วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

บนบ่าหนักนัก

บนบ่าหนักนัก
การเดินทางไปยังที่ต่างๆ ของคนเราย่อมมีเหตุปัจจัยหลากหลายที่ต่างกันออกไป บางคนไปด้วยหน้าที่การงาน มีไม่น้อยไปเพราะอยากพบเจอสิ่งใหม่ๆ ไปเพื่อปลดเปลี่ยนบรรยากาศที่จำเจ ไปเพื่อเพิ่มเติมพลัง ถนนสายเดียวกัน บางคนค่อย ๆ เดิน บางคนวิ่ง บางคนขับรถ วิธีการที่ไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันไป ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ การดำเนินตามวิถีทางแห่งตนก็เป็นศิลปะแบบหนึ่ง ขึ้นอยู่กับใครจะพบความงามได้มากกว่ากัน



นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราเดินทางเพื่อเพิ่มเติมพลังและเรียนรู้มุมมองใหม่ โดยเลือกที่จะไปอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ เหมือนชีวิตต้องการคลอโรฟีลล์ ต้องการสีเขียวเพื่อความสงบสุขภายในใจ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังจังหวัดน่าน ที่หลายเสียงพูดว่าเหมาะกับการใช้วิถีชีวิตที่ค่อย ๆ เป็นค่อย  ๆ ไป เริ่มต้นเดินทางด้วยรถทัวร์ยามค่ำคืนเพื่อให้ตื่นเช้ายังดินแดนที่น่าน ด้วยว่าเป็นครั้งแรกจึงต้องศึกษาว่ามีอะไร? ที่ไหน? อย่างไร? ที่น่าจะไปสัมผัส แต่เอาเข้าจริงพอได้มาอยู่ที่นี่ สิ่งที่เป็นก็คือเราเลือกตามวิถีของเราเองดีกว่า วันแรกเมื่อไปถึงพร้อมกับดวงตะวันในวันใหม่ กระเป๋าเสื้อผ้านำไปเก็บฝากไว้ยังที่พัก คุณยายเจ้าของที่พักผู้ใจดีแนะนำให้ปั่นจักรยานเที่ยว พร้อมให้หยิบยืม และบอกว่าปั่นตรงไปอย่างเดียว ที่เทียวมากมี เป็นจริงดังว่า การเที่ยวที่ประหยัดเงินคือการท่องไปด้วยสองขาปั่น ในเมืองน่านขึ้นชื่อว่าเหมาะกับการท่องเที่ยวแบบนี้ ไม่มีเงินมากมายก็หาความสุขสงบร่มเย็นได้

ใช่หรือไม่ บางทีเราก็ใช้ชีวิตหมดไปเพียงเพื่อแบกถุงเงินถุงทองจนล้นบ่า และหนักจนทับตัวตายโดยมิได้พบความงามของการมีชีวิตอยู่เลยช่างน่าเสียดาย! การมีเงินมีทองที่หามาได้แท้จริงก็เพื่อเป็นสื่อสิ่งกลางการแลกเปลี่ยนเพื่อส่งเสริมการมีชีวิตที่สะดวกสบาย หาใช่การเก็บสะสม แต่ละคนย่อมต้องมีหนทางและทัศนะคติต่อการใช้เงินไม่ได้อยู่ที่ต้องมีมากหรือน้อย สุดท้ายสิ่งที่ทุกคนต้องการก็เพื่อให้วิถีชีวิตก้าวหน้าไปในสันติสุขนั่นเอง มีบ้างบางครั้งที่เราหลงไปแบกใส่ไว้จนล้นบ่า จนล้าและทุกข์ท้อ แต่ขออย่าให้ต้องล้มละลายทางด้านจิตใจกันเลย


