วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เพราะรัก จึงภักดี

เพราะรัก จึงภักดี
เย็นวันจันทร์
ด้วยความคุ้นเคยของคนคุ้นชินที่มักแวะเวียนไปจับจ่ายดอกไม้ที่ปากคลองตลาด ในวันนี้ ณ ที่ตรงนี้ไม่เหมือนเดิม ถนนถูกปิด ปกคลุมไปด้วยดอกไม้ที่สวยงาม ชุมชนและพ่อค้าแม่ขายดอกไม้ต่างร่วมใจภักดิ์ ช่วยกันทำให้บริเวณนี้กลายเป็นสวนสวย ดอกไม้เพื่อพ่อถูกเนรมิตขึ้นอย่างงดงาม ในเย็นวันนั้นผู้คนต่างหลั่งไหลมาเยี่ยมชม จนแทบไม่มีช่องว่างทางเดิน คนจัดงานจึงต้องจัดการเพื่อให้ทุกคนเข้าชมได้อย่างทั่วถึง ด้วยการปล่อยทีละชุดประมาณชุดละ 50 คน ที่เหลือก็ยืนรอ แม้จะร้อนและแออัด แต่ด้วยคำพูดที่ผู้ดูแลจัดการแถวได้พูดถึงความรักที่เรามีต่อพ่อหลวง ทำให้ทุกคนมีใจเป็นหนึ่ง เกิดพลังรักสามัคคี ถ้อยทีถ้อยอาศัย จนทำให้การรอนั้นไม่ได้ใช้เวลานานนัก เมื่อทุกคนอยู่ในระเบียบไม่เอาเปรียบกัน ก็เกิดความราบรื่น เนื่องเพราะเรารักพ่อหลวง เราจึงรักทุกคนที่เป็นลูกพ่อเหมือนเรา


เย็นวันอังคาร
สายฝนกระหน่ำใส่เมืองหลวงอีกรอบ ในวันที่มีประชาชนจากทั่วสารทิศมาจับจองที่ว่างใกล้กับท้องสนามหลวง ยอมตากแดดตากฝน สู้อดทนเพื่อร่วมชมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ อย่างใกล้ชิด และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรพ่อหลวงผู้สถิตในใจไทยนิรันดร์ จิตอาสา เจ้าหน้าที่ ต่างเต็มใจที่จะคอยอำนวยความสะดวก เห็นปวงชนคนไทยไม่ท้อถอย อดทนรอเพื่อน้อมเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว ยิ่งเห็นเลยว่าไม่มีคนชาติไหนในโลกที่รักกษัตริย์ถึงเพียงนี้ เพราะพระองค์ท่านรักคนไทย เราคนไทยจึงรักและอาลัยต่อพระองค์ท่านอย่างสุดจิตสุดใจ


