ฟ้าอยากร้องไห้
ท่ามกลางกระแสฝนถล่มกรุงฯในวันเปิดเทอม และในวันต่อ ๆ มา
สร้างความยากลำบากในการเดินทางสัญจรยามเช้า พ่อแม่ที่ต้องส่งลูกหน้าโรงเรียนด้วยความทุลักทุเลรถราติดยาวเหยียด
ใช้เวลาเดินทางยาวนานเหมือนกับการเดินทางไปต่างจังหวัดอย่างไงอย่างนั้น
ช่วงนี้เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการตามคำประกาศของกรมอุตุฯ สำหรับเราคนเมืองอาจจะรู้สึกไม่สะดวกสบายกับฟ้าร้องไห้แบบนี้
แต่สำหรับเกษตรกร ชาวไร่ชาวนา นี่คือสวรรค์ประทานโอกาสของการเพาะปลูก
และผลผลิตที่สมบูรณ์ในวันข้างหน้า โลกมีสองด้านหลากหลายมิติเสมอ
ไม่ว่าเราจะอยู่ไหน อากาศจะเป็นเช่นไร เราก็ยังเป็นเราเช่นเดิม
และสิ่งที่ต้องมีตามมาคือการรักษาสุขภาพ อย่าให้สายฝนนำไวรัสไข้หวัดมาสู่ร่างกาย
ไม่เช่นนั้นแล้วเราได้ร้องไห้เป็นเพื่อนฟ้าเป็นแน่แท้...
ในขณะที่เราจมอยู่กับกระแสฝน โลกทั้งใบก็กำลังตกอยู่ในกระแสระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่ถูกโจมตีด้วยมัลแวร์จับไฟล์เป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่ สำหรับมัลแวร์นี้ชื่อว่า
WannaCry (อยากร้องไห้) ทางสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
(องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ได้เผยแพร่บทความ
ซึ่งอธิบายถึงมัลแวร์ชนิดนี้ ระบุว่า มัลแวร์ WannaCry จัดอยู่ในประเภท
Ransomware ซึ่งจะระบาดผ่านช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการวินโดวส์
ที่ไม่อัพเดตหรือไม่ปรับระบบ โดยมัลแวร์ดังกล่าวมีจุดประสงค์หลัก
เพื่อเข้ารหัสลับข้อมูลในคอมพิวเตอร์เพื่อเรียกค่าไถ่ หากไม่จ่ายเงินตามที่เรียก
จะไม่สามารถเปิดไฟล์ได้ โดยมัลแวร์ชนิดนี้ยังสามารถกระจายตัวเองจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น
ๆ ในเครือข่ายได้โดยอัตโนมัติ ล่าสุดคอมพิวเตอร์กว่า 1 แสนเครื่องทั่วโลก
ติดมัลแวร์ดังกล่าวแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา โรงพยาบาลในอังกฤษกว่า
10 แห่ง ต้องระงับการให้บริการบางประเภท ขณะที่นักวิชาการต่างชาติเชื่อว่า
กลุ่มแฮกเกอร์ได้ขโมยมัลแวร์ชนิดนี้มาจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NSA)
ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา (ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th) วิธีป้องกันง่ายสุดคืออัพเดตโปรแกรมให้เป็นปัจจุบัน
จากสองเรื่องสองเหตุการณ์นั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่สอดรับกัน
ใช่หรือไม่ ในชีวิตจริงของเราอาจจะมีช่วงเวลาที่อยากร้องไห้เพราะถูกกระทำและเราทำให้คนอื่นต้องร้องไห้เพราะการกระทำของเรา
แน่ล่ะ ในบางช่วงชีวิตเราต้องรู้วิธีที่จะป้องกันตัวเอง
ต้องปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้มีช่องโหว่ที่จะให้ความต่ำทราม ความไม่งามมาลุกลามทำให้จิตวิญญาณของเราต้องร้องไห้
และเราเองก็ต้องไปรุกรานผู้อื่นจนต้องทำให้เขาเดือดร้อน ทั้งด้วยกาย วาจา แม้ว่าเราจะเป็นเพียงคนเล็ก
ๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้มีผลอะไรต่อโลกนี้มากนัก แต่สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า“เรา”นี้แหละที่จะช่วยขับเคลื่อนโลกเราให้สู่สันติสุขได้