เหล่าลิ่ว เป็นคนยากจนตลอดชีวิต ได้เห็นการอพยพของผู้คนที่หนีความอดอยากหิวโหยยิ่งทียิ่งมากขึ้น ที่สุดเหล่าลิ่วแบกสมบัติทั้งหมดที่มี คือ มันเทศกระสอบหนึ่ง เข้าร่วมในกลุ่มคนอพยพที่หนีความอดอยากด้วย ระหว่างทาง เหล่าลิ่วพบเห็นพ่อลูกคู่หนึ่งที่หิวจนเหลือแต่ลมหายใจเฮือกหนึ่ง บนหลังของผู้เป็นพ่อก็แบกของ ถุง ๆ หนึ่งที่ดูท่าหนักอึ้ง เมื่อเขาเห็นเหล่าลิ่วแบกมันเทศไว้มากมาย จึงขอเหล่าลิ่วหัวหนึ่งเพื่อให้เด็กกิน เหล่าลิ่วไม่ยินยอม
คนผู้นั้นจึงพูดว่า เจ้าขายให้ข้าได้หรือไม่ ?
พูดจบก็นำเงินที่แบกไว้กลางหลัง เทลงบนพื้นทั้งหมด เหล่าลิ่วเห็นเงินแล้วถึงกับตาค้าง เพราะว่าเขายากจนมาทั้งชีวิต แม้แต่ในฝันก็ไม่เคยฝันเห็นเงินมากมายขนาดนี้ จึงตัดสินใจขายมันเทศทั้งหมดแลกกับเงินมากมายกองนั้น
เหล่าลิ่ว แบกถุงเงินเริ่มเดินทาง เขากลัวว่าสองพ่อลูกคู่นั้นจะเปลี่ยนใจกลับคำพูด จึงรีบเร่งเพิ่มความเร็วของฝีเท้ารุดเดินไปข้างหน้า หลายวันต่อมา เหล่าลิ่วเดินไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เพราะตลอดทาง เขาหาซื้อของกินไม่ได้เลย สองพ่อลูกที่ซื้อมันเทศจากเขา ก็เดินตามมาทันเขา เหล่าลิ่วมองดูมันเทศที่อยู่กลางหลังของผู้ชาย เขาเริ่มเสียใจ เขาเดินตามไป คิดที่จะซื้อมันเทศกลับคืนมา ทว่า ผู้ชายคนนั้นอย่างไรก็ไม่ยอมขาย เหล่าลิ่วนั่งลงบนพื้นด้วยความผิดหวังโอบกอดเงินของเขาไว้ แล้วตายลงท่ามกลางความหิวโหย...


เงินในสภาวะหนึ่งย่อมมีค่ามหาศาล แต่อีกในสภาวะหนึ่งก็คือสิ่งถ่วงรั้งให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ ตลอด 2-3 วัน ที่น่าน เงินไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่สุด เพราะค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ไม่ได้แพงมากมาย คนที่นี่ไม่ได้คิดเอาเปรียบคนจากถิ่นอื่น แต่ตรงกันข้ามมักมีคำแนะนำที่มีค่าสำหรับการพักผ่อน หรืออาจจะเป็นเพราะในน่านมีวัดมากมายในทุกมุมเมือง และแต่ละวัดล้วนงดงาม วัดที่เป็นเสมือนแก่นกลางที่ยึดโยงจิตใจผู้คนให้สงบร่มเย็น แน่ล่ะ อาจจะมีคนย้อนขึ้นมาว่า เราไปน่านเพียงไม่กี่วัน แล้วเอาอะไรมาวัดว่าคนที่นั่นมีความสุข ใช่ ในแต่ละที่ย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ เราไปเรียนรู้ความสุขจากที่ที่เราไปเพื่อให้ใจเรามีสันติเพิ่มขึ้น



ใช่หรือไม่ เรามิอาจจะหลีกเลี่ยงกับการหาเงินแบบเอาเป็นเอาตายในสังคมเมืองได้ แต่เราเลือกที่จะหยุดพักและก้าวเดินออกจากเส้นทางนั้น ให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายและสุขลักษณะทางจิตใจบ้าง และแน่นอนแต่ละคนแต่ละความคิดย่อมแตกต่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ขอให้เส้นทางเหล่านั้นเกิดความงาม อย่าให้เกินอย่าให้ขาด ลดความโลภเพื่อความรัก ลดการแข่งขันมาแบ่งปัน ลดความเห็นแก่ตัวมาเห็นแก่กันและกัน เท่านี้ชีวิตก็สดใสไร้กังวลปล่อยวางของบนบ่าลงบ้าง นั่งชมริมทาง ไตร่ตรองว่าอะไรควรทิ้งไว้กลางทาง แล้วค่อยเดินหน้าต่อ ชีวิตที่ไม่หนักเกินไปย่อมมีความสุขในการก้าวเดิน..

