ในแดนดินถิ่นอื่น
มีความตั้งใจและเคยได้พูดคุยกับเพื่อนรุ่นน้องกับรุ่นพี่ว่า
หากมีโอกาสเราทั้งสามคนจะร่วมกันเดินทางตามรอยในเส้นทางการแพร่ธรรมของนักบุญเปาโล
โดยมีประเทศตุรกีเป็นหนึ่งในนั้น แต่จนแล้วจนรอดด้วยภาระหน้าที่ของแต่ละคน
จัดสรรเวลาไม่ตรงกันเสียที (สักวันหนึ่งเราจะทำเรื่องนี้ให้เป็นจริงจงได้)
และด้วยจังหวะส่วนตัวที่พอเหมาะพอดีมีคนชวนให้ร่วมกับคณะทัวร์ท่องเที่ยวไปยังตุรกี
จึงตกลงจะร่วมไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการสำรวจครั้งแรก
แล้วก็มาถึงเมืองอิสตันบูลในยามเช้าตรู่
คณะจึงได้แวะรับประทานอาหารเช้าล้างหน้าล้างตาในโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองแห่งนี้ หลายคนเข้าใจว่า
อิสตันบูลคือเมืองหลวงของตุรกี แต่ความจริงแล้ว
เมืองหลวงของตุรกีคือ “อังคารา”หรือกาลาเทีย
กรุงอิสตันบูลเดิมชื่อคอนสแตนติโนเบิล (Constantinople)
เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายศตวรรษก่อนคริสตกาล
ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศตุรกี
ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบบอสฟอรัสทำให้อิสตันบูลเป็นเมืองสำคัญเพียงเมืองเดียวในโลก ที่ตั้งอยู่ในสองทวีปคือทวีปยุโรป
(ฝั่ง Thrace ของบอสฟอรัส) และฝั่งทวีปเอเชีย
(ฝั่งอนาโตเรีย) จึงมีสถาปัตยกรรมอันงดงามผสมผสาน
และเป็นเมืองแห่งการขนส่งคมนาคมที่สำคัญ จึงไม่แปลกอะไรเลย !!! ที่นี่รถติดไม่แพ้กรุงเทพมหานครของเรา
จุดหมายแรกที่ชมคือ “มัสยิดสีน้ำเงิน”
(BLUE MOSQUE) สถานที่ซึ่งพระสันตะปาปา
เบเนดิกต์ ที่ 16 เสด็จเยือนเมื่อปี 2006
เนื่องจากสีฟ้าของกระเบื้องอิซนิคล้ายดอกไม้ต่าง ๆ บนกำแพงชั้นใน ถือว่าเป็นมัสยิดใหญ่ที่สุดในตุรกี
แต่ช่วงนี้ปิดปรับปรุง จึงไม่มีโอกาสชมความสวยข้างในได้แต่เพียงยืนชมความงามภายนอกเท่านั้น
จากนั้นก็ข้ามถนนมายังพระราชวังทอปกาปีเป็นที่ประทับของบรรดาสุลต่านนานกว่า 3
ศตวรรษ ภายในมีห้องท้องพระโรง มีครัวขนาดใหญ่สำหรับคนกว่าสี่พันคนที่เป็นข้าราชบริพารในสมัยนั้น
มีการจัดสวนที่สวยงาม ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ที่สำคัญในนี้มีไม้เท้าของโมเสสที่ยกขึ้นทำให้ทะเลแยกเพื่อนำชนอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์
ศาสนาอิสลามกับคริสต์นั้นมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมท้องพ่อแม่เดียวกัน
ที่ต่างก็แยกย้ายไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง เราจึงมีความเชื่อมโยงสายสัมพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่นมนาน
หลายครั้งหลายหนคนเราก็ลืมรากเหง้าตรงนี้
รบราเข่นฆ่ากันเพียงเพื่อให้สิ่งที่เรานับถือมีชัยชนะ ลองคิดดูคนที่เป็นพ่อแม่จะเศร้าใจเพียงใดที่เห็นลูกหลานทะเลาะกันเพียงเพื่อแย่งชิงให้พ่อแม่เป็นของตัวเองฝ่ายเดียว
จากนั้นวกกับมาฝั่งตรงข้ามมัสยิดสีน้ำเงินมายืนเข้าแถวรอนานทีเดียวเพราะมีคนมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก
ที่นี่คือ “วิหารฮายา
โซเฟีย” (บางคนเรียก “วิหารเซนต์ โซเฟีย” ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่ผิด!)