เช้าวันพุธ 
วันที่ต้องส่งต้นฉบับ ตื่นเช้ามาอ่านข่าวสาร เห็นบรรยากาศเช้านี้ที่ผู้คนมุ่งหน้าสู่บริเวณพื้นที่พระราชพิธี ท้องสนามหลวง ทยอยเข้าจุดคัดกรองบริเวณต่าง ๆ ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ท่านมากขึ้น เรื่องหนึ่งที่ได้อ่านเจอในเพจของคุณวินทร์ เลียววาริณ ยิ่งทำให้เราคิดถึงและรักในหลวง รัชกาลที่ ๙ สุดจิตสุดใจ ทุกพระราชกรณียกิจ พระองค์มีความรักอยู่ในทุกกรณีที่ทรงกระทำจริง ๆ 
ทางขึ้นดอยเป็นดินสีแดง เป็นหลุมเป็นบ่อ โคลนหนาเฉอะแฉะ รถคืบคลานขึ้นไปอย่างเชื่องช้า กระนั้นพระองค์ก็เสด็จมาถึงจนได้
เขากับชาวบ้านรอรับเสด็จด้วยใจยินดี เมื่อพระองค์เสด็จมาถึง ได้พระราชทานแกะ ไก่ แพะ ให้เขานำไปแจกจ่ายชาวบ้านเขาสืบเชื้อสายเผ่าลาหู่ ปักหลักบนดอยนี้มาตั้งแต่จำความได้  บรรพบุรุษของเขาอพยพมาจากทิเบตตอนใต้ มาอยู่ที่ภาคเหนือนานกว่าศตวรรษแล้ว เขากราบทูลรายงานว่า ชาวบ้านบนดอยยังคงทำไร่เลื่อนลอยและปลูกฝิ่น มองไม่เห็นว่าจะแก้ปัญหายาเสพติดนี้ได้อย่างไร พระองค์ทรงสดับตรับฟังเงียบ ๆ 
สองปีต่อมา พระองค์เสด็จกลับมาอีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่ทรงติดมาด้วยคือกล้าไม้ มันคือชาพันธุ์อัสสัม หน้าที่ของเขาคือปลูกและขยายพันธุ์ส่งต่อให้ชาวบ้านปลูกแทนฝิ่น เขานำชาลงดิน มันเป็นชาต้นแรกที่ได้ฝังรากฝากชีวิตในผืนแผ่นดินนี้ และพวกเขาก็จะฝากชีวิตกับมัน 
ภาพ  http://www.chiangmainews.co.th/page/wp-content/uploads/2016/11/p-115-1.jpg
วันเดือนปีเคลื่อนผ่าน ไร่ฝิ่นแปลงเป็นไร่ชาเขียวขจีทั่วหุบเขา ต่อมาก็ขยายเป็นพื้นที่ปลูกผลไม้เมืองหนาว หลังจากปลูกชาและพืชเมืองหนาวแล้ว พบปัญหาการจำหน่าย พระองค์ก็ทรงมอบเงินทุนให้เขาเปิดร้านค้าชาวเขา เป็นศูนย์กลางรับผลผลิตของชาวบ้านมาจำหน่าย ตรัสกับเขาว่า “อย่าทอดทิ้งชาวบ้าน” พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งพวกเรา... เขาคิด ฉันจะทอดทิ้งชาวบ้านได้อย่างไร : คุณตาจะฟะ ดอยปู่หมื่น ราษฎรในรัชกาลที่ 9 ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 11 พฤศจิกายน 2559
(วินทร์ เลียววาริณราษฎรในรัชกาลที่ 9)

ภาพ https://www.thairath.co.th/media/CiHZjUdJ5HPNXJ92GP7JM7OSC87VTbERS6.jpg

วันพฤหัสฯ วันที่ยังมาไม่ถึงและไม่อยากให้มาถึง
เป็นวันที่บทความนี้ส่งไปแล้ว วันนี้คงเป็นวันเศร้าๆ เหงาหงอยที่สุดของประเทศไทย ไม่อยากให้มีวันพฤหัสฯ ที่ 26 ตุลาคม 2560 เป็นวันที่อยากจะขอข้ามผ่าน นี่เป็นความรู้สึกของเราทุกคน ใช่หรือไม่ วันเวลาเป็นมาเช่นนี้ และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป มีพบมีจาก มีรู้จักมีบอกลาหากหัวใจเต็มด้วยรัก ความภักดีก็ไม่มีเสื่อมคลาย จากวันนี้ไปเราต้องร่วมกันเดินหน้า ทำหน้าที่ของคนผู้หนี่งซึ่งมีความรักเป็นธงนำหน้า มอบรักเมตตาให้กัน จดจำพระองค์ท่านด้วยการทำตามสิ่งที่พระองค์ท่านมอบหมายพระแบบฉบับไว้เป็นปลายทางหมายหมุดของการดำเนินชีวิตให้เรา ภักดีต่อพระองค์ท่านก็อย่าลืมที่จะรักเมตตาอาทรต่อกันตลอดไป แล้วพระองค์ท่านจะสถิตอยู่กับเราเป็นนิรันดร...

วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ทางฝนทางคน

ทางฝนทางคน
ในระหว่างทางกลับจากการไปหาซื้อต้นดาวเรืองแถว ๆ บางใหญ่ บางบัวทอง เกิดมีฝนเทกระหน่ำลงมาจนแทบมองไม่เห็นทาง ทำให้การตระเวนหาซื้อต้องยุติลง เนื่องด้วยในแต่ละร้านราคาสูงขึ้นตามกลไกตลาด มีคนนิยมมากก็ดันให้ราคาขึ้นสูง จะหาร้านถูก ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หรือว่าฟ้าบอกทำเท่าที่ควรเป็นพอดีแล้ว ต้นดาวเรื่องก็แค่เครื่องประดับสัญลักษณ์ภายนอกที่แสดงถึงความเคารพภักดีต่อพระองค์ท่านในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไม่ต้องมีมากก็ได้ ขอให้เราเดินบนทางแห่งความดีนี่ต่างหากคือความภักดีที่มิมีวันเสื่อมคลาย




ในวันที่ ๑๓ ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นวันครบหนึ่งปีที่พ่อหลวงอันเป็นที่รักของเราเสด็จสู่สวรรคาลัย ตั้งแต่เช้าพสกนิกรต่างออกมาทำบุญ มีพิธีกรรมตามความเชื่อทางศาสนาของแต่ละคน เพื่อดวงพระวิญญาณฯ ในช่วงดึก ๆ ฟ้าร้องไห้ขนาดใหญ่ จำได้ว่าตื่นมาด้วยความงัวเงีย เพื่อดูว่ามีน้ำรั่วน้ำไหลเข้าบ้านตรงไหนบ้างหรือเปล่า พอรุ่งเช้าข่าวสารไหลหลั่งดั่งฟ้าฝนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา หลายที่หลายทางเต็มไปด้วยน้ำฝน ทางกลายเป็นลำธารน้ำอย่างดี รถกลายเป็นเรือ หรือว่า ทุกสรรพสิ่งถึงเวลาก็ต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม ใช่หรือไม่ กรุงเทพฯ เราเคยมีลำคลอง ลำน้ำ ใช้เรือสัญจร แต่เราแปลงบ้านสร้างตึกเพื่อพัฒนาให้ก้าวไกล โถมที่จนลำคลองไม่มีให้เห็น พัฒนาเป็นท่อฝั่งดินที่ไม่รู้ว่าจะตันตรงไหนบ้าง เห็นความเดือดร้อนของผู้คนก็ยิ่งคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ เพราะพระองค์ท่านทรงศึกษาวิจัยเรื่องน้ำไว้มากมาย เมื่อเมืองน้ำลำคลองหายพระองค์ท่านก็คิดทำโครงการแก้มลิง ผันน้ำลงไปกักเก็บ เวลามีน้ำหลาก ที่ใดมีความเดือดร้อนพระองค์ท่านจะคิดจะหาทางแก้ไขโดยเร็ว 
ย้อนกลับไปท่ามกลางสายฝนระหว่างทางกลับวันนั้น ต้องจอดรถข้างทางรอฝนซา ครั้นจะลงไปดูต้นไม้อีกก็ลงไปไม่ได้ ครั้นจะเดินทางต่อก็ไม่ไหว หยุดพักรถคือทางที่ดีที่สุด ทางของคนเราบางที ก็ต้องพักระหว่างทางบ้างเพื่อจะได้ก้าวเดินหน้าต่อไป ในระหว่างทางทุกข์ยาก ในระหว่างที่พักอยู่นั้น หากเราได้รับกำลังใจเพียงน้อยนิด ชีวิตของเราก็มีกำลังมากขึ้น ลุกเดินก้าวต่อไป ใครที่ให้น้ำเพียงแก้วเดียวแก่ผู้หิวโหย ก็เหมือนให้ชีวิตแก่คนผู้นั้น ในหนทางของคนเรา การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะสถิตอยู่ในใจเป็นนิรันดร์ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จะมีสักกี่คนที่ทำได้เช่นนั้น เราผู้ที่ยังเดินอยู่ในเส้นทางที่มีลมหายใจอยู่นี้ ขอแค่เรามีจิตใจเอื้อเกื้อกูลกันเพียงเล็กน้อย เราก็เป็นผู้สร้างทางแห่งความหวังให้กับผู้คน ทางแห่งความหวังก็จะเป็นทางแห่งความงดงามตลอดไป พระแบบฉบับของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้ทำให้เราชาวไทยได้มีหนทางชีวิตที่งดงามขึ้นได้ไม่มากก็น้อย พระองค์ท่านเริ่มต้นภารกิจแห่งรัชกาลครั้งแรกด้วยการเห็นอกเห็นใจ ก็ทำให้ปวงประชาที่ตกอยู่ในทางทุกข์ยากได้ลืมความลำบากและลุกขึ้นยืนนำมาซึ่งความผาสุก ตราบจนทุกวันนี้