วันศุกร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561

ต่างที่มาในที่เดียวกัน

ต่างที่มาในที่เดียวกัน
เสียงลมพัดอื้ออึงอยู่ข้างหู เสียงเต็นท์กระพือ ความหนาวเย็นจากปลายเท้าค่อย ๆ เข้าครอบงำ ยิ่งดึกยิ่งหนาว มือเท้าเริ่มเย็น แต่ความง่วงและเพลียจากการเดินทางทั้งวันก็ช่วยทำให้หลับลงได้ จวบจนตีสี่ที่ความสว่างยังคงถูกความมืดครอบครอง ตื่นขึ้นมาจึงรับรู้ความหนาวจับใจ หวนให้คิดถึงเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ต้องนอนกลางสนามแข่งม้า ไม่มีเต็นท์ มีเพียงถุงนอนที่ห่อหุ้ม ในงานเยาวชนโลกวันสุดท้ายเพื่อรอรับสมเด็จพระสันตะปาปา ความหนาวเย็นยะเยือกมากกว่านี้ แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันมานอน เพื่อจะร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในพิธีมิสซา สำหรับครั้งนี้จุดเป้าหมายต่างกัน ที่ต้องมานอนเต็นท์กลางทุ่งนากว้างโล่งครั้งนี้ ก็เพื่อร่วมเป็นแรงบันดาลสร้างฝันให้เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ได้ทำการแสดงดนตรีท่ามกลางผู้ชมมากมาย เป็นเวทีใหญ่เพื่อทำให้สิ่งที่พวกเขาฝึกฝนมาอย่างต่อเนื่อง ในนามของ “#โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เด็กจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่รวมตัวกันฝึกดนตรี และบรรเลงเพลงด้วยหัวใจ โดยการนำและสร้างฝันของครูลี่ ผู้มีความลึกซึ้งและรักความฝันของเด็กน้อยผู้ที่จะเป็นอนาคตของสังคม


ยามเช้าผู้คนเริ่มหนาตา เต็นท์ที่ถูกกางออกรายล้อมเวทีใหญ่เริ่มมีมากขึ้น หลายคนมาถึงกลางดึก อาหารมีให้เลือกทานตั้งแต่เช้า ด้วยฝีมือของผู้ปกครองเด็กในหมู่บ้านตำบลถาวร ทั้งหมดถูกจัดเตรียมอย่างดีและอร่อย มีกาแฟสดจากไร่ เจ้าของนั่งคั่วหน้าเต็นท์อย่างใจเย็น กว่าจะได้แต่ละแก้วละเมียดละมัย ทำให้มีเวลาสนทนาพาทีกัน แต่ถึงกระนั้น ทั้งวันที่เวียนแวะมาดื่มกาแฟ เราก็ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นนักดนตรีมือฉกาจฉกรรจ์คนหนึ่ง มารู้หลังจากที่เขาขึ้นเล่นขับกล่อมเพลงเกือบจะเป็นวงสุดท้าย กาแฟสดที่ไม่มีราคาหน้าร้าน ใครใคร่ให้  ให้ ใครใคร่ดื่ม ดื่ม ยิ่งสายร้านอาหารเริ่มทยอยมาให้บริการเพิ่มขึ้น มีกิจกรรรมสำหรับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านและที่มาจากบ้านใกล้เคียง เด็กวิ่งเล่นในท้องทุ่ง ได้เห็นหุ่นฟาง ได้เรียนรู้การทำการเกษตร พ่อแม่บางคนถึงกับเอ่ยปากว่า ดีจังที่จัดแบบนี้ในวันเด็ก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพาไปห้าง เข้าเมืองไปดูสวนสัตว์