ด้วยการกระทำความดีของเรา และความดีนี้จะยังคงอยู่ ในวันที่เราไม่อยู่ให้คนอยากร้องไห้อาลัยในความดีของเรา
มากกว่าคำต่อว่าด่าทอในวันลับหลัง และอย่าทำให้ใครร้องไห้ด้วยการไปสร้างความทุกข์ทับใส่ผู้อื่น
หากเรามั่นคงในความดีงามเราจะไม่มีวันตาย เพราะแม้ร่างกายเราจะหายไปจากโลกแต่ความทรงจำที่ดีงามต่อเราจะยังอยู่
อธิบายขยายความให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ว่าเราจะไม่มีวันตายจากความทรงจำของผู้คนถ้าเราส่งผ่าน
นิสัย บุคลิก ทัศนคติที่ดีงาม ไปสู่ลูกหลาน ยิ่งเราสร้างคุณงามความดีมากเท่าไร สิ่งเหล่านี้ก็จะถ่ายทอดมายังลูกหลานมากขึ้นเท่านั้น
นี่ต่างหากคือสิ่งที่เรียกว่าเราไม่มีวันตาย และจะไม่ทำให้ใครร้องไห้อีกด้วย
ถ้าเอ่ยชื่อ เดวิด เบคแฮม เราคงรู้จักเขาไม่มากก็น้อย เริ่มจากการเป็นสุดยอดนักฟุตบอล
เดวิดเป็นคนขยันซ้อมมาก ๆ กว่าเขาจะมีชื่อเสียงมาถึงวันนี้เขาซ้อมหนักมาก
สิ่งที่เขามีมา มันมาจากพรแสวง
และจากความมุ่งมั่นของคุณพ่อของเขาที่มักพาเขามาชมฟุตบอลในสนามเกือบจะทุกวันหยุด
เขาสามารถเป็นแบบอย่างของคนทุ่มเททำในสิ่งที่รักจนสำเร็จได้ดี
แม้ว่าเขาจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะระดับกลาง ๆ
อีกประการหนึ่งที่หลายคนคงพอทราบ คือเขาเป็นแฟมิลี่แมนตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง
มีลูก4คน ทั้งเดวิดและวิคตอเรีย มักจะสอนลูก ๆ
ให้มีความมุ่งมั่นและพยายามทำอะไรด้วยตัวเอง หนุ่มน้อยบรูคลีนลูกชายคนโตไปทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านอาหาร
เก็บเงินซื้อของที่อยากได้บางอย่างเอง และบรูคลีนก็ชวนน้องชายไปทำงานด้วย ว่ากันว่า
ทั้งสองคนนี้มีเงินรวมกันเป็นหมื่นๆล้าน...แต่เขาสอนลูกเขาให้เป็นคนปกติ
ไม่ดูถูกรังแกใคร ให้เห็นคุณค่าของเงิน ให้เป็นคนดีของสังคม
ให้รู้จักทำงานเพื่อหารายได้ และอยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ ได้ทุกคน แน่นอน ลูก ๆ
ของเขาก็จะพัฒนาตัวเองขึ้นตามเส้นทางของเขา โดยมีร่องรอยของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ติดตัวไปเสมอ
กลับมามองดูชีวิตของเรา เราต้องทบทวนและทาบทาสิ่งดีงามของเราให้ลูกให้หลานของเรา
เพื่อที่จะรักษาความเป็นเราต่อไป
ในฐานะที่เราเป็นคริสตชนผู้สืบทอดจากพระเยซูเจ้า
เราได้ช่วยรักษาความดีงามของพระองค์ไว้มากน้อยแค่ไหน! เราได้ทำตัวเราให้ทุกผู้คนที่ได้พบผ่าน
ได้เห็นพระองค์ในการกระทำของเรามากน้อยเพียงใด!เหตุผลที่ทำให้การกลับคืนชีพสำเร็จและดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้
มาจากการตระหนักในความเป็นคริสตชนของหลาย ๆ คน และเราควรต้องเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
การดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำดี โดยไม่มีเงื่อนไขและเรียกร้อง
การรักและให้อภัยผู้อื่นโดยไม่อิงแอบกับสิ่งตอบแทนและคำสรรเสริญ
ที่สำคัญสุดเราต้องหมั่นที่จะปรับปรุง
อัพเดตจิตวิญญาณไม่ให้เกิดช่องว่างรูโหว่อยู่เสมอ
ในยุคสมัยของวันนี้หากจิตวิญญาณอ่อนแอลงเมื่อใด เราก็จะถูกจู่โจม
โจมตีจากบาปราคะมากมีได้โดยง่ายดาย จงเชื่อมั่นในความดีงามที่ทำแม้ว่า “โลกจะไม่เห็นเรา แต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา
เพราะเรามีชีวิต และท่านก็จะมีชีวิตด้วย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น