เสด็จเยี่ยมราษฎรครั้งแรกในรัชกาล...  วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดบ้านโป่ง จ.ราชบุรี ราษฎรได้รับความเดือดร้อนครั้งนี้อย่างมาก หลายคนหมดเนื้อหมดตัวจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ในขณะที่ชาวตลาดบ้านโป่งกำลังท้อแท้สิ้นหวังกันอยู่นั้น
ในวันที่ ๑๓ กันยายน เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระบรมราชินี ทรงขับรถพระที่นั่งมายังที่เกิดเหตุด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยสมุหราชองครักษ์ โดยไม่มีหมายกำหนดการ และไม่มีใครได้รู้ล่วงหน้า
ทั้งนี้ทรงมีพระราชประสงค์มิให้เจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังมีภาระช่วยเหลือราษฎร ต้องวางมือมารับเสด็จ ทรงขับรถพระที่นั่งออกจากพระที่นั่งอัมพรสถานโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถวายอารักขาก็ไม่ทราบ ตามมาทันก็ต่อเมื่อทรงแวะเสวยพระกระยาหารที่พระที่นั่งชาลีบรมอาสน์ พระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม
รถยนต์พระที่นั่งได้วนรอบบริเวณที่เกิดอัคคีภัย ทรงไต่ถามทุกข์สุขของผู้ประสบอัคคีภัย นายแม้น อรจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ซึ่งกำลังดูแลการช่วยเหลือประชาชนอยู่ ได้เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลถวายรายงานและอัญเชิญเสด็จไปประทับบนที่ว่าการอำเภอบ้านโป่งซึ่งรอดจากไฟ ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน ๑ แสนบาท พร้อมให้เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ อ.ส. นำเสื้อผ้าอาหารและยารักษาโรคไปพระราชทานแก่ผู้ประสบทุกข์ เสด็จกลับเมื่อเวลา ๑๕.๓๐ น.
การเสด็จเยี่ยมตลาดบ้านโป่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินี ในขณะที่ราษฎรกำลังทุกข์สาหัสครั้งนี้ ทำให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวสิ้นหวังของชาวตลาดบ้านโป่ง กลับมีชีวิตชีวา มีพลังที่จะเผชิญชีวิตกันต่อไป และเป็นเรื่องราวที่เล่าถ่ายทอดให้ลูกหลานได้รับรู้ถึงความประทับใจมาจนทุกวันนี้



ทางฝนกลายเป็นธารน้ำได้ฉันใด ทางคนก็กลายเป็นทางธรรมนำได้ฉันนั้น แต่....ทั้งหลายทั้งปวงจะต้องมีความสมดุลไม่มากไปไม่น้อยไป มากไปก็สร้างความลำบาก น้อยไปก็ขาดแคลน ชีวิตเราต้องสร้างทางเพื่อมุ่งสู่ความสันติสันสุข หาใช่เพื่อชื่อเสียงเรียงนามเท่านั้น

วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หยุดเพื่อก้าวต่อไป

หยุดเพื่อก้าวต่อไป
ในระหว่างทางขับรถไปทำภารกิจที่หัวหิน ขณะที่ต้องผ่านวังไกลกังวล ได้พูดกับทุกคนในรถว่า พวกเรากำลังจะผ่านบ้านพ่อ โดยไม่ต้องกล่าวอะไรต่อ ทุกคนต่างยกมือไหว้กราบสวัสดีพ่อหลวงผู้สถิตในดวงใจเราทุกคน เพียงผ่านประตูรั้ววังความรู้สึกว่าคิดถึงพระองค์ท่านก็พลันบังเกิดขึ้นอย่างมากมาย พระองค์ผู้ที่เราคนไทยทั้งประเทศกำลังเศร้าอาลัยต่อการจากไปแบบไม่มีวันหวนคืนกลับมาจนมาถึงวันครบหนึ่งปี มีเรื่องราวมากมายที่ทิ้งความทรงจำอันงดงามไว้ให้เราได้เรียนรู้ ให้เราได้มีกำลังใจในการก้าวต่อไปในวันข้างหน้า ด้วยการช่วยกันสร้างความดีต่อสังคม ต่อผู้อื่น การจากลาของใครคนใดคนหนึ่งมีค่าควรจดจำนั่นเป็นผลมาจากการกระทำตอนที่มีลมหายใจอยู่


เมื่อมาถึงที่หมายมีเวลามายืนริมหาดมองดูผู้คนผ่านไปผ่านมา เราไม่ใคร่จะสนใจใยดีนักว่าคนเหล่านั้นเป็นใครมาจากไหน เราเหมือนต่างคนต่างผ่านกันเลยไป ความเป็นพี่น้องคนไทยน้อยลงไปทุกที เราต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเก็บเกี่ยวและกอบโกย ต่างคนต่างไม่ใส่ใจกันแม้กระทั่งคนในสถานที่เดียวกัน ยังต่างคนต่างอวดเบ่ง ต่างคนต่างดูแคลนหยามหยันกัน อาจจะด้วยฐานะ ด้วยตำแหน่งที่ใหญ่กว่า จนอดคิดไม่ได้ว่า พระองค์ท่านผู้ที่เป็นเจ้าแผ่นดิน บ่อยครั้งท่านมิได้อวดใหญ่อวดโต รู้จักที่จะเคารพต่อผู้อื่นตลอดมา ดังมีผู้ทำงานใกล้ชิดได้เล่าไว้ในหลาย ๆ เรื่อง
25 พ.ย. 2535 ดึกคืนนั้นในหลวง ทรงขับรถยนต์พระที่นั่ง Jeep Wagoneerด้วยพระองค์เองไปยังลำพะยัง บ้านกุดตอแก่น เพื่อวางแผนจะสร้างอ่างเก็บน้ำไว้กักเก็บน้ำให้ชาวบ้าน ทรงขับไปยังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยถนนขรุขระสุดๆ เป็นทางเกวียน ชายป่าละเมาะ รถกระเด้งกระดอน พอถึงก็เสด็จพระดำเนินต่อ ท่ามกลางความมืดไปในทุ่งนาตะปุ่มตะปุ่ม โดยมีไฟฉายของมัคคุเทศน์ส่องนำทางเท่านั้น พอถึงสระบัวของชาวบ้าน มีรั้วลวดหนามกั้นอยู่ เส้นทางต้องผ่านที่นี่เข้าไป ในหลวงทรงห้ามไม่ให้ตัดลวดหนาม โดยทรงให้เจ้าหน้าที่ถ่างลวดหนาม แล้วพระดำเนินมุดรั้วลวดหนามเข้าไป



