วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

ในวันที่ต้องอยู่ในการจัดการของคนอื่น

ในวันที่ต้องอยู่ในการจัดการของคนอื่น
วันสุดท้ายในรัสเซีย(ตามตารางเวลาที่วางไว้) จู่ ๆ หิมะก็ตกลงมาทั้งวันทั้งคืนอย่างหนักหน่วง หลายคนชื่นมื่นแต่เป็นสิ่งที่น่ารำคาญและแสนเบื่อของชาวมอสโคว์ ก็คงจะเหมือนกับเรา ๆ ที่บ่นเบื่อแสงแดดที่แผดเผา สำหรับคนเมืองหนาวนี่คือสวรรค์ คนเรามักจะตื่นเต้นกับสิ่งที่แปลกใหม่ ต่างไปจากวิถีประจำวัน ระหว่างทางไปสนามบิน รถรับส่งเราได้ขอหยุดจอดเพื่อทำธุระ หลายคนวิ่งลงไปเล่นและถ่ายรูปท่ามกลางหิมะขาวโผลน และมีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า น่าจะได้อยู่ต่ออีกสักวัน!!! เสียดายหมดเวลาท่องมอสโคว์เสียแล้ว คำพูดนี้ดูจะเป็นจริงขึ้นมาเมื่อสายการบินเที่ยวกลับเมืองไทยถูกประกาศยกเลิกอย่างปัจจุบันทันด่วน เรารับรู้เพียงแค่เพื่อความปลอดภัย นั่นแหละครับท่านผู้ชม จากนั้นเราต้องเดินไปต่อแถวเรียงคิวตรวจคนเข้าเมืองอีกรอบ และไปรับกระเป๋าเพื่อไปนั่งรอรับการจัดการเรื่องที่พักและเที่ยวบินในวันถัดไป


แรก ๆ เราก็ยังใจชื้นที่ได้รับแจ้งว่ามีโรงแรมรองรับ เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละชั่วโมง รวม ๆแล้วเริ่มหลายชั่วโมง ความหิวประดังเข้ามา การจัดการก็ยังไม่ไปถึงไหน เราจึงต้องไปเรียกร้องสิทธิ์ กว่าจะได้อาหารมาทาน ต้องถามแล้วถามอีก เรื่องที่พักยิ่งห่างไกลความหวัง คิดในใจว่าคงได้นั่ง ๆนอน ๆ ในสนามบิน ทำให้คิดถึงคำพูดที่ว่า คนที่เคยอยู่ในระบบที่ทำตามคำสั่งอย่างเดียว (ระบบสังคมนิยม) จะไม่ค่อยรู้จักวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและบังเอิญเรากำลังตกอยู่ภายใต้การจัดการของคนที่เติบโตมาในระบบนี้ทั้งชีวิต ใช่หรือไม่ หลายครั้งในชีวิตที่เราต้องตกอยู่ในการจัดการของคนอื่น แบบไม่มีทางเลือก การต่อกร ต่อรองล้วนถูกปฏิเสธ จากความร่าเริง สนุกสนาน กลับกลายเป็นหงอยเหงา หิวโซ มีโมโห นี่คือวันที่เกิดเหตุการณ์พลิกพลันในสนามบิน กรุงมอสโคว์ รัสเซีย 
ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ แต่ที่แน่ ๆ ไทยแท้ถูกลอยแพด้วยการจัดการบริหารที่ต้องรอคำสั่งจากเบื้องบนอย่างเดียว ในชีวิตจริงของเรา บางทีก็เป็นคนจัดการบริหารให้คนอื่น บางครั้งมีบ้างบางหนเราต้องตกอยู่ภายใต้การจัดการจากคนอื่น จากสิ่งอื่น หลายครั้งหลายคนก็ฝากการจัดการไว้กับการดูฤกษ์ดูยาม    นานแค่ไหนก็รอคอยได้ และยังมีความสุขและความหวังเพราะความเชื่อในโชคลาง แต่วันนี้ ยุคนี้ทุกอย่างเป็นการตลาด ต้องมีการ วางแผน ไม่ใช่นึกอยากทำอะไรก็ทำ นึกอยากไปไหนก็ไป จะไปเมื่อไร ทำเวลาใดก็ได้ ทุกอย่างมีระเบียบ กฎเกณฑ์ เราจึงรู้สึกโกรธ โมโห หากทุกสิ่งไม่เป็นไปตามแผนการ แม้จะมีกลิ่นอายความเชื่อเรื่องโชคลางอยู่บ้าง แต่ความอดทนหดหายไปมาก
นอกจากนี้ชีวิตยุคดิจิทัล ต้องมีความไวความเร็วเข้าว่า วันนี้หลายอย่างต้องเร็วสุดจึงจะเป็นดีที่สุด การไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร การหมุนเงินในตลาดทั่วโลกที่ตะวันไม่เคยตกดิน และทุกอย่างต้องมีความเร็วเท่าแสง ความเร็วของคนสมัยโน้นเป็นความเร็วขนาดคนเดิน ต่อมาก็ความเร็วของพาหนะอย่างเกวียนเทียมวัวควาย ถ้ารีบเร่งมากหน่อยก็วิ่ง คนวิ่ง ม้าวิ่ง (ต่อมาใช้เทียบกับแรงรถยนต์ขนาดเท่ากับกี่แรงม้า) ผู้คนอยู่กับต้นไม้ที่ค่อย ๆ เติบโต ต้นข้าวที่ค่อย ๆ ออกรวง สุก และเก็บเกี่ยว อย่างน้อยก็หลายเดือนกว่าจะได้กินข้าว เป็นความเร็วของธรรมชาติ ไม่มีการเร่งรัด ในยุคความเร็วของเมืองอุตสาหกรรมเป็นความเร็วของเครื่องจักรกล เครื่องยนต์ รถยนต์ และปรับเข้าสู่สังคมยุคข้อมูลข่าวสาร สังคมดิจิตอลที่ความเร็วเท่าแสง อะไรเกิดที่ไหนในโลกเรารับรู้พร้อมกัน เห็นพร้อมกันหมด ข้อมูลความรู้อยู่ในซอกหลืบไหนก็ค้นคว้าหามาได้หมด ความเร็วของสังคมวันนี้น่ากลัว เร่งรีบ เร่งรัด เพื่อให้ได้ทุกอย่างเร็ว ๆ ไม่มีเวลารอ เป็นสังคมที่เพ้อฝัน ทุกอย่างเป็นความเร็วแบบกึ่งสำเร็จรูป เราจึงหมดความอดทนต่อสิ่งรอบกายง่ายกว่าแต่ก่อน และตกอยู่ภายใต้ความรวดเร็วที่บีบบังคับบัญชา ช้าคือล้าหลัง
อดีต บรรพบุรุษได้สอนให้เรารู้จักจัดการชีวิต ให้อยู่อย่างมีแบบมีแผน มีกฎมีระเบียบ มีจารีตและประเพณี มีสิ่งร้อยรัดผู้คนให้เป็นครอบครัว ชุมชน ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พึ่งพาอาศัยกัน ทำให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรามีเรา และเลี้ยงดูเรามาด้วยภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อ ๆ กัน ทุกสังคมก็คล้ายกันจนวันหนึ่งก็มีคนที่ค่อย ๆ เอาระบบใหม่เข้ามาจัดการชีวิตของเราแทนบรรพบุรุษของเรา ในนามของรัฐ ในนามของธุรกิจ เศรษฐกิจ การค้าการขาย มาจัดการให้เรากิน อยู่ และมีชีวิตอย่างที่พวกเขาอยากให้เป็น การศึกษาให้ไปโรงเรียน เจ็บป่วยให้ไปโรงพยาบาล ทำงานมาก ๆ จะได้มีเงินมาซื้อทุกอย่างที่ต้องการ...