เมื่อกิจกรรมวันเด็กซาลง เวทีใหญ่สำหรับเล่นดนตรี หรือจะเรียกว่าเวทีคอนเสิร์ตก็น่าจะได้ เพราะระบบเครื่องเสียงและไฟยิ่งใหญ่พอ ๆ กัน ทั้งนี้ทั้งนั้น เจ้าของเครื่องเสียงและระบบไฟ คือผู้รับจ้างจัดคอนเสิร์ตใหญ่ ๆ มาแล้วหลายงาน เมื่อเห็นข่าวว่าเด็ก ๆ โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้างจะจัดเทศกาลบทเพลงจากทุ่งวิถี ดนตรีแห่งความเรียบง่าย  จึงขอเป็นเจ้าภาพด้านแสงสีเสียง แบบจัดเต็มชุด เสียงที่แสนจะไพเราะเริ่มดังขึ้น ก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถตั้งจัดการระบบเสียงให้สมบูรณ์ได้ รอจนกระทั่งถึงเวลาเครื่องปั่นไฟทำงาน เหตุเพราะไฟฟ้าไปไม่ถึงเวทีกลางทุ่งนา วัยรุ่นหลายคนเริ่มขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาในพื้นที่ เต็นท์ยิ่งมีมากขึ้น โดยที่ครูลี่บอกว่าคงจะมีวงดนตรีผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเล่นจนถึงตีหนึ่งตีสอง เพราะมีหลายคนหลายวงแสดงเจตจำนงมาว่าจะมาร่วมบรรเลงในงานนี้แบบฟรี (บางวงวิ่งไปแสดงงานที่อื่นก่อน) 



จวบจนเวลาเกือบจะหกโมงฟ้าเริ่มมืด ไฟจากตะเกียงน้ำมันก๊าดถูกจุดตามรายทางคันนา วงหมอรำเริ่มขับขานบทเพลง ผู้แก่แม่เฒ่าล้อมวงเต้นรำหน้าเวที เนื้อหาในบทเพลงหมอรำเป็นการสั่งสอนลูกหลานคนรุ่นใหม่ได้ดีทีเดียว แม้จะไม่เข้าใจภาษาทั้งหมด แต่รวม ๆ แล้วยิ่งฟังยิ่งน่าจดจำ จากนั้นก็มีการแสดงสลับกันขึ้นเวทีและเด็ก ๆ วงเอกของงานได้เริ่มบรรเลง ผู้คนแน่นเต็มลานทุ่ง คาดด้วยสายตา 600-700 คน บทเพลงจากโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง ได้ขับกล่อมผู้ฟังอย่างสนุกสนานและเป็นธรรมชาติ ร้องผิดร้องถูก มีการพูดออกอากาศว่าเล่นรอ ๆ กันบ้าง เป็นความน่ารักของพวกเขา เครื่องดนตรีหลายชิ้นถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเองจากวัสดุเหลือใช้ ตลอดเกือบชั่วโมงมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากแฟนเพลงด้านล่างเวที เด็กเหล่านี้คือผลผลิตของครูลี่ ที่เฝ้าสั่งสอนที่มิใช่ทางด้านดนตรีเท่านั้น เป็นการสอนด้วยหัวใจ ให้เล่นดนตรีด้วยหัวใจ ให้ทำทุกอย่างด้วยหัวใจ เริ่มแรกครูลี่จะให้เด็กแต่ละคนปลูกผักคนละแปลง ให้ดูแลรดน้ำพรวนดิน ไม่มีปุ๋ยเคมี ใครรักษาแปลงผักให้เจริญเติบโต ก็จะได้เรียนดนตรี ใช้เวลาตอนเย็นเมื่อเด็กกลับจากโรงเรียน ครูลี่ใช้ที่นาของตัวเองเป็นโรงเรียนสอนและพิสูจน์ให้คนทั้งหมู่บ้านเห็นว่าการพัฒนาเด็ก ๆ ตามวิถีธรรมชาตินั้นจะได้รับผลดีเช่นไร วันนี้ครูลี่ทำให้ทุกคนเห็นแล้วจึงเกิดงานที่ยิ่งใหญ่ด้วยเงินเพียง 0 บาท




