชื่นขึ้น ทำให้เห็นว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงง่ายนิดเดียว เพียงแค่ยิ้มโลกที่ว่าร้าย ๆ กลับกลายเป็นสวยงามและน่าอยู่ยิ่งขึ้น มันต่างจากโลกที่ต้องพึ่งแต่เทคโนโลยี ต้องอาศัยความก้าวหน้าทางการสื่อสารที่มักพบเจอแต่เรื่องร้าย ๆ โลกแคบลง ๆ และไม่น่าอภิรมย์ขึ้นในทุกวัน กลายเป็นสิ่งปลอมปนวนเวียนอยู่ในทุกเวลา ที่หาความจริงใจและซื่อตรงไม่ได้ ไร้หัวจิตหัวใจในการอยู่ร่วมกัน ไร้รอยยิ้มที่ส่งผ่านให้กัน วัน ๆ มุ่งแต่เรื่องส่วนตัว หาความสำเร็จสำราญใส่ตัวเองเพียงอย่างเดียว สิ่งรอบข้างหาได้ใยดี มีชีวิตเพียงเพื่อตัวรอดคือสุดยอดปรารถนา เฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมือง ที่เรืองรองเพียงเปลือก และตกในกระแสแห่งตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ค่อยฟังกัน โกงได้โกง เล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าได้ก็เอา รอยยิ้มจึงไม่มี ต่างคนต่างระแวงกัน ต่างคนต่างอิจฉา ชิงดีชิงเด่นกัน ไม่ได้ทำหน้าที่ด้วยหัวใจรัก ไม่ได้มีจิตอาสาด้วยใจซื่อ ไม่ได้ช่วยเหลือส่วนรวมด้วยความจริงใจ ใบหน้าของผู้คนจึงหม่นหมอง คร่ำเครียด โรคซึมเศร้าระบาด นี่ใช่ไหมสังคมที่เรากำลังเป็นอยู่ 


ยิ่งในวันที่ทำกิจกรรมกันที่ชายหาด ทุกคนร่วมเล่นกันอย่างสนุกสนาน ให้ทำอะไรทำหมดหัวใจเด็กคืนกลับมา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เรียกร้องให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต้องหยุดมอง หยุดเชียร์ตบมือให้กำลังใจ พวกเขาต่างก็มีรอยยิ้มกลับไป ด้วยเพราะความเบิกบานที่เห็นชายหาดแห่งนี้ ยิ้มหนึ่งส่งต่อเป็นสอง สาม สี่ ห้า และไปเรื่อย ๆ นี่เป็นห่วงโซ่แห่งความสุขที่หาที่ไหนไม่ได้ เงินทองเท่าไหร่ก็มิอาจจะมาซื้อขายกันได้ ความสุขแบบนี้สามารถสร้างได้ในทุกที่ เพียงแค่ยิ้มให้กัน โลกตรงหน้าเราก็เปลี่ยน 


และด้วยความบังเอิญในขณะที่กำลังจะเขียนเรื่องรอยยิ้ม ก็พบเรื่อง ๆ หนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นแถวสยามเป็นอย่างมาก นั่นคือ ดอกไม้หน้ายิ้ม Murakami flower ที่มีขายในราคาหลักพันกันเลยทีเดียว (อ้าว รอยยิ้มซื้อขายกันได้ด้วยเหรอ) หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม แค่เจ้าดอกไม้สีรุ้งหน้ายิ้มแฉ่ง ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ทำไมมันขายแพงมาก ตามข้อมูล ล่าสุด (24 กันยายน 2561) ซึ่งเจ้าดอกไม้ Murakami นั้น ออกแบบโดย ทาคาชิ มุราคามิ (Takashi Murakami) ชาวญี่ปุ่นนามสกุลของเขาก็คือชื่อเดียวกับเจ้าดอกไม้นั่นเอง ทาคาชิ มุราคามิ เคยกล่าวกับสำนักข่าว BBC ระบุว่า พวกเราชาวญี่ปุ่นเป็นชาติเดียวที่ประสบกับเหตุการณ์จริง ที่แสงแฟลชระเบิดปรมาณูทำให้ทุกอย่างหายไปในชั่วพริบตา สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น มีพลังมากกว่าพระเจ้า เจ้าดอกไม้สีรุ้งยิ้มแฉ่งนี้ ก็เหมือนกับความรู้สึกในอดีต ความห่วงใย เหมือนกับว่า โอเค ! เรายอมแพ้ ! (ข้อมูล kapook.com) 
ยิ้มแบบดอกไม้ยิ้มนี้เป็นเพียงยิ้มตามค่านิยมตามกระแส ยิ้มที่มีการค้าขายแฝงอยู่ เป็นการเอารอยยิ้มบนคราบน้ำตามาสร้างมูลค่า แต่คุณค่าที่แท้จริงนั้นหายไปเพราะจะมีสักกี่คนที่ระลึกถึงความทุกข์ยากจากสงครามครั้งนั้น ใช่หรือไม่ ถ้าติดรอยยิ้มนี้แล้วไม่ยิ้มจะมีประโยชน์อันใดเล่า สู้เราติดรอยยิ้มบนใบหน้าเราไว้ เราก็จะได้รับรอยยิ้มกลับมา เป็นการเพิ่มความสุขให้คนอื่นได้ด้วยรอยยิ้ม ยิ้มให้คนอื่นได้โดยไม่ต้องรอให้ใครยิ้มให้ก่อน แล้วจะพบว่า รอยยิ้มเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่พิเศษจริง ๆ เพราะรอยยิ้มช่วยให้โลกนี้มีความสุข


วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

นั่งตรงไหน!!!


นั่งตรงไหน!!!
บ่าย ๆ ของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีนัดกับหลานสาวผู้หลงใหลในศิลปะการแสดงละครเวที และด้วยความกะทันหัน บัตรที่นั่งในการแสดงรอบสุดท้ายเกือบเต็มทุกที่ ครั้งนี้เราจึงได้ที่นั่งบนชั้นสอง เป็นชั้นลอยของโรงละครรัชดาลัย นี่เป็นครั้งแรกที่มานั่งดูในชั้นบน สองถึงสามครั้งที่ผ่านมาจะวนเวียนอยู่ชั้นล่าง ตรงกลาง ๆ บ้าง ตรงด้านหน้าใกล้ ๆ เวทีบ้าง ก็จะมีความแตกต่างกันไป นั่งด้านที่ชิดเวทีหน่อยเราก็เห็นหน้านักแสดงได้ชัดเจน เห็นอารมณ์ เห็นแววตา นั่งตรงกลาง ๆ ก็จะเห็นได้ครอบคลุมทั้งเวที แต่เมื่อนั่งด้านบน เป็นมุมสูง มุมกด จะเห็นภาพรวมทั้งหมด เห็นทุกการเคลื่อนไหว เห็นแม้กระทั่งอาการของผู้ชม จริง ๆ แล้วเราแต่ละคนก็มักจะติดกับที่นั่งที่เราคุ้นชิน แม้แต่เข้าโรงภาพยนตร์ เราก็จะเลือกนั่งแถวที่เราคิดว่า สบายสายตาเราดูได้สะดวกที่สุด สบายร่างกาย ไม่ถูกบัง ก็มักจะเลือกในที่นั่งในแถวนั้น


