บนบ่าหนักนัก
การเดินทางไปยังที่ต่างๆ
ของคนเราย่อมมีเหตุปัจจัยหลากหลายที่ต่างกันออกไป บางคนไปด้วยหน้าที่การงาน
มีไม่น้อยไปเพราะอยากพบเจอสิ่งใหม่ๆ ไปเพื่อปลดเปลี่ยนบรรยากาศที่จำเจ
ไปเพื่อเพิ่มเติมพลัง ถนนสายเดียวกัน บางคนค่อย ๆ เดิน บางคนวิ่ง บางคนขับรถ
วิธีการที่ไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันไป ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้
การดำเนินตามวิถีทางแห่งตนก็เป็นศิลปะแบบหนึ่ง
ขึ้นอยู่กับใครจะพบความงามได้มากกว่ากัน
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราเดินทางเพื่อเพิ่มเติมพลังและเรียนรู้มุมมองใหม่
โดยเลือกที่จะไปอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ เหมือนชีวิตต้องการคลอโรฟีลล์
ต้องการสีเขียวเพื่อความสงบสุขภายในใจ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังจังหวัดน่าน ที่หลายเสียงพูดว่าเหมาะกับการใช้วิถีชีวิตที่ค่อย
ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เริ่มต้นเดินทางด้วยรถทัวร์ยามค่ำคืนเพื่อให้ตื่นเช้ายังดินแดนที่น่าน
ด้วยว่าเป็นครั้งแรกจึงต้องศึกษาว่ามีอะไร? ที่ไหน? อย่างไร? ที่น่าจะไปสัมผัส แต่เอาเข้าจริงพอได้มาอยู่ที่นี่
สิ่งที่เป็นก็คือเราเลือกตามวิถีของเราเองดีกว่า วันแรกเมื่อไปถึงพร้อมกับดวงตะวันในวันใหม่
กระเป๋าเสื้อผ้านำไปเก็บฝากไว้ยังที่พัก คุณยายเจ้าของที่พักผู้ใจดีแนะนำให้ปั่นจักรยานเที่ยว
พร้อมให้หยิบยืม และบอกว่าปั่นตรงไปอย่างเดียว ที่เทียวมากมี เป็นจริงดังว่า การเที่ยวที่ประหยัดเงินคือการท่องไปด้วยสองขาปั่น
ในเมืองน่านขึ้นชื่อว่าเหมาะกับการท่องเที่ยวแบบนี้
ไม่มีเงินมากมายก็หาความสุขสงบร่มเย็นได้
ใช่หรือไม่
บางทีเราก็ใช้ชีวิตหมดไปเพียงเพื่อแบกถุงเงินถุงทองจนล้นบ่า
และหนักจนทับตัวตายโดยมิได้พบความงามของการมีชีวิตอยู่เลยช่างน่าเสียดาย!
การมีเงินมีทองที่หามาได้แท้จริงก็เพื่อเป็นสื่อสิ่งกลางการแลกเปลี่ยนเพื่อส่งเสริมการมีชีวิตที่สะดวกสบาย
หาใช่การเก็บสะสม แต่ละคนย่อมต้องมีหนทางและทัศนะคติต่อการใช้เงินไม่ได้อยู่ที่ต้องมีมากหรือน้อย
สุดท้ายสิ่งที่ทุกคนต้องการก็เพื่อให้วิถีชีวิตก้าวหน้าไปในสันติสุขนั่นเอง
มีบ้างบางครั้งที่เราหลงไปแบกใส่ไว้จนล้นบ่า จนล้าและทุกข์ท้อ
แต่ขออย่าให้ต้องล้มละลายทางด้านจิตใจกันเลย
เหล่าลิ่ว
เป็นคนยากจนตลอดชีวิต ได้เห็นการอพยพของผู้คนที่หนีความอดอยากหิวโหยยิ่งทียิ่งมากขึ้น
ที่สุดเหล่าลิ่วแบกสมบัติทั้งหมดที่มี คือ มันเทศกระสอบหนึ่ง เข้าร่วมในกลุ่มคนอพยพที่หนีความอดอยากด้วย
ระหว่างทาง เหล่าลิ่วพบเห็นพ่อลูกคู่หนึ่งที่หิวจนเหลือแต่ลมหายใจเฮือกหนึ่ง บนหลังของผู้เป็นพ่อก็แบกของ
ถุง ๆ หนึ่งที่ดูท่าหนักอึ้ง เมื่อเขาเห็นเหล่าลิ่วแบกมันเทศไว้มากมาย จึงขอเหล่าลิ่วหัวหนึ่งเพื่อให้เด็กกิน
เหล่าลิ่วไม่ยินยอม
คนผู้นั้นจึงพูดว่า
“เจ้าขายให้ข้าได้หรือไม่ ?”