กว่าจะได้ที่พักก็เกือบจะตีสองของวันใหม่ ทั้ง ๆ ที่โรงแรมอยู่ตรงข้ามกับสนามบิน เดินมาเพียง 10 นาทีก็ถึง แต่ทุกอย่างต้องเป็นขั้นเป็นตอน เป็นไปตามระเบียบ เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าหลายคนทนไม่ไหวกับการรอคอยที่แสนจะยาวนานและเริ่มเหนื่อยหน่าย ก็จัดการให้เราออกมายืนรอรถที่จะมารับ ท่ามกลางหิมะโปรย และรถมีเพียงคันเดียว สามารถไปได้ทีละ 10 คน ชีวิตเราก็เป็นดังนี้มักถูกผู้อื่นจัดการ เราไม่เป็นตัวของตัวเอง เราตัดสินใจเองไม่ได้ เราทำทุกอย่างที่คนอื่นคิดให้ ทำให้ สั่งให้ทำ เราพึ่งตนเองไม่ได้ เพราะการอยู่ผิดที่ผิดทาง คนเรานั้นไม่สามารถที่จะควบคุมทุกอย่างเลย

เหนือสิ่งอื่นใดหมด สิ่งที่มีค่ามากกว่าการจัดการชีวิตตนเองและชีวิตผู้อื่นนั่นคือ การมีเมตตาต่อกัน อย่าเอากฎระเบียบมากะเกณฑ์ชีวิตจนบีบรัด อย่าเอาความหละหลวมเป็นบ่วงทำให้ชีวิตต้องจมอยู่กับทุกข์เดิมเพิ่มเติมสร้างทุกข์ให้คนอื่น แน่ล่ะ ในชีวิตจริงเรามีช่วงที่ต้องจัดการตัวเองและมีช่วงที่ต้องให้คนอื่นจัดการ ถ้าทุกการจัดการ เรามีความรักและความเมตตาเป็นแก่นกลาง เราก็ไม่ต้องกังวลหรือสาละวนว่า แผนการทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เราหวังหรือเปล่า มอบทุกอย่างอยู่ในความวางใจพระเจ้าผู้เป็นเจ้าชีวิตที่แท้จริง แล้วเดินหน้าทำความดีต่อไป....

วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2560

ใต้ความอบอุ่น

ใต้ความอบอุ่น
สันติสุข สันติสุข จงมีแด่ทุกคนบนแดนแผ่นดิน
หลังจากกลับมาจากรัสเซียเพียงสัปดาห์เดียวก็มีข่าวร้ายและข่าวที่ไม่ก่อให้เกิดสันติสุขเอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นข่าวระเบิดในรถไฟใต้ดินที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และข่าวอเมริกายิงจรวดนำวิถีโทมาฮ็อว์คใส่ประเทศซีเรีย ที่มีประเทศรัสเซียเป็นเหมือนลูกพี่ใหญ่ดูแลอยู่ ไม่ว่าจะผ่านยุครุ่งเรืองเฟื่องฟูมากี่ยุคกี่สมัยคนเราก็ยังฆ่ากันในนามของ “สันติภาพ” ไม่รู้จักจบจักสิ้น หรือว่า ในหัวใจของเรานั้นมีปีศาจแห่งสงครามแฝงเร้นซ่อนอยู่ด้วยกันทุกคน แล้วทำไมเราไม่นำพาเอาพระเจ้าแห่งความสงบเข้าทดแทนได้เล่า? ในใจเราควรจะมีความรักและความเมตตาต่อกันและกัน มีความอบอุ่นเป็นที่พักพิงให้กับทุกผู้คนที่พบพาน ความอบอุ่นที่จะทำให้ทุกคนมีหัวใจแห่งความเอื้ออาทรต่อกัน ลดความแข็งกระด้างหยาบให้กลายเป็นความอ่อนโยน งดงาม เพื่อแต่งแต้มสีสันให้โลกนี้สดใส สดชื่น


นึกย้อนกลับไปในช่วงของการท่องกรุงมอสโคว์ ช่วงบ่ายของวันอาทิตย์วันหนึ่ง กลุ่มของเราได้มีโอกาสมาเดินชมและซื้อของที่ระลึกในตลาดอิสไมโลว่า หรือ จตุจักรแห่งประเทศรัสเซียกัน ตลาดนี้เป็นศูนย์กลางทางการค้าของที่ระลึก และของเก่า ของสะสมขนาดใหญ่แห่งกรุงมอสโคว์ ที่ถือว่ามีราคาถูกที่สุด และยังมีให้เลือกหลากหลาย แม่ค้าพ่อค้าส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด บางร้านพูดภาษไทยเล็กน้อย บอกราคาเราได้บ้าง แม้อากาศที่หนาวเย็นแต่เมื่อได้มาเดินเล่นดูของสวยงามที่เต็มไปด้วยสีสัน และของวันวานเก่า ๆ แบบนี้ทำให้อบอุ่นขึ้นมากเลยทีเดียว บางคนอาจจะถึงร้อนเพราะหมดเงินไปเยอะกับของที่ระลึกที่มีให้เลือกซื้อหา ตลาดนี้เปิดอย่างเต็มรูปแบบในวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีของให้เลือกหาละลานตา ของเก่าสมัยรัสเซียตกอยู่ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มีมากมาย ระเบิด กระสุน ชุดทหาร มีครบ มีร้านขายกล้องรุ่นเก่าที่สภาพยังดูดี และที่ขาดไม่ได้ที่เป็นของขึ้นชื่อคือตุ๊กตา “มารดาผู้มากมีบุตร หรือแม่ลูกดก
ตุ๊กตาสาวสีสันสดสวยที่มีลูกเล็ก ๆ ซ้อนซ่อนอยู่เป็นพรวน เป็นที่มาของชื่อ แม่ลูกดกมีชื่อตามภาษารัสเซียอันเป็นบ้านเกิดว่า มาตรีออชคา (Matryoshka )” ซึ่งแผลงมาจากชื่อสตรีภาษารัสเซีย มาตรีโอนาโดยที่การใส่ตุ๊กตาตัวเล็กซ้อนลงไปหลาย ๆ ตัวนั้น สำหรับชาวรัสเซีย เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความมีชีวิตยืนยาว นับเป็นเครื่องหมายอันเป็นมงคล
ตุ๊กตาแม่ลูกดกชุดหนึ่ง ประกอบด้วยตุ๊กตาไม้หลายตัวเรียงซ้อนกันอยู่ข้างใน แต่ละตัวประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนบนและส่วนล่าง นำมาประกบกันได้สนิทตามร่องที่เซาะเอาไว้ ทุกตัวมีโพรงข้างในเพื่อให้อีกตัวและอีกตัวที่เล็กกว่าซ้อนไปเรื่อย ๆ เว้นแต่ตัวสุดท้าย ซึ่งมีขนาดเล็กสุด จะเป็นตุ๊กตาเต็มตัวและตันเพียงชิ้นเดียว แม่ลูกดกชุดหนึ่งมีตุ๊กตาซ้อนข้างในกี่ตัวก็ได้ ถ้ามีจำนวนมาก ตุ๊กตาตัวใหญ่สุดที่อยู่นอกสุด จะต้องมีขนาดใหญ่มากด้วย และทุกตัวจะมีรูปร่างเหมือนกันหมด คือ คล้ายกระบอก โป่งตรงกลาง ด้านบนโค้งมน ส่วนฐานเรียบ ไม่มีมือหรือส่วนใดยื่นออกมา ใช้สีวาดเป็นหน้าเป็นตาเป็นตัวทั้งหมด แต่ละตัวในชุดมีใบหน้าและเสื้อผ้าเหมือนกัน ทั้งเคลือบเงาสวยงาม
มีบางร้านนั่งวาดภาพลงบนตุ๊กตา เป็นรูปแม่พระ สวยงามมากทีเดียว แล้วคนวาดก็พยายามอธิบาย แต่พวกเราไม่เข้าใจเลย รู้อย่างเดียวราคาแพงมาก แพงกว่าร้านอื่นที่เป็นแบบสำเร็จรูป เมื่อเห็นตุ๊กตาแม่ลูกดกที่เป็นรูปแม่พระ ทำให้คิดถึงความรักของแม่ที่มีต่อเรา แม่พระที่เคยรับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส วันนี้ก็ยังรับความทุกข์จากพวกเราที่แต่ละคนนำมาวิงวอนขอต่อพระแม่อยู่บ่อยครั้ง แม่พระจึงเป็นแม่ที่มีลูกมากลูกดกที่สุดในโลก แล้วเราทำไมไม่เป็นส่วนชั้นหนึ่งที่คอยรับช่วงให้ความอบอุ่น ให้เป็นที่หลบภัยสำหรับคนใกล้ชิด คนใกล้ตัวเราบ้าง เพื่อลดความทุกข์ของพระแม่ลงบ้าง เราต่างก็สามารถที่จะเป็นคนที่ปกป้องผู้อื่นได้ด้วยกันทั้งนั้น