ความรู้สึกของผม (อธิบดีกรมชลประทานที่ตามเสด็จ) ขณะนั้นบอกไม่ถูก นึกรำพึงในใจว่า จะมีพระเจ้าแผ่นดินหรือประมุขของประเทศไหนหนอในโลกนี้ ที่จะทรงตรากตรำพระวรกายดั้นด้นจนถึงขั้นทรงมุดรั้วลวดหนาม เพื่อเสด็จไปทรงหาน้ำให้ราษฎร ยิ่งกว่านั้นพระองค์ท่านทรงหันกลับมามีพระราชดำรัสเตือนว่า....
อธิบดีอย่าลืมซ่อมรั้วให้เขานะ
คืนนั้นขณะที่คนไทยกำลังดูละคร หรือหลับไปแล้ว แต่ ณ บ้านกุดตอแก่น ชายชราวัย 65 กำลังทำงานหนักเพื่อหาหนทางช่วยเหลือลูก ๆ (เรื่องราวของพณฯท่านสวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรีและอธิบดีกรมชลประทานสมัยนั้น ~จากหนังสือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคณะองคมนตรี)
และด้วยความที่เริ่มจะคุ้นเคยกับคุณลุงสีผู้มีอาชีพขายอาหารริมชายหาด ที่เมื่อไปครั้งใดเป็นต้องถามทุกข์สุขต่อกันและกัน และมักได้รับบริการที่ดี ลุงมิได้กระทำการแบบนี้ต่อคนใดคนหนึ่ง แต่ต่อทุกคนที่เข้ามาสั่งหรือเพียงผ่านหน้าร้านลุง หลายครั้งนั่งดูลุงต้อนรับแขกทั้งคนไทยและคนต่างชาติแบบมีสัมมาคารวะ แบบเป็นกันเอง ทั้ง ๆ ที่อายุลุงไม่ได้มากขนาดแก่หง่อม แต่ทุกคนเรียกว่า ลุงได้เต็มปากเต็มคำก็เพราะความเอาใจใส่ต่อผู้คนดั่งผู้ใหญ่ใจดี บางทีคนเราก็วัดกันที่อายุไม่ได้ เราให้คุณค่าคนที่การกระทำมากกว่า เคยคุยกับลุงว่าดูอายุไม่เยอะเรียกพี่ได้มั๊ย ลุงสีหัวเราะแล้วบอกว่า คนแถวนี้เขาเรียกกันแบบนี้ นี่เป็นความน่ารักแบบไทย ๆ การเรียกขานตัวเองเพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น เหมือนเวลาพระองค์ท่านออกเยี่ยมประชาชน พระองค์ท่านมักจะให้ความเคารพและแสดงความใกล้ชิดอย่างสนิทใจต่อทุกคนที่เสด็จเยี่ยม


วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จฯ เยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย ซึ่งพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาทหลวง ทีนี้ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง
แล้วหญิงชราท่านนั้นก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดกับในหลวงว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมาย แต่ในหลวงก็ทรงเฉย ๆ มิได้มีพระราชกระแสตอบว่ากระไร
ทีนี้พวกข้าราชบริพารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤทัยหรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบกับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก !


ใช่หรือไม่ แม้ว่าเรากำลังอยู่ในช่วงแห่งการสูญเสีย และช่วงที่จะมีพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ หลายคนไม่อยากจะให้ถึงเวลาช่วงนั้น หลายคนอยากจะให้ผ่านพ้นไปโดยไม่มีพิธีในวันนั้นเกิดขึ้น เราหยุดเวลาไม่ได้ แต่เราหยุดพักจิตพักใจได้ และนำบทเรียนของพระองค์ท่านนำมาเลียนแบบแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม เพื่อเราจะก้าวหน้าเดินต่อไปตามรอยพระองค์ท่าน