จวบจนตีสาม เริ่มต้นวันใหม่ทุกอย่างจบลง สาย ๆ หลายคนตื่นขึ้นมา บนเต็นท์เต็มไปด้วยน้ำค้าง หยดน้ำใส ๆ ที่ค้างอยู่นั้น เป็นความงดงามที่แสดงถึงน้ำจิตน้ำใจของทุกผู้คนในยามค่ำคืนที่ผ่านมา เช้านี้ออกจากเต็นท์เดินไปไหนมาไหนสวนทางกัน ทุกคนต่างยิ้มให้กันอย่างจริงใจ ทำให้เข้าใจเลยว่า เราต่างคนต่างที่มา แต่มีหัวใจเดียวกัน หัวใจที่ห่วงใยในอนาคตของชาติ อนาคตเยาวชน ที่ต้องการให้พวกเขารับทอดสืบสานวัฒนธรรม รักษ์ธรรมชาติ รักบ้านเมืองถิ่นเกิด โดยที่ทุกคนไม่ได้สนใจเรื่องระบบระบอบใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นการพิสูจน์ว่า หากทำอะไรด้วยหัวใจ งานใหญ่เพียงใดก็มิหวั่น เพราะนั่นคือความงามที่ตามออกมาจากภายใน ด้วยศรัทธาที่เรามี

วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2561

มองทุกข์ให้เป็นสุข

มองทุกข์ให้เป็นสุข
            ความสุขเล็ก ๆ ที่มาพร้อมกับปีใหม่ในแทบทุกครั้ง คือ การได้มีเวลาสังสรรค์กับครอบครัว ได้มีเวลามาพบปะพร้อมหน้าพร้อมตากัน มีเวลานั่งกินข้าว นั่งปิ้ง ๆ ย่าง ๆ ได้ทำนั่นทำนี่ร่วมกัน มีเวลาหัวเราะเคล้าน้ำตากันอีกคราว มีช่วงที่จะอวยพรให้ชัย แลกของขวัญ มอบกำลังใจให้กัน มีโอกาสกล่าวคำขอโทษต่อกันในความพลาดพลั้ง ในความละเลย ละเมิด และแสดงความตั้งใจที่จะปฏิบัติต่อกัน แม้ว่ามันอาจจะเป็นความตั้งใจเดิม ๆ เหมือนกันในทุก ๆ ครั้ง แต่เชื่อเถอะว่า ในใจของเราล้วนปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่อาจจะเป็นด้วยสภาพแวดล้อม อาจจะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้หลงลืมไปชั่วขณะ พอเริ่มต้นปีมีเวลาคิดก็ตั้งใจกันใหม่ มันก็เป็นเช่นนี้แหละชีวิต.
.. 


            ในช่วงเวลาปีใหม่ หลายคนที่พบเจอก็คงยังมีชีวิตที่ปะปนไปด้วยทุกข์ สุข ใครที่หวังมากก็ทุกข์มาก ส่วนใครที่มองโลกเป็น ก็จะมองเห็นความจริงในทุกสิ่ง ชีวิตย่อมคละเคล้ากัน เมื่อมีทุกข์ทำให้สุขก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก ปล่อยวางชีวิตตามลิขิตสวรรค์ เชื่อมั่นไว้วางใจในพระ อย่าไปสะสมทุกข์ให้มากมาย ต้องสลายให้กลายเป็นความสุข และในทุกชีวิตของแต่ละคนทุกข์สุขก็ไม่เหมือนกัน เราเลือกที่จะสุขได้ ในสิ่งที่เราเป็นอยู่ สิ่งที่มี บางทีที่เราอยู่ คือ ที่ที่สุขที่สุดสำหรับเราก็ได้ เคยใช่ไหม เวลาที่เราต้องเดินทางไปค้างแรมในที่อื่น มีความรู้สึกว่า เตียงนอนไม่สบายเหมือนเตียงที่บ้านเรา ห้องน้ำที่เข้า ที่อาบก็รู้สึกไม่คุ้นสุขเหมือนที่เคย ๆ บางทีที่เราดิ้นรนกันไปนั้น เรากำลังก้าวสู่ความทุกข์อีกครั้งหนึ่งแบบไม่รู้ตัว