ในชีวิตจริงของเราแต่ละคนย่อมมีที่นั่งประจำที่ ประจำทาง เป็นความคุ้นชิน อย่างเช่นเวลามาเข้าวัด เราก็จะเลือกนั่งในบริเวณเดิม ๆ เมื่อใดที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ปรับที่นั่ง หรือมาแล้วที่นั่งเต็ม ก็จะรู้สึกถึงความไม่คุ้นเคย นั่งไม่สบาย มุมไม่ได้ เสียงไม่ชัดเจน อารมณ์แบบนี้ย่อมเคยเกิดกับเราทุกคน เราล้วนมีที่นั่งเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น เราล้วนมีความคุ้นเคยและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เรามักยึดติดในสิ่งเดิม ๆ ที่เราทำ เราเป็น และไม่อยากให้ใครเข้ามาล่วงล้ำ แต่ก็อีกนั่นแหละ ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ ยิ่งในสภาพสังคมโลกที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนกันแทบทุกนาที เราก็ต้องพร้อมที่จะปรับตัว แม้ว่าเราจะคงยึดมั่นในสิ่งเดิม ๆ สิ่งภายนอกพร้อมปรับเปลี่ยนอย่ายึดติด ขอเพียงมีชีวิตภายในที่ชิดสนิทและมั่นคง เราก็สามารถอยู่ท่ามกลางกระแสที่ไหลเปลี่ยนอย่างแข็งแรงไม่โน้มเอียงไปมา
ยุคแห่งการพลัดเปลี่ยนมีมาให้เห็นทุกวัน เช่นเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาสนามม้านางเลิ้ง ที่มีอายุถึง 102 ปี ก็จำต้องปิดตัวลง ทำให้มีคนไปดูการแข่งม้าครั้งสุดท้ายเป็นจำนวนมาก เห็นข่าวนี้ทำให้ย้อนคิดถึงวันเก่า ๆ ถนนสายเดิม ๆ หน้าสนามนั้น เคยใช้เป็นเส้นทางมาทำงานอยู่ทุกวันเป็นเวลาหลายปี ในตอนที่ได้ทำงานใหม่ ๆ ได้เคยอาศัยบ้านเช่าอยู่แถวศรีย่าน สามเสน ต้องนั่งรถเมล์ผ่านสนามม้าแห่งนี้ ยิ่งวันอาทิตย์ไหนที่ต้องมาทำงานพิเศษ ถนนนี้จะคึกคักไปด้วยผู้คน มีรถมอเตอร์ไซด์จอดเรียงรายยิ่งกว่าร้านขายรถเสียอีก วันเวลาผ่านไป ย้ายที่ทำงาน ย้ายที่พัก สิ่งคุ้นชินค่อย ๆ จางหายลง รถเมล์ที่นั่งสายประจำแทบไม่เคยได้ขึ้นอีกเลย มาเห็นข่าวอีกที สนามม้านี้ปิดลงเสียแล้ว แน่นอนไม่มีอะไรคงที่คงทนบนหนทางของโลกใบนี้


สรรพสิ่งเคลื่อนไหวเคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลา ตลาดปลาซึกิจิ ตลาดขายอาหารทะเลสดชื่อดังในโตเกียว ของประเทศญี่ปุ่น ก็ประกาศปิดตัวและย้ายสถานที่ไปเปิดใหม่ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อทุบตลาดนี้ทิ้งทำเป็นลานจอดรถรองรับกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 หลายคนบ่นว่าเสียดาย นี่เป็นแลนด์มาร์คแห่งหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยว ตลาดแห่งนี้ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ เพราะสร้างมาตั้งแต่ปี 1935 พ่อค้าแม่ขายก็มักชินกับแผงเดิม ๆ จะให้ย้ายไป วิถีชีวิตก็ต้องปรับต้องเปลี่ยนกันใหม่ แต่เพื่อให้เกิดระบบระเบียบแม้จะเสียดายวัฒนธรรมเก่าก่อนก็จำต้องน้อมรับต่อการเปลี่ยนไป
ข้ามมาฝากฝั่งยุโรป บริษัทโฟล์คสวาเกน ประกาศเลิกผลิตรถเต่า รถยนต์รุ่นบีตเทิล หลังจากมีการนำมาใช้ถึง 3 ชั่วอายุคน และกลายเป็นรถยนต์รุ่นที่คลาสสิกที่สุดที่คนทั่วโลกชื่นชอบ รถเต่ารุ่นแรกเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อปี 1938 มาช่วงหลัง ๆ ยอดขายลดลงไปมาก เรียกว่าแทบขายไม่ได้เลย เพราะมีรถยนต์เอสยูวีรุ่นใหม่เกิดขึ้นและกำลังได้รับความนิยม ได้ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือตัวอย่างของสิ่งเก่า ที่ถูกสิ่งใหม่มาแทนที่ ไม่มีสิ่งใดคงทนคงที่ มีแต่ความดีงามนั่นแหละจะเป็นนิรันดร์คู่กับความเปลี่ยนแปลง