         
   ลักษณะของตุ๊กตานั้นดู ๆ ไปก็คล้ายกับไข่ที่ตั้งอยู่บนฐาน ในไข่นั้นมีชีวิต เป็นความหมายเดียวกับไข่ปัสกา ในความตายมีการเกิดใหม่ และเช่นเดียวกัน การเกิดก็นำมาซึ่งความตาย เป็นสัจธรรมคู่ชีวิต ไข่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการกลับคืนพระชนมชีพ ซึ่งภายในไข่นั้นมีชีวิตอยู่          ในพระศาสนจักรคาทอลิกตะวันออกหรือออร์โธด๊อก จะทาไข่ปัสกาด้วยสีแดง ซึ่งแสดงถึงโลหิตของพระคริสต์ ที่หลั่งบนไม้กางเขน และเปลือกแข็งของไข่เป็นสัญลักษณ์หมายถึงพระคูหาที่ฝังพระศพของพระคริสต์ที่ปิดไว้อย่างสนิท เปลือกไข่ที่แตกร้าว เป็นสัญลักษณ์หมายถึงการกลับคืนพระชนมชีพจากความตายในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์
วิถีชีวิตระหว่างทางของเราต่างหากที่จะเป็นสิ่งที่บอกว่า เราเป็นคนสมบูรณ์หรือยัง เราได้ทำหน้าที่ดูแล เสียสละ ต่อผู้อื่นมากเพียงใด ใช่หรือไม่ สักวันหนึ่ง เราจากคนเล็ก ๆ อยู่ภายในภายใต้ความอบอุ่นของคนอื่น ก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนที่คอยปกป้องคนอื่น แล้ววันนั้นเรามีความงามและความเข้มแข็งเพียงใด...
*** ตามประวัติ ไข่ปัสกานั้นเริ่มมาจาก จักรพรรดิ Czar Alexander III ของรัสเซีย ได้มอบไข่ Fabergéให้กับมารีย์ ภรรยาของเขา เพื่อเป็นของขวัญวันปัสกา ไข่จะถูกใช้อย่างกว้างขวางว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับชีวิตใหม่ที่โผล่ออกมาจากไข่ เมื่อแม่ไก่ฟักไข่ ชาว Zoroastrians โบราณ จะทาสีไข่ให้สวยงามเพื่อมอบให้กับกษัตริย์ Nowrooz เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่ของพวกเขา ซึ่งตรงกับฤดูใบไม้ผลิ ประเพณีการมอบไข่ให้กับกษัตริย์ Nowrooz มีประวัติอย่างน้อย 2,500 ปี ซึ่งปรากฏในงานประติมากรรมบนผนังของ Persepolis แสดงถึงคนแบกไข่เพื่อมอบให้กับกษัตริย์ Nowrooz