            เจ้าของโรงแรมผู้หนึ่ง พบเห็นว่า ทุกๆวันจะมีชายพเนจรนั่งอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะ แล้วเอาแต่จ้องมองโรงแรมของเขา ด้วยความข้องใจ มีวันหนึ่งเขาทนไม่ได้จึงเดินไปถามชายพเนจรนั้นว่า
            “ขอโทษ พี่ชาย ผมใคร่อยากรู้ว่า เพราะเหตุใดคุณถึงจ้องมองโรงแรมนั้นทุกวัน”
            ชายพเนจรพูดว่า
            “เพราะว่าโรงแรมหลังนั้นงดงามจริง ๆ ถึงแม้ว่าตัวผมไม่มีอะไร นอนอยู่บนม้านั่งนี้ แต่ว่าผมจ้องมองมันทุกวัน กลางคืนก็จะฝันว่า ตนเองได้อยู่ภายในโรงแรมนี้”
            เจ้าของโรงแรมได้ยินเช่นนั้น มีความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง จึงพูดว่า
            “พี่ชาย คืนนี้ผมจะทำให้คุณสมหวังตามปรารถนา ผมจะให้คุณเข้าอยู่ในโรงแรม อีกทั้งเป็นห้องที่ดีที่สุดฟรี ๆ หนึ่งเดือน”
            หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจ้าของโรงแรมอยากรู้ว่า สถานการณ์ของชายพเนจรเป็นอย่างไร แต่กลับพบว่าคนผู้นี้ได้ย้ายออกไปจากโรงแรมแล้ว กลับไปที่ม้านั่งของสวนสาธารณะดังเดิม เจ้าของโรงแรมจึงถามชายพเนจรว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
            ชายพเนจรบอกว่า
            “ก่อนหน้าที่ผมเคยนอนบนม้านั่งตัวนี้ และฝันว่าได้อยู่ภายในโรงแรม มันรู้สึกดีมาก ทว่าเมื่อได้ไปนอนอยู่ในโรงแรมจริง ๆ ผมกลับฝันว่า ตนเองได้กลับมาอยู่บนม้านั่งที่แข็งกระด้างนี้ มันช่างน่ากลัวจริง ๆ ดังนั้น ผมจึงอยู่ต่อไปไม่ได้”
            เจ้าของโรงแรมฟังจบ หัวเราะด้วยเสียงอันดัง แล้วพูดว่า
            “ที่แท้ คนเรายามที่ไม่มีก็เป็นทุกข์ ยามที่มีแล้วก็เป็นทุกข์
            เป็นจริงแท้ ทุกข์ของคน “มี” หรือ “ไม่มี” ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่กับเป็นเรื่องการ “ยึดติด” ยามที่ไม่มี รู้สึกอิจฉา ยามที่มีแล้วก็วิตกกังวลกลัวจะสูญเสียไป จึงล้วนเป็นทุกข์



            หลายคนพะว้าพะวงว่าปีนี้เป็นปีชงหรือไม่ชง เลยงง ๆ กับชีวิต วิตกจริต วัน ๆ ไม่เป็นอันทำอะไร วิ่งวุ่นเที่ยวหาสถานที่ไปสะเดาะเคราะห์แก้ชง เห็นชงกันทุกปี ที่ร่ำรวยขึ้นน่าจะพวกหมอดูทั้งหลาย แต่ละคนก็ว่าปีนั้นชงปีนี้แย่ ไม่เห็นจะตรงกันสักคน ยิ่งเราหลงไปกับสิ่งเหล่านี้ เราก็จะลืมความสุขตรงหน้าเรา เราก็จะมัวแต่ปล่อยเวลาให้หมดไปกับความผิดหวังที่ไม่ได้ดังหวัง แต่ไม่เคยลงมือทำความดี เอาเข้าจริงชีวิตของแต่ละคนมีความสุขอยู่แล้ว มองมันให้เห็น หามันให้เจอ เผลอ ๆ มันอยู่แค่ปลายจมูกเรานั่นแหละ เลิกยึดติดความคิดค่านิยมตามกระแสคนอื่น มีที่ยืนเป็นของตัวเราเอง สุขกับสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราหามาได้ แล้วเมื่อถึงวันที่เราอาจจะประสบทุกข์ภัย เราก็จะพบกับความสุขและมีรอยยิ้มได้ สุขอยู่ที่ใจ ใครจะชง จะชัง ทำดีมีสุขนะครับ...