พูดจบก็นำเงินที่แบกไว้กลางหลัง
เทลงบนพื้นทั้งหมด เหล่าลิ่วเห็นเงินแล้วถึงกับตาค้าง เพราะว่าเขายากจนมาทั้งชีวิต
แม้แต่ในฝันก็ไม่เคยฝันเห็นเงินมากมายขนาดนี้
จึงตัดสินใจขายมันเทศทั้งหมดแลกกับเงินมากมายกองนั้น
เหล่าลิ่ว
แบกถุงเงินเริ่มเดินทาง เขากลัวว่าสองพ่อลูกคู่นั้นจะเปลี่ยนใจกลับคำพูด จึงรีบเร่งเพิ่มความเร็วของฝีเท้ารุดเดินไปข้างหน้า
หลายวันต่อมา เหล่าลิ่วเดินไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เพราะตลอดทาง เขาหาซื้อของกินไม่ได้เลย
สองพ่อลูกที่ซื้อมันเทศจากเขา ก็เดินตามมาทันเขา เหล่าลิ่วมองดูมันเทศที่อยู่กลางหลังของผู้ชาย
เขาเริ่มเสียใจ เขาเดินตามไป คิดที่จะซื้อมันเทศกลับคืนมา ทว่า
ผู้ชายคนนั้นอย่างไรก็ไม่ยอมขาย
เหล่าลิ่วนั่งลงบนพื้นด้วยความผิดหวังโอบกอดเงินของเขาไว้ แล้วตายลงท่ามกลางความหิวโหย...
เงินในสภาวะหนึ่งย่อมมีค่ามหาศาล
แต่อีกในสภาวะหนึ่งก็คือสิ่งถ่วงรั้งให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ ตลอด
2-3 วัน ที่น่าน เงินไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่สุด
เพราะค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ไม่ได้แพงมากมาย
คนที่นี่ไม่ได้คิดเอาเปรียบคนจากถิ่นอื่น แต่ตรงกันข้ามมักมีคำแนะนำที่มีค่าสำหรับการพักผ่อน
หรืออาจจะเป็นเพราะในน่านมีวัดมากมายในทุกมุมเมือง และแต่ละวัดล้วนงดงาม
วัดที่เป็นเสมือนแก่นกลางที่ยึดโยงจิตใจผู้คนให้สงบร่มเย็น แน่ล่ะ
อาจจะมีคนย้อนขึ้นมาว่า เราไปน่านเพียงไม่กี่วัน แล้วเอาอะไรมาวัดว่าคนที่นั่นมีความสุข
ใช่ ในแต่ละที่ย่อมมีทั้งสุขและทุกข์
เราไปเรียนรู้ความสุขจากที่ที่เราไปเพื่อให้ใจเรามีสันติเพิ่มขึ้น
ใช่หรือไม่
เรามิอาจจะหลีกเลี่ยงกับการหาเงินแบบเอาเป็นเอาตายในสังคมเมืองได้
แต่เราเลือกที่จะหยุดพักและก้าวเดินออกจากเส้นทางนั้น ให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายและสุขลักษณะทางจิตใจบ้าง
และแน่นอนแต่ละคนแต่ละความคิดย่อมแตกต่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
ขอให้เส้นทางเหล่านั้นเกิดความงาม อย่าให้เกินอย่าให้ขาด ลดความโลภเพื่อความรัก
ลดการแข่งขันมาแบ่งปัน ลดความเห็นแก่ตัวมาเห็นแก่กันและกัน
เท่านี้ชีวิตก็สดใสไร้กังวลปล่อยวางของบนบ่าลงบ้าง นั่งชมริมทาง
ไตร่ตรองว่าอะไรควรทิ้งไว้กลางทาง แล้วค่อยเดินหน้าต่อ ชีวิตที่ไม่หนักเกินไปย่อมมีความสุขในการก้าวเดิน..