สันติสุข จงมีแด่ทุกคน สุขสันต์วันปัสกาครับ

วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560

บนความรุ่งเรือง

บนความรุ่งเรือง
ความเสื่อมถอยจะค่อยแตกหน่อในความรุ่งเรือง
ตามประวัติศาสตร์โลกของเราที่มีอายุมาอย่างยาวนานเป็นเวลา6,000 ปี (ตามพระคัมภีร์) หรือ 4.6 ล้านล้านปี (ตามการคำนวณทางวิทยาศาสตร์)ในทุกผืนแผ่นดินถิ่นที่มีมนุษย์อาศัยรวมกันอยู่ ล้วนแล้วแต่เคยผ่านความรุ่งเรืองสูงสุดด้วยกันมาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิอัคคาเดียน (เมโสโปเตเมีย) จักรวรรดิอคีเมนียะห์ จักรวรรดิโรมัน ราชวงศ์แมนจู จักรวรรดิรัสเซีย จักรวรรดิมองโกล จักรวรรดิโมกุล จักรวรรดิอังกฤษ จักรวรรดิออตโตมัน และอื่น ๆ มาถึงวันนี้บางแห่งหลงเหลือแต่ชื่อ บางแห่งเหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง เป็นเพียงสิ่งสร้างที่ร้างรก มีบางแห่งที่ยังเหลืออยู่แต่ต้องปรับเปลี่ยนสภาพให้เล็กลงเพื่อคงความอยู่รอด


ในการมาท่องเที่ยวเยี่ยมชมเมืองมองโคว์ ได้เวียนแวะเข้าพิพิธภัณฑ์ เวียนวังที่อลังการในหลาย ๆ แห่ง ได้รับรู้ถึงประวัติความเป็นมาของคนชนชาวรัสเซียตั้งแต่อดีตที่ก่อตั้งจากเมืองเคียฟ (ยูเคน ในปัจจุบัน) ถูกรุกไล่โดยมองโกล โยกย้ายมาตั้งถิ่นฐานเมืองมอสโคว์ มีบางช่วงบางสมัยไปตั้งเมืองที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (ข่าวเศร้า : มีการวางระเบิดในรถใฟใต้ดิน มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายคน สวดภาวนาเพื่อพวกเขาเหล่านั้นด้วย) จากเคยยิ่งใหญ่แย่งชิงอำนาจ ต่อสู้กัน สูญเสียผู้คนไปไม่ใช่น้อย กว่าจะกลายมาเป็นประเทศรัสเซียได้เหมือนในปัจจุบันต้องผ่านวัฎจักรความรุ่งเรือง เสื่อมถอย แต่ไม่ล่มสลายหายไป มีการปรับเปลี่ยน สร้างบ้านแปรงเมืองกันใหม่หลายต่อหลายครั้งทำให้วันนี้รัสเซียยังคงความเป็นประเทศที่แข็งแกร่งประเทศหนึ่งในโลก
เมื่อพูดถึงตรงนี้ย้อนกลับไปที่จักรวรรดิมองโกล ที่เคยรุกรานและครอบครองจักรวรรดิรัสเซีย วันนี้ก็กลายเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ มีพื้นที่น้อยกว่าประเทศไทยถึง 3 เท่า สมัยก่อนมองโกล คือ คนชนเผ่าหนึ่งที่เก่งกาจในการรบ การใช้ม้า ใช้ธนู ที่เชี่ยวชาญ แต่แล้วเมื่ออาวุธการต่อสู้ของมนุษย์เปลี่ยนโฉม มีการใช้ปืนไฟ ทำให้จักรวรรดิมองโกลพ่ายแพ้และที่สุดก็ลดความยิ่งใหญ่ที่เคยรุ่งเรืองเหลือเพียงส่วนเล็กในโลกใบนี้ แน่ล่ะ เราได้เห็นอะไรหลายต่อหลายอย่างที่มนุษย์เราสร้างเสริม และใช้ทำลายล้างต่อกัน ต้องสูญเสียต่อชีวิตผู้คนมากมายครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งเหล่านี้คือจุดที่ทำให้ความรุ่งเรืองมักกลายเป็นความเสื่อมถอย จนบางทีถึงขั้นล่มสลายสาบสูญไป ใช่หรือไม่ ชีวิตคนเราก็เป็นดั่งคล้ายจักรวรรดิหนึ่งที่มีช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ แต่ก็มีเวลาที่โรยราด้วยเช่นกัน