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

อยู่บนที่สูง

อยู่บนที่สูง
อยู่ ๆ ก็มายืนตรงหน้าผาสูงชัน รับลมชมพื้นราบที่อุดมสมบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ชีวิตยังวน ๆ เวียน ๆ อยู่ในเมือง ณ ที่ตรงนี้ผาหัวนาค มอหินขาว จังหวัดชัยภูมิ เป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือน หลีกชีวิตคนเมืองที่ดูจะว้าวุ่น รุงรัง ความจริงใจหาได้น้อย ต่างคนต่างถอยห่างกันไปตามแต่ผลประโยชน์ที่มีต่อกันมากน้อย มาใช้วิถีชีวิตที่ท่องไปในโลกกว้าง ไตร่ตรอง ท่องเที่ยว ทำให้มีเวลารำพึงถึงวันเวลาที่ผ่านมา ได้มายืนอยู่บนที่สูงย้อนมองดูชีวิตเรา ที่เคยพลาดพลั้ง ที่เคยล้มเหลว แต่ไม่เคยหมดศรัทธาในตัวเอง เคยเป็นหัวหน้าคน เป็นลูกพี่ของหลาย ๆ คน ด้วยภาระหน้าที่ ที่มีบ้างทำให้ผู้ร่วมงาน ผู้เกี่ยวข้องต้องหวาดกลัว เสียขวัญและมีไม่น้อยที่ได้ช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยาก โดยไม่คิดถึงผลประโยชน์อันใด แม้จะทุกข์จะเจ็บก็ยอมทน ที่ที่ยืนอยู่ทำให้เห็นท้องฟ้าและแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว ฟ้าจรดดิน แผ่นดินโอบกอดฟ้า ต่างพึ่งพาพึ่งพิงอิงเอื้อเกื้อกูลกัน และนี่กระมังเป็นที่มาของความสมบูรณ์ทางธรรมชาติบนภูแลนคา



ในสังคมของเราหากมีการช่วยเหลือกันโดยมิได้แบ่งฝ่ายที่สูงด้วยศักดิ์ด้วยหน้าที่ด้วยยศ คนสูงส่งแผ่เมตตาสู่ผู้ที่ต่ำกว่า ถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่ก็ชัดเจนของใครของคนนั้น ส่งเสริมกันและกันตามความสามารถของแต่ละคน สังคมแบบนี้น่าจะเป็นสังคมอุดมสุข แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตมักมีหลากหลายมิติ ใช่หรือไม่ บางทีบางครั้งบางคนเราเป็นดั่งฮีโร่ และมีบ้างบางหนเป็นตัวโง่งมในสายตาของบางคน แต่กับผืนฟ้า ผาชัน ทำให้เราน้อมนบเคารพต่อทุกสรรพสิ่งสร้าง ใครเล่ายิ่งใหญ่กว่าฟ้า ลึกล้ำกว่าเหว เยือกเย็นเหมือนขุนเขา ฉ่ำเย็นดุจสายน้ำ คงไม่มี !!!! จะชิงชัง แก่งแย่ง หลอกลวง กันไปใย... ในวันนี้เราเห็นหลายต่อหลายคนมักชอบขึ้นไปให้สูง ชอบที่จะอยู่เหนือคนอื่น เมื่อไปถึงแล้วกลับใช้พื้นที่ตรงนั้นเป็นชัยภูมิเที่ยวทำร้ายผู้อื่น เหมือนกับข่าวเศร้าต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา



เกิดเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญที่ลาสเวกัส เป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ของความโหดร้ายที่มนุษย์ทำกัน และเป็นสิ่งที่ไม่น่าจดจำ ในงานคอนเสิร์ตกลางแจ้งเทศกาลดนตรีมีผู้คนเรือนหมื่นซึ่งจัดขึ้นใกล้กับโรงแรมมัณฑะเลย์ เบย์ บริเวณแหลมลาสเวกัส ในเมืองลาสเวกัส ค่ำคืนอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม ท่ามกลางความสนุกสนาน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 59 ราย และบาดเจ็บอีกมากกว่า 500 คน นายสตีเฟน แพดด็อค อดีตนักบัญชีเกษียณอายุ วัย 64 ปีและร่ำรวยในระดับหนึ่ง ซึ่งกราดยิงด้วยปืนกลอัตโนมัติลงมาจากที่สูง ห้องพักบนชั้นที่ 32 ของโรงแรมมัณฑะเลย์ เบย์ เขาใช้ค้อนทุบกระจกแล้วกราดยิงแบบไม่หยุดใส่ฝูงชนยาวนานกว่า 15 นาที ผู้คนในงานต่างคนต่างวิ่งหากำบังหลบห่ากระสุน ปกติหากมีการยิงปืนกลใส่ในลักษณะนี้มักจะเกิดขึ้นในที่ราบ การยิงใส่เป้าหมายก็จะเป็นแนวราบ ผู้คนสามารถนอนหมอบกับพื้นเพื่อความปลอดภัยได้
ระหว่างเกิดเหตุชุลมุนอยู่นั้น ในความดำมืด ยังมีแสงสว่างเล็ก ๆ ที่ปลายอุโมงค์ เมื่อหญิงสาวรายหนึ่งรอดตายมาได้โดยที่สามีของเธอใช้ตัวเองเป็นโล่ นอนหมอบทับร่างเธอไว้เพื่อกำบังกระสุนปืนที่กราดลงมาจากชั้นบนของโรงแรม ในขณะนั้นเขาถูกยิงและได้เสียชีวิตลงในภายหลัง เช่นเดียวกับมือปืนจอมโหดที่ได้ฆ่าตัวตายก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะบุกเข้าไปถึงห้องนั้น