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561

ใจที่โล่ง

ใจที่โล่ง
กรุงเทพฯเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย จากทุกถิ่นทั่วไทยมุ่งหน้ามารวมกองกันอยู่ที่นี่ ทุกตรอกซอกซอยมีผู้อาศัยอยู่ รถรามากมีจนถนนไม่เพียงพอให้สัญจร เฉพาะอย่างยิ่งในทุกวันทำงาน เราต่างต้องช่วงชิงพื้นที่ว่างไว้ครอบครอง ชีวิตคนเมืองจึงดูจะเหนื่อยล้าและมีแต่ความเห็นแก่ตัว ชีวิตใครชีวิตมัน เพราะลำพังชีวิตฉันยังจะเอาไม่รอดในวันที่ทุกคนต่างมีวันหยุดยาวเหมือนกัน โดยพร้อมเพรียงต่างเรียงหน้ากลับสู่ภูมิลำเนา เป็นเวลานัดหมายประจำปี ย้ายรถที่ติดในเมืองไปติดที่อื่นดูบ้าง ปล่อยให้ถนนในกรุงเทพฯ ที่รับศึกหนักมาเป็นแรมปีได้มีวันว่าง ๆ โล่ง ๆ บ้าง ถนนที่โล่งไปไหนมาไปไหนได้สะดวกคนที่รักการอยู่ในเมืองช่วงเวลาแบบนี้จึงรู้สึกเป็นสุขเหลือเกิน มีช่วงชีวิตที่ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขันเอาเป็นเอาตาย ปล่อยชีวิตดำเนินไปแบบช้า ๆ ผ่อนคลายลงบ้าง


ยิ่งเมืองเงียบ ๆ ทำให้เรามีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น มีเวลาลงนั่งสำรวจตรวจสอบตัวเอง บนความวุ่นวายเรามักพบความทะยานอยาก บนความมากมายมีความกระหายหลงตัวตน จนทำให้เกิดค่านิยมอวดดีอวดเก่งอวดเบ่ง คนเมืองนับวันยิ่งแรงยิ่งคิดว่าตัวเองสำคัญสุด ๆ ใหญ่โตสุด ทำอะไรก็ได้ สิ่งเหล่านี้อยู่คู่กับสังคมเมืองที่กำลังจะกลับสู่สภาพเดิม ๆ หลังจากที่โล่ง โปร่งสบายอยู่ไม่กี่วัน หลายคนทำตัวเหมือนพ่อไก่ในนิทานเรื่องนี้

มีไก่อยู่ครอบครัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในวัดเซนประเทศญี่ปุ่น หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้บริหารที่เก่งมาก กางปีกปกป้องภรรยาและลูกๆทุกตัว อยู่กันมาอย่างมีความสุข
ทุก ๆ เช้าเวลาตีห้า พ่อไก่ก็จะบินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้ แล้วโก่งคอขัน เสียงก้องไปทั้งพงไพร พ่อไก่ขันไปเรื่อย ๆ จนพระอาทิตย์ขึ้นมาฉายแสง ส่องสว่างไปทั้งสากลโลกพ่อไก่มีความสุขมาก เขาชื่นชมแสงตะวัน พอ ๆ กับความรู้สึกภูมิใจ เขาคิดว่า เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น
ตะวันขึ้นไปถึงยอดเขา พ่อไก่จึงบินกลับลงมา คลุกคลีอยู่กับลูกเมียพ่อไก่ทำหน้าที่มาเนิ่นนาน...นานเหลือเกิน จนวันหนึ่ง เขาเริ่มรู้สึกว่า เขาเริ่มเหนื่อย ร่างกายเขาตรากตรำกับงานหนักเกินไป แต่เมื่อถึงเวลา เป็นหน้าที่ที่พ่อไก่จะต้องบิน เขาบินขึ้นไปจนถึงกิ่งไม้แต่ก็หมดแรงร่วงหล่นลงมา
ลูกชายซึ่งเป็นไก่โต้งรุ่นใหม่ไฟกำลังแรง เห็นดังนั้น ก็เข้าไปประคอง “ถ้าพ่อไม่ไหว วันนี้ผมขอขันแทน”
“น้ำหน้าอย่างแก” พ่อไก่ยืดอกชี้หน้าลูกชาย
“ถ้าขัน ตะวันจะขึ้นหรือ หัดดูเงาตัวเองเสียบ้าง” เมื่อตวาดให้ลูกชายไฟแรงกลัวหัวหดแล้ว พ่อไก่ก็แข็งใจ บินขึ้นไปอีก คราวนี้เขาไม่เพียงเกาะกิ่งไม้ได้ เขายังขันได้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็หมดเรี่ยวแรงตกลงมา แสดงอาการใกล้ตาย
พ่อไก่ยังเหลือเรี่ยวแรงเรียกประชุมไก่ลูก ไก่เมีย สั่งเสียให้ลูกเมียเตรียมรับสถานการณ์ เขาบอกว่านับแต่นี้ต่อไป เมื่อพ่อไก่อย่างเขาไม่ขัน ดวงตะวันก็จะไม่ขึ้น เมื่อตะวันไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค จึงขอให้เมียและลูกดูแลกันให้ดี เพราะต่อไปนี้จะต้องอยู่กันอย่างยากลำบาก เพราะอีกไม่ช้า โลกก็จะวิบัติสั่งเสียจบแล้ว ไก่ผู้พ่อก็ล่วงลับดับขันธ์

 นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่ามีคนมากมายในโลกนี้ ที่ป่วยเป็นโรคสำคัญตนผิด มีความคิดฝังลึกว่า “ตัวฉันสำคัญที่สุด” ขาดฉันเสียคนหนึ่ง ทุกอย่างในบ้านเมือง ในองค์กรในบริษัท ก็จะดำเนินต่อไปไม่ได้คนพวกนี้ เกิดมาเพื่อแบกโลกไว้บนบ่า มากกว่าเกิดมาเพื่อเหยียบโลกเล่น ในโลกนี้ไม่มีใครจะทุกข์หนักหนาสาหัสเท่าคนป่วยโรคนี้อีกแล้วขณะที่เขาคิดว่าโลกนี้ขาดเขาไม่ได้ มองไปอีกด้าน โลกกลับไม่เคยรู้สึกว่า ขาดเขาแล้วจะหมุนต่อไปไม่ได้เขาไม่เคยคิดสักนิด ก่อนจะมีเขา ชาวโลกก็อยู่กันมาได้ สรรพสิ่งในโลกล้วนดำเนินของมันไปตามปกติแม่น้ำก็ยังคงรินไหล ตะวันก็ยังคงฉายส่อง หยาดฝนยังคงโปรยสาย นกยังคงร้องเพลง และดอกไม้ก็ยังคงผลิบาน ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นดำเนินไปไม่เคยหยุดกระแสการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง (นิทานสอนใจ : ท่าน ว.วชิรเมธี )



เช้าของวันที่สองของปี ได้มายืนริมแม่น้ำเจ้าพระยามารอรับแสงแห่งวันใหม่ ในใจก็ไตร่ตรองเพื่อลดลาความผยองของตัวเองลงบ้าง สายลมเย็น ๆ โชยผ่านมา วันนี้เมื่อปีที่แล้วก็เช่นกัน มายืนอยู่ตรงนี้ แต่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป สีสันของฟ้าวันนั้นก็ต่างจากฟ้าวันนี้ สายน้ำที่ไหลผ่านไปแม้จะเป็นลำน้ำเดิม แต่ก็ยังมีระดับที่ต่างกัน หลายเหตุการณ์ย้อนกลับเข้ามา ใช่หรือไม่ วันเวลาเปลี่ยนไป เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวตน พัฒนาจิตวิญญาณให้สูงขึ้นมาบ้าง ใจที่ว่างโล่งปลอดโปร่ง ทำให้เรารู้สึกตัว อยู่กับตัวตน ถนนที่โล่งเรายังรู้สึกชอบรู้สึกดี แล้วใจที่โล่งยิ่งจะทำให้เราพบกับความสุขและความงามของชีวิต เริ่มต้นปีทำใจให้โล่ง ๆ จะได้ลดตัวตนเพิ่มความเป็นคนที่มีคุณค่าให้ตัวเรากันนะครับพี่น้อง...