ความแข็งแกร่งที่แฝงเร้นมากับความอ่อนโยน
           คนรัสเซียมีลักษณะของการผสมผสานกันระหว่างคนเอเชียกับคนยุโรป หน้าตาสีผมจะเป็นเหมือนคนแถบยุโรปแต่รูปร่างไม่ใหญ่โตนักเหมือนคนทางเอเซีย ด้วยความที่ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้พวกเขาดูจะแข็งแกร่ง และอาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อม อากาศที่อยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นตลอดเวลา จึงทำให้การอยู่การกินไม่สะดวกสบายมากนัก ชาวรัสเซียจึงขึ้นชื่อในเรื่องการยิ้มยากที่สุดในโลก แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร เพียงแค่เราต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติลักษณะของพวกเขาอย่างถูกต้องเสียก่อน 



คนรัสเซียจะเป็นกันเองกับเราในการพบปะครั้งต่อ ๆ ไป และจะแสดงความเป็นมิตรมากขึ้น ถ้าได้พบกันหลายครั้งมากขึ้น การพูดจาจะเป็นกันเองและสนุกสนานขึ้น แต่ในความเป็นกันเองนั้นก็มีขอบเขตที่ต่างไปจากคนไทย คนรัสเซียส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อย พูดเล่น หรือ แซว กันเหมือนคนไทย ผู้ชายรัสเซียค่อนข้างจะให้เกียรติผู้หญิง มักจะจริงจังตลอดเวลา สิ่งไหนทำได้ก็พูดว่า “ได้” ทำไม่ได้ ก็บอกว่า “ไม่ได้หรือไม่แน่ใจ” เพราะถ้าบอกว่าได้ แล้วทำไม่ได้ภายหลัง จะรู้สึกว่าไม่ได้รักษาคำพูด บางทีในชีวิตจริงเราก็ไม่อาจจะตีค่าความเป็นคนของผู้คนที่เราพบเห็นได้ เพราะแต่ละคน แต่ละเชื้อชาติต่างก็มีที่มาที่ไปที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราใช้สื่อสารกันได้เสมอนั่นคือ ภาษาใจและความรักที่จะนำความอ่อนโยนมาให้กับเราเสมอ เช่น ในวันที่เราไปเดินดูของที่ระลึกในตลาดแห่งหนึ่ง แม่ค้าซึ่งพูดได้แต่ภาษารัสเซียกว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง สิ่งที่ซื้อ คือ รูปไอคอนพระ และนักบุญต่าง ๆ ที่ได้ทั้งลดราคาและของแถม ที่สำคัญ ได้รอยยิ้มจากแม่ค้านั้นด้วย

ความเศร้าโศกมักคละเคล้ามากับความยินดีปรีดาเสมอ
อากาศในมอสโคว์เปลี่ยนแปลงได้เสมอในทุกวัน วันหนึ่งแดดออกต่อมาฝนตกและที่สุดคือหิมะตกทั้งวันทั้งคืน ในวันที่แดดออกเราจะเห็นผู้คนในเมืองต่างดีอกดีใจออกมาพาลูกจูงหลานมาเดินเล่นในชุดที่เต็มไปด้วยสีสัน เพราะนาน ๆ จะเจอแสงแดดสักครั้ง ไม่เหมือนกับพวกเราคนไทยเกลียดแสงแดด พอเจอหิมะตกก็ดีใจ วิ่งออกไปรับหิมะอย่างร่าเริง มันก็เป็นเช่นนี้ เรามักยินดีในสิ่งที่เราไม่เคยพบเคยเห็นไม่เคยได้เป็นเจ้าของ แต่ในขณะเดียวกันเราก็มักไม่ยินร้ายต่อสิ่งที่เรามีต่อสิ่งที่เราเห็นเป็นประจำ เรามักจะได้ยินได้เห็นคนที่ชอบต่อว่าประเทศหรือถิ่นของตัวเองอยู่เสมอ 



ในการดำเนินชีวิตของเราก็เช่นกันเรามักเรียกร้องและแสวงหาอยากได้นั่นได้นี่ อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากจะเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า นำมาซึ่งความโลภ และความอยากได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่...หากเรารู้จักที่จะประมาณตัว รู้จักที่จะจัดวางตัวได้ เราย่อมเดินไปในทุกที่ทุกเวลาอย่างผู้รู้ตัวและมีความสงบสุข ดุจดังพระเยซูเจ้าในวันประทับบนหลังลาอย่างนิ่งสงบ ท่ามกลางประชาชนมาต้อนรับการเข้าเมืองของพระองค์อย่างหนาแน่น เพราะพระองค์รู้ว่าในความยินดีนั้นนำมาซึ่งความเศร้าโศกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ในความรุ่งเรืองของทุกอาณาจักรบนโลกย่อมมีวันเสื่อมสลาย แต่อาณาจักรใจที่พระองค์ได้ปลูกฝังไว้ในคำสอนสั่งจะไม่มีวันเสื่อมสลายลงได้ นี่คือบทเรียนที่เราต้องหมั่นทบทวนอยู่เสมอ ๆ