            อยู่บนที่สูง สูงเท่ากับฟ้า ถ้ามีจิตใจใฝ่ต่ำความมือดำก็จะปกคลุมชีวิต ต่อให้มีทรัพย์สินในครอบครองมากเท่าใดก็ยังหาความเป็นสุขไม่ได้ ในยุคที่เราถูกปลูกฝังให้เห็นคุณค่าในสิ่งสมมติจนเกินไป ทำให้เราต่างฝ่ายต่างฝันอยากขึ้นไปอยู่ให้สูงกว่าผู้อื่น พยายามเลือกที่มั่นให้เหมาะกับการให้ได้มา แล้วเราก็หลงทางคิดว่า การอยู่บนที่สูงนี้ปลอดภัย หนำซ้ำยังสามารถเลือกที่จะทำร้ายคนคิดต่างจากเราได้ แต่หารู้ไม่ บนที่สูงแบบนั้นเหมือนกับยืนตรงหน้าผาที่จะตกลงสู่หุบเหวลึกเมื่อไรก็ได้ บนที่สูงมักมีพื้นที่ให้ยืนไม่มากนัก จุดตรงนั้นจึงมักโดดเดี่ยวไม่เกี่ยวข้องแวะกับผู้ใดและบางทีก็ไม่มีใครกล้าไปข้องแวะ ไร้ความสัมพันธ์ ขาดเพื่อนมิตรสหายที่จะคอยห่วงใย ทำอะไรมักไม่มีคนตักเตือน ยิ่งสูงยิ่งหนาวดั่งที่มีผู้เคยกล่าวไว้



            แน่ล่ะ หลายคนอาจจะต้องไปอยู่ไปยืนบนที่สูง แล้วเราจะเลือกยืนแบบไหน เมื่อได้พื้นที่ตรงนั้นมาครอบครอง จะสูงแบบกราด อาละวาดข่มทุกผู้คน หรือจะสูงแบบแผ่เมตตาต่อทุกผู้คน ในทุก ๆ ที่ที่เรายืน ในทุก  ๆ จุดที่เราอยู่ ย่อมมีคุณค่าต่อตัวเองและผู้คนรอบข้างได้เสมอ หากเราตระหนักถึงความดีที่ต้องมีในหัวใจ ความเมตตาที่เป็นหัวเรือนำพาสู่ฟากฝั่งแห่งสันติ อย่าได้ใช้ความได้เปรียบเข้าทำลายทำร้ายกัน รู้จักประเมินประมาณ และไตร่ตรองคัดกรองการกระทำของเราในทุกช่วงเวลา อย่าหลงทิศหลงทางกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เพราะบางทีเราได้ก่อทุกข์ให้เกิดขึ้นกับผู้คนทั้งแบบไม่รู้ตัวและรู้ตัวดี การไปอยู่บนที่สูงและทำไม่ดีก็มีแต่คนสาปส่ง หรือเป็นแค่คนธรรมดาที่ปกป้องใครสักคนด้วยชีวิต ย่อมมีความหมายและเป็นที่สรรเสริญกับผู้คนทั้งโลก ชีวิตนี้เลือกได้ ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่ใดในโลกหล้า.