ไม่ว่าเราจะนั่งตรงไหนที่ใด สักวันเราก็ต้องย้ายโยกเปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง หากแต่ที่นั่งที่จะคงอยู่ตลอดไปได้นั้น คือ การได้เข้าไปนั่งอยู่ในใจผู้คน ไม่ใช่การไปนั่งทับศีรษะใคร การนั่งในใจคนให้ได้นานนั้นเป็นเรื่องไม่ยากที่จะทำ แต่ยากตรงที่เราต้องยอมละตัวตนเลิกอวดดีอวดเก่ง และสุภาพ เสียสละ รู้จักรับใช้ เราอยู่ในยุคที่ทุกการเปลี่ยนแปลงจะต้องมีการแข่งขัน และตกอยู่ในกระแสที่ยึดตัวตนเป็นที่ตั้งจึงเกิดการช่วงชิงพื้นที่ครอบครอง แต่พื้นที่นั้นหาใช่พื้นที่ภายในใจคน เป็นพื้นที่เพื่อความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ ทางด้านชื่อเสียงเสียเป็นส่วนใหญ่ หากคนที่ขึ้นมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงล้วนแต่ไม่ใยดีต่อทุกผู้คน แทนที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งดีกว่าอาจจะกลายเป็นการเดินหน้าไปสู่ห้วงเหวลึกก็เป็นไปได้ เราจะนั่งตรงไหน เราจะเป็นใครใหญ่โต ต่ำต้อยเพียงใด ไม่ใช่เรื่องสำคัญ อยู่ที่หัวใจและชีวิตภายในของเรามั่นคงแล้วหรือยัง???


ถ้าผู้ใดปรารถนาจะเป็นผู้นำก็ต้องปฏิบัติตนเป็นผู้รับใช้ทุกผู้คนทุกระดับด้วยหัวใจที่เป็นเช่นเด็กเล็กๆที่มีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์ ประพฤติตนให้เป็นที่ยอมรับและนั่งอยู่ในหัวใจผู้คนให้ได้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้บอกเราไว้เป็นแนวทาง เพื่อให้เราสามารถปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกยุคทุกสมัย

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

เราล้วนต่างที่มาที่ไป


เราล้วนต่างที่มาที่ไป
            ในเส้นทางระหว่างเดินทางไปทำธุระแถวจังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านลำตะคอง ตรงเกาะกลางถนนเคยมีตอม่อที่กำลังสร้างเป็นฐานเสาใหญ่รองรับทางลอยฟ้า วันนี้หลายช่วงถนนเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ถนนถูกวางบนฐานใหญ่ กลายเป็นถนนลอยฟ้าที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตการสัญจรให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เมื่อมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็คิดถึงว่า ก่อนการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งย่อมต้องมีสาเหตุที่ไปที่มา การสร้างถนนลอยฟ้านี้ก็เพื่อให้การสัญจรสะดวกรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าเทศกาลหรือช่วงวันหยุดยาว เพื่อให้การเดินทางและการขนส่งมีความคล่องตัว และเพื่ออะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่จะนำไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว


ในวันที่เรากำลังเผชิญอยู่กับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ จึงเกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่หลายคนบนโลกกำลังก้าวไปสู่จุดนั้น นั่นคือ การอยากมี “ตัวตน” ซึ่งทำได้อย่างง่ายบนกระแสภิวัฒน์ดิจิทัลเช่นนี้ ขณะเดียวกัน เราก็เห็นหลายคนพลาดท่า พลาดพลั้ง เพราะการแสดงตัวตนที่เกินเลย สนองความอยากเด่นอยากดัง เลยพังไม่เป็นท่า แม้แต่เราเองก็ถูกกระแสการมีตัวตนเล่นงานทางอ้อมแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระแสแบบนี้ยิ่งทำให้ผู้คนเกิดความทะนงในตัวตนจนไม่ได้มองถึงความแตกต่างของสรรพสิ่ง อยากทำอะไรก็ทำ คิดอย่างไรทำอย่างนั้น ข้ามขั้นข้ามตอน และขาดความเคารพในความคิดเก่าก่อน ขาดความเคารพในความต่างของคนอื่น หลายครั้งในชีวิตเรา ใช่หรือไม่ การกระทำของเราอาจจะไปทำให้คนอื่นหมดพลัง หมดกำลังใจในการสร้างสรรค์ความดีความงาม เพราะเราเอาแต่ตัวตนของเราไปสวมใส่คนอื่น โดยมิได้ศึกษาและเคารพความเป็นมาเป็นไปของคนคนนั้น โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และแปลกใหม่ ทันยุคทันกระแส ไร้เหลียวแลเหตุผลของสิ่งที่มีมาก่อน
ในหลายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนโลกย่อมมาจากการต่อยอดจากสิ่งเดิม เพิ่มเติมด้วยความเคารพให้เกียรติกับผู้ก่อเริ่มสร้างร่างแรก นี่จึงขึ้นชื่อว่าเป็นการพัฒนาสู่ความเจริญที่แท้จริง ไม่เหมือนกับวันนี้ที่เราไม่ค่อยที่จะให้เกียรติกัน เรามักที่จะคิดเอาเองว่าสิ่งที่เราทำนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว บางครั้งบางอย่างอาจจะดีในมุมหนึ่ง แต่อาจจะไม่ได้ดีเท่ากับของเดิม เพราะไร้การศึกษาที่มาที่ไปอย่างถ่องแท้ ในความอยากมีตัวตนคนเบื้องหลังที่ทำงานปิดทองหลังพระจึงจมหายไปจากสังคม
เพราะเราต่างช่วงชิงเพื่อให้คนที่ได้รับเชิดชูมากกว่าทำเพื่อความสุขใจ ทำเพื่อยกถวายขึ้นมอบแด่พระเจ้า การใช้การตลาดสร้างตัวตน มันไม่คงทนเท่ากับใช้ความดีกระทำให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ 
ในยุคแห่งความอันตรายที่ทำร้ายจิตวิญญาณ ด้วยการนำความดีเพียงเพื่อชักจูงให้คนเดินตามแถวทางที่เราคิดไว้เพียงอย่างเดียว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราควรกระทำ ใช่หรือไม่ มนุษย์เราเกิดมาล้วนมีความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านกายภาพ จิตใจ ฐานะทางสังคม ความคิด ทัศนคติและจริตวิสัยในการดำเนินชีวิต มีความต่างทางด้านข้อมูล ซึ่งวันนี้ใครมีข้อมูลมากจะเป็นผู้มีอิทธิพลสูง เราจึงมักอ้างว่าข้อมูลเราดีสุด เจ๋งสุด ทั้งหลายทั้งปวง ทุกความแตกต่างล้วนมีที่มาที่ไป ถึงแม้เราจะมีความแตกต่างที่ติดตัวเรามาตั้งแต่กำเนิด แต่เราสามารถสร้างความแตกต่างทางความคิด ฐานะ จิตใจได้ เมื่อเราเติบโตขึ้น ในถนนรถหลายคันวิ่งร่วมทางในระยะหนึ่งแล้วก็แซงหน้าขึ้นไป บางครั้งก็ถูกแซงให้อยู่ด้านหลัง หรือไม่ก็แยกไปอีกทางหนึ่ง เป้าหมายในชีวิตแต่ละคนก็เช่นกัน ย่อมแตกต่างกันออกไป บางครั้งอาจจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่ทางเดินหรือวิธีการไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ย่อมแตกต่างกัน แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน

ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถแยกประเภทความแตกต่างมนุษย์ได้ทั้งหมด รู้แค่ว่า คนนี้น่าจะเป็นแบบนี้ จากทัศนคติของเรา  บางครั้ง เราไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ที่มาที่ไป แม้แต่ตัวของเราบางครั้ง ก็แสดงออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัว พระเจ้าสร้างความแตกต่างขึ้นมา เพื่อให้โลกมีพัฒนาการ แต่เราก็มักคิดจะครอบครองโลกไว้เพียงคนเดียว ด้วยการพยายามแสดงตัวตนให้ดูโดดเด่น โลกเราจึงมีพัฒนาการที่ไร้จิตวิญญาณมากขึ้น
ในความหมายคุณค่าทางจิตวิญญาณนั้นมาจากการยอมรับตัวตนของเราด้วยความสุภาพยอมรับคนอื่นด้วยความเคารพ และมีทัศนคติที่ดีต่อความคิดเห็นของคนอื่น มองให้เห็นลึกลงไปว่า หากเป็นเราจะทำเช่นไร ทำได้ดีเท่าเขาหรือไม่ เมื่ออยู่ในสภาวการณ์เช่นนั้น ทุกกรณีของผู้คน ย่อมล้วนมีที่มาที่ไป คนพูดง่ายกว่าคนทำเสมอ คนวิจารณ์ย่อมไร้จินตนาการในความงาม เราจึงควรมองข้ามความพยายาม ความศรัทธาของคนอื่นในทุกการกระทำ ความอ่อนน้อมกลายเป็นสิ่งที่โลกกำลังหลงลืม ความสุภาพยอมรับความแตกต่างกลายเป็นความช่วงชิงที่ยืน เพื่อชูคอให้สูงกว่าคนอื่น และที่สุดเรากำลังลืมสิ่งที่พระวาจาสั่งสอนเราอย่างน่าเสียดาย “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง” คำถามชวนคิดวันนี้ เรามีสำนึกตนเองมากกว่าการต้องการมีตัวตนใช่หรือไม่..สำนึกตัวเองแบบง่ายที่สุด คือ หยุดคิดและเตือนตนเสมอว่า ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป เพื่อให้ใจเราสะอาดขึ้น และทำตัวให้ผู้คนรู้ว่าเราเป็นศิษย์พระคริสต์มิใช่ศิษย์คิดล้างอาจารย์...


วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

กระแสโลก กระแสลม


กระแสโลก กระแสลม
            ในหลายวงสัมมนาเริ่มมีการพูดถึงการปฏิวัติอุสาหกรรมครั้งที่สี่กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนอาจจะตื่นเต้น ตื่นตัว และเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ตามประวัติศาสตร์แล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มักมากับการท้าทายเสมอ เพื่อให้เกิดรูปแบบทางความคิด ทางสังคมแบบใหม่ ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดโลกทรรศน์ให้กับผู้คน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเกิดขึ้นกับเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของมนุษย์เป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอะไรที่รวดเร็วเกินไป มักจะขาดซึ่งความรอบคอบและนำมาซึ่งผลกระทบอย่างคาดไม่ถึง แน่นอน หลายคนบอกว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นของปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ และอาจจะใช้เวลาอีกหลายสิบปีทีเดียว การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นทุกวัน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เราไม่รู้เลยว่ามันเปลี่ยนไปตอนไหน

            ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลง แต่ในหลาย ๆ พื้นที่ก็ไม่ทันระวังและไม่มีการตั้งตัวเตรียมความพร้อม ช่วงนี้จึงเห็นภาพข่าวผู้คนนับล้านอพยพหนีความยากลำบากในถิ่นเกิด เพื่อความอยู่รอดในถิ่นอื่นของชาวเวเนซุเอลา ดินแดนแห่งนางงาม ดินแดนที่อุดมไปด้วยน้ำมัน แต่วันนี้กำลังประสบกับภาวะใกล้ล้มละลาย มีปัญหาวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจ มีปัญหาเงินเฟ้อพุ่งขึ้น คาดการณ์กันว่าจะแตะระดับ 1 ล้าน % ภายในปีนี้ ณ เวลานี้ ราคาสินค้าต่าง ๆ ในเวเนซุเอลาแพงมาก ทำให้ประชาชนในเวเนซุเอลาต้องหนีความลำบาก เกิดอาชญากรรม แย่งอาหารกัน บางรายถึงกับต้องคุ้ยขยะกิน ในขณะที่เราเห็นการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี เป็นกระแสหลัก ที่คาดการณ์กันว่าโลกจะพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เราก็ยังเห็นคนในโลกทุกข์ยากลำบากไม่เว้นแต่ละวัน
นอกจากประเทศเวเนซุเอลาแล้วยังมีที่ประเทศตุรกี ประเทศอาเจนติน่า ก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจลักษณะที่คล้าย ๆ กัน ค่าเงินของทั้ง 2 ประเทศเกิดการอ่อนค่ารุนแรง ผลกระทบคือจะทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าต่าง ๆ สูงขึ้น และใครก็ตามที่มีหนี้สกุลต่างประเทศจะทำให้มูลค่าหนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวแม้จะมีจำนวนหนี้เท่าเดิม คล้ายประเทศไทยเมื่อช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 หากจะดูย้อนหลังกลับไปถึงสาเหตุเกิดจากอะไร ก็คงเป็นเพราะผู้คนในประเทศเหล่านี้ล้วนถูกปลูกฝังให้ใช้จ่ายเงินในอนาคต เพื่อให้มีเงินสะพัด มีเงินหมุนเวียนให้มากเกินความเป็นจริง หนี้สินจึงถูกสะสมขึ้นเรื่อยๆ พอค่าเงินโลกปรับตัวสูงขึ้น อาจจะเป็นนโยบายการค้าที่ต้องเอาชนะกัน อาจจะเป็นผลมาจากการเมืองระหว่างประเทศ จึงทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หนี้เพิ่มเป็นทวีคูณ สินค้าจึงจำเป็นต้องขึ้นราคาในขณะที่ค่าแรงมีมูลค่าที่ต่ำลง