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

ศรัทธาที่กลับมา

ศรัทธาที่กลับมา
มอสโคว์ รัสเซีย คือจุดหมายปลายทางของการท่องโลกกว้างในครั้งนี้ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากกว่าสิ่งอื่นใดในการเยี่ยมชม คือ ศาสนสถานของ “นิกายออร์ธอดอกซ์” ที่มีความงดงามยิ่งนักและยังเป็นการได้แสวงบุญ แม้จะต่างนิกาย แต่ความเชื่อในพระเป็นเจ้านั้นถือว่าเป็นหนึ่งเดียวกับคาทอลิกเรา มีข้อความเชื่อเหมือนกัน ต่างกันเพียงพิธีกรรม ที่ถือแบบดั้งเดิม 
คำว่า นิกายออร์ธอดอกซ์มีความหมายว่าการถือปฏิบัติหลักธรรมที่เที่ยงตรงหรือหลักธรรมที่ถูกต้อง เป็นฝ่ายที่ถือเคร่งครัดถูกต้อง ตามประวัติศาสตร์เมื่อจักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกออกเป็นสองอาณาจักร ฝ่ายโรมันตะวันตกมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม (วาติกัน) ซึ่งมีภาษาละตินเป็นภาษากลาง ฝ่ายโรมันตะวันออก มีศูนย์กลางอยู่ที่คอนแสตนติโนเปิล (Constantinople) ใช้ภาษากรีกเป็นภาษากลาง อาณาจักรทั้งสองนี้เป็นคู่แข่งกันในหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง การปกครอง ศิลปวัฒนธรรมประเพณี โดยเฉพาะด้านศาสนา แม้จะมีรากเหง้ามาจากแหล่งเดียวกัน แต่ความคิดเห็นในหลักการบางอย่างนั้นไม่ตรงกันจึงเป็นเหตุให้เกิดนิกายออร์ธอดอกซ์นี้ 

ในยุคต้นได้รับอิทธิพลคำสอนมาจากการเผยแพร่ศาสนาของนักบุญเปาโล  ปัจจุบันนี้ นิกายออร์ธอด็อกซ์มีอิสระภาพในด้านความเชื่อและการปกครองตนเอง โดยไม่ต้องขึ้นต่อวาติกันของโรม มีปาตริอาร์ค ( Patriarch ) เป็นประมุข แต่ก็มีออร์ธอด็อกซ์อีกหลายกลุ่มที่ยังขึ้นต่อวาติกันเรียกว่า “ออร์ธอด็อกซ์คาทอลิก” (ในพิธีสำคัญ ๆ เราจะเห็นพระสังฆราชของออร์ธอดอกซ์มาร่วมเสมอ) พวกนี้มีพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นแบบตะวันออก แต่ระบบการปกครองอยู่ภายใต้การชี้นำของสมเด็จพระสันตะปาปา ประเทศที่นับถือนิกายออร์ธอด็อกซ์ส่วนมากเป็นพวกยุโรปตะวันออก เช่น โรมาเนีย ฮังการี บูลกาเรีย โปแลนด์ ยูโกสลาเวีย และสำหรับรัสเซีย นั้นแยกออกมาเป็นเอกเทศ
หลังจากที่รัสเซียประสบปัญหาในการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเกี่ยวกับระบบการปกครอง ในสมัยก่อนศาสนากับการปกครองดูจะแยกขาดกันไม่ออก ผู้ปกครองมักจะให้ความสำคัญกับศาสนารวมถึงผู้นำทางศาสนาด้วย แต่เมื่อระบบสังคมนิยมเกิดขึ้นในรัสเซีย ศาสนาถูกระงับ วัดโบสถ์ถูกปิดตายไม่มีผู้นำใดทั้งสิ้น ทุกผู้คนต้องเท่าเทียมกัน ทำงาน กินอยู่แบบเดียวกันไม่มีการยึดเหนี่ยวในความศรัทธา เพียงเพื่อหวังให้ทุกคนมีใจมุ่งสู่เป็นเอกภาพแบบที่พวกผู้นำเป็นคนคิดวางแผน และทุกคนต้องทำตาม ซึ่งเป็นการเน้นที่รูปแบบภายนอก เรื่องจิตใจถูกละเลยเมินเฉย หวังจะใช้ความเท่าเทียมเพื่อผูกใจแทน ในความเท่าเทียมกันนั้นก่อให้เกิดความยากจนยากไร้และขาดชีวิตจิตใจ จิตวิญญาณของผู้คนแล้งแค้นแต่ "ศรัทธา" ยังคงเป็นสิ่งที่แฝงลึกอยู่ในใจผู้คนมาอย่างยาวนาน ศรัทธาในศาสนาเป็นเสมือนเข็มทิศกำหนดทิศทางของทุกเรื่อง แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ นักบินอวกาศ ก็ยังคงเข้าวัดสวดภานาเพื่อความสำเร็จในการค้นพบ 
ใช่หรือไม่....หากขาดศรัทธา ชีวิตเราก็จะเปลือยเปล่า ปล่อยว่างเว้นวันเวลาหมดไปกับการทำอะไรก็ไม่รู้ที่ตัวเองไม่รัก ทั้งไม่มีความสุขที่จะอยู่กับมันอีกต่างหาก ชีวิตไร้จุดยึดเหนี่ยว เคล้งคว้าง หมดหนทางเมื่อต้องพบเจอปัญหาที่หนักหน่วง
หากขาดศรัทธาเราก็มองไม่เห็นว่าเวลาแต่ละวันที่ไหลผ่านไปนั้นจะนำไปสู่ผลลัพธ์อะไรมาสู่ชีวิต คนที่ไม่มีศรัทธาต่ออะไรเลยก็ไม่ต่างอะไรกับกอสวะที่ลอยคว้างไปกับน้ำ ไม่รู้ว่าจะพบกับอะไรระหว่างทาง ไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร ไร้เป้าหมาย ไร้ทิศทาง แล้วแต่กระแสจะพาไป มีแต่ร่างกายแต่ไร้จิตใจขาดจิตวิญญาณชีวิตเช่นนี้ นับว่าเป็นชีวิตที่สูญเปล่าโดยแท้