นี่คืออดีตวิหารซึ่งเป็นศูนย์กลางของพระศาสนจักรออโธด็อกซ์แห่งคอนสแตนติโนเปิ้ล
และยังเคยเป็นโบสถ์คริสต์ที่ใหญ่สุดในโลกด้วย
ความมหัศจรรย์ของวิหารนี้คือสร้างในสมัยอาณาจักรไบเซนไทน์ ตั้งแต่ ค.ศ. 360
นับตั้งแต่นั้นจนถึง ค.ศ. 1453 วิหารนี้เป็นของคริสต์คาทอลิกและคริสต์ออโธด็อกซ์
กระทั่ง ค.ศ.1453 พวกอ็อตโตมานเข้ายึดอาณาจักรไบเซนไทน์
จึงได้เปลี่ยนวิหารนี้ให้เป็นมัสยิดของมุสลิม อ็อตโตมานไม่ได้ทำลายโครงสร้างของโบสถ์นี้
พวกเขาแค่ทำลายรูปโมซาอิคล้ำค่า รูปพระเยซูกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล
ด้วยการโบกปูนทับ แต่พอ “มุสตาฟา
อตาเติร์ก” เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐตุรกีในค.ศ. 1931
เขาได้ออกคำสั่งให้กระเทาะปูนเหล่านั้นออก ปัจจุบัน วิหารแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ศาสนสัมพันธ์ระหว่างคริสต์และอิสลาม
ภายในนั้น มีทั้งรูปพระเยซู แม่พระ นักบุญต่าง ๆ ร่วมกับภาษาอาหรับที่มีชื่อของพระอัลเลาะห์และท่านศาสดามุฮัมมัดชื่อ “โซเฟีย” หลายคนคิดว่าองค์อุปถัมภ์ของวิหารต้องเป็นนักบุญโซเฟียแน่
ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น ชื่อ “ฮายา โซเฟีย” เป็นภาษากรีก
แปลว่า “ปรีชาญาณศักดิ์สิทธิ์” ต่างหาก
จากนั้นก็เดินมายังจัตุรัสสุลต่านอะห์เมต
หรือ ฮิปโปโดรม (Hippodrome) สนามแข่งม้าของชาวโรมัน
เขาว่ากันว่าตรงนี้เคยเป็นศูนย์กลางของเมืองเก่า เพื่อใช้แสดงกิจกรรมต่าง ๆ
ปัจจุบันเหลือเพียงพื้นที่ลานกว้าง มีเสาโอเบลิสก์ 3 ต้น
ที่สร้างในอียิปต์แต่ถูกนำมาไว้ในอิสตันบูล ครึ่งวันแรกกับการเดินท่องชมเมืองเก่า
กับสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้ากับการนั่งเครื่องบินยาวกว่าสิบชั่วโมง
เล่นเอาหลายคนเริ่มโรยรา เมื่อเสร็จสิ้นอาหารมื้อเที่ยงเราก็เริ่มมีเรี่ยวแรง
ที่จะนั่งรถต่อไปยังเมืองชานัคคาเล่ อีกราว ๆ 3 ชั่วโมง เพื่อให้ทั้งรถบัสและคณะพวกเราขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามไปแวะชมม้าเมืองทรอย
หนึ่งในตำนานอันเลื่องลือที่โฮเมอร์ได้ประพันธ์ไว้ในมหากาพย์
ในแดนดินถิ่นอื่นเราเห็นอะไรมากมาย
ดินแดนแถบนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ตั้งคำถามก่อนที่วันรุ่งขึ้น ที่จะเข้าสู่เมืองที่ท่านนักบุญเปาโลและสาวกมาตั้งชุมชนความเชื่อว่า
พวกท่านเดินทางยาวนานแสนนาน
อดทนต่อสภาพอากาศและต้องหลบหลีกการไล่ล่าได้อย่างไรกัน เพราะความเชื่อหมดหัวใจ
เพราะศรัทธาอย่างสุดใจ จึงมิอาจมีอันใดหยุดยั้งการประกาศและยืนยันความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าได้
แล้วเรามีหัวใจแห่งความเชื่อความศรัทธาเพียงเท่าใดหนอ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น