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ในขณะที่กระแสเศรษฐกิจโลกกำลังถดถอยก่อตัวขึ้น และอาจจะส่งผลกระทบสั่นสะเทือนไปทั่วโลก
เราต้องติดตามและเตรียมความพร้อม เปิดใจพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก และช่วงเวลานี้เรายังพบกับกระแสลมพายุ กระแสภัยธรรมชาติที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา เมื่อวันอังคารที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นถูกไต้ฝุ่น “เชบี” ที่มีกำลังแรงมากเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งเกาะชิโกกุ ทางตะวันตกของประเทศ ทางการญี่ปุ่นได้ออกคำแนะนำให้ประชาชนราว 280,000 คนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ให้อพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว หลบภัยพายุไต้ฝุ่น พายุนี้ทำให้เกิดลมกระโชกแรงมากและฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ไต้ฝุ่นเชบีได้เคลื่อนตัวด้วยความเร็วประมาณ 35 กม. / ชม. ขณะที่บริเวณศูนย์กลางพายุ มีความเร็วลมสูงถึง 216 กม. เราเห็นภาพในข่าว ลมแรงถึงขั้นรถบรรทุกทั้งคันยังถูกพัดกระเด็น บ้านเรือน ตึกหลายหลังพังลง และอย่างที่เคยเขียนไปหลายต่อหลายครั้งว่า มนุษย์เราพัฒนาเครื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยสุด ๆ แต่มิอาจจะพัฒนาเครื่องมือที่จะเอาชนะกับธรรมชาติได้ มีแต่คาดการณ์และเตรียมหลีกหนีเท่านั้น

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
กลับมามองกระแสในประเทศไทยของเราบ้าง ในสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ถูกกระแสลมฟ้าฝน ที่ตกมาตรงเวลาทุกยามเย็นหลังเลิกงาน สร้างความทุกข์ให้บังเกิดเต็มท้องถนน ฤดูฝนย่อมต้องมีฝนฟ้าเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ ในหลายพื้นที่ก็ประสบภัยน้ำท่วม แต่เราก็ปรับตัวกันได้พอสมควร แม้จะทุกข์บ้าง ลำบากหน่อย ถึงบ้านดึกขึ้น ก็ยังดีกว่าหลายประเทศที่ประสบภัยธรรมชาติขั้นรุนแรง สร้างความเสียหายให้กับชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก เรามีพื้นที่ที่ปลอดภัย ใยต้องหาทุกข์จากฤดูกาลมาใส่ตัวใส่ใจทำไมเล่า?


ใช่หรือไม่ดูเหมือนประเทศเรากำลังไหลตามกระแสหลัก กระแสโลก มีหลายคนใช้จ่ายด้วยเงินอนาคต และสร้างหนี้สิน หากเราใช้จ่ายเท่าที่มี เท่ารายรับ เราก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่บางทีเราปิดใจ เปิดตารับแต่ของที่สร้างความอยากได้ ของที่มันต้องมี มีไว้ให้รู้ว่ามี แต่จะจำเป็นต้องใช้หรือไม่ยังไม่รู้ แล้วเราก็ดิ้นรนค้นหาสิ่งที่มันต้องมีโดยไม่จำเป็นกันเป็นว่าเล่น มองว่านี่คือความสุข นี่คือวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่รุ่น 4.0  แต่มีความดีความงามของชีวิตเพียงแค่ 1.0 เท่านั้น ในความเป็นจริงสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตอยู่ที่ว่า เราพร้อมที่จะรับในการเปลี่ยนแปลง และอยู่ในโลกโดยไม่ตกเป็นของโลกได้หรือไม่ การเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงและมีชีวิตภายในที่เข้มแข็ง ใช้ความดีความงามสานต่อความรักให้เกิดขึ้นในทุก ๆ วัน เพราะความรัก ความดีงาม ไม่เคยมีวันล่มสลายในทุกความเปลี่ยนแปลง