เช่นนี้แล้วหลังจากการล่มสลายหายไปของระบบสังคมนิยมในรัสเซีย วันนี้จึงเหมือนเป็นการเปิดมิติใหม่ในการปกครอง ศาสนากลับมาฟื้นฟูขึ้นในจิตใจผู้คนอีกครั้ง ศาสนสถานถูกเปิดกว้างผู้คนหลั่งไหลมาร่วมพิธีกรรมเคารพต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อแม่พระและต่อนักบุญ อย่างมากมาย ความสวยงามวิจิตรของศาสนสถานได้รับการปรับปรุงเสริมแต่งให้สวยสดงดงาม เมื่อความศรัทธากลับมาพาหัวใจของผู้คนให้พบสันติสุขมากขึ้น ใครจะกล้าแย้งเล่าว่าศาสนาไม่ใช่สิ่งสำคัญ แม้จะไม่ใช่สิ่งจำเป็น อย่างที่เห็นในรัสเซีย หลังจากที่ถูกบังคับให้เลิกนับถือศาสนา แต่ศรัทธายังคงมีอยู่ในหัวใจ ยิ่งกดดันยิ่งเพิ่มพูน ในกรุงมอสโคว์ เมืองกำลังกลับสู่การพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน เราจึงเห็นหลายต่อหลายคนมานั่งสวดมนต์ มาขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีคนมาร่วมพิธีกรรมที่ดูแล้วเคร่งขรึมมากมายล้นวัด ใช่หรือไม่ศรัทธานั้นทำให้จิตใจผู้คนมีเมตตา และมีความรัก ความสงบสันติ
แต่วันนี้ในสังคมเราที่ไม่มีการบีบบังคับใด ๆ มากนัก แต่เรากลับขาดความศรัทธา โดยอ้างเหตุผลมากมาย เช่น เลิกศรัทธาในศาสนาเพราะบุคคล เพราะเบื่อหน่ายพิธีกรรม และมีความคิดว่ามีพระอยู่ในใจไม่จำเป็นต้องเข้าวัดเข้าวามาร่วมพิธีกรรม ก็เป็นเหตุผลของคนที่ปกป้องตัวเองด้วยข้ออ้าง บางคนก็บอกว่าไม่ศรัทธาในศาสนาแต่ก็สามารถเป็นคนดีได้ คำว่า เป็นคนดีนั้นมีความหมายแค่ไหน? ถ้าเราศรัทธาในความดี ความดีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากน้อยเพียงใด?



ในขณะที่เข้าไปร่วมฟังคนรัสเซียสวดมนต์ ร้องเพลง อย่างไพเราะในวัด มองเห็นภาพวาดของพระเป็นเจ้า อัครเทวดา แม่พระ นักบุญทั้งหลาย ก็ตั้งคำถามต่อตัวเองว่า “ในวันนี้ศรัทธาของเราที่มีต่อพระ ต่อความดีมีมากน้อยขนาดไหน?” ศรัทธาที่เรามีไม่ว่าจะมากจะน้อยสักเพียงใด เราจงรักษาไว้อย่าให้ศรัทธาเสื่อมลง ทำศรัทธาวันนี้ให้งอกงามเต็มที่เท่าที่เราทำได้ ศรัทธาในพระเจ้าเท่ากับศรัทธาในความดี อย่าปล่อยให้ศรัทธาถูกบดบัง เราอาจจะไม่มีวันเวลาที่จะให้ศรัทธาเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็ได้