ด้วยใจที่เห็นใจ
ความร้อนตอนเที่ยง ๆ ในช่วงฤดูนี้ทำให้รู้สึกผิวหนังแสบ
ๆ คัน ๆ เมื่อต้องเดินออกไปในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน ๆ
ยิ่งหากไม่มีอุปกรณ์ช่วยกันช่วยกรองแสงด้วยแล้ว อย่างกับถูกไฟไหม้เลยทีเดียว
ทำให้เกิดข่าวลือว่า จะเกิด “ฮีตเวฟ” เนื่องจากตลอดช่วงตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมไปจนถึงกลางเมษายน
ระดับอุณหภูมิในพื้นที่ภาคกลาง ตามคำพยากรณ์ล่วงหน้า 3 เดือน
ของกรมอุตุฯ บอกเอาไว้แล้วว่า น่าจะพุ่งไปอยู่ที่ระดับ 42-43 องศาเซลเซียสเป็นอย่างน้อย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโลกร้อนยืนยันว่า
ไทยเสี่ยงต่อปรากฏการณ์ “ฮีตเวฟ” เป็นอย่างมาก
ภาพ : https://hilight.kapook.com/img_cms2/user/thitima/New/fgtjtrfj.jpg |
แล้ว “ฮีตเวฟหรือ ภาวะคลื่นความร้อน” คืออะไร? อธิบายง่าย ๆ
ภาวะนี้จะเกิดขั้นในพื้นที่ซึ่งสะสมความร้อนเป็นเวลานาน อากาศแห้ง ลมนิ่ง
ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่ เมื่ออุณหภูมิร้อนสะสมหลายวันก็จะเกิดคลื่นความร้อนมากขึ้น
เช่น หากพื้นที่ไหนมีอุณหภูมิ 38-41 องศาเซลเซียส
แล้วไม่มีลมพัดต่อเนื่องสัก3-6 วัน
ไอร้อนจะสะสมจนกลายเป็นคลื่นความร้อน แต่ประเทศไทยเรามีลมพัดอยู่ตลอดเวลา
ภาวะนี้คงเกิดขึ้นได้ยาก ก็เป็นคำชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจะได้ไม่ตื่นตระหนกกับข่าวลือกันเกินไปนัก
เรื่องความร้อนเพิ่มขึ้นของอากาศในทุก ๆ ปี กลายเป็นเรื่องไม่ปกติที่เป็นปกติเสียแล้ว
เนื่องด้วยเพราะความพยายามก้าวเดินในเส้นทางความเจริญ ความทันสมัย ก้าวหน้า ในระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเพื่อความเป็นที่หนึ่ง
ที่เหนือกว่าคนอื่นในทุกด้าน นำมาซึ่งการเอารัดเอาเปรียบ เบียดเบียนกัน
แม้กระทั่งทรัพยากรธรรมชาติก็ถูกครอบครองและช่วงชิง ใครใหญ่ใครมีอำนาจมากกว่าก็เข้ายึดครอง
กระแสค่านิยมแบบนี้เข้ามาเป็นวิถีชีวิตของผู้คน
ที่มีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
และเมื่อมีมากก็คิดว่าเป็นสิทธิ์ที่จะย่ำยีกระทำต่อผู้ด้อยกว่า
โลกนี้จึงเต็มไปด้วยคนใหญ่คนโต คนที่ไม่มีหัวใจเผื่อแผ่ เลือกที่จะอยู่กับคนพวกเดียวกัน
รังเกียจคนต่างเชื้อชาติ ต่างฐานะ ต่างความรู้ หารู้ไม่ว่ายิ่งใหญ่ยิ่งเยอะยิ่งพะรุงพะรัง
พังเอาง่าย ๆ ในวันที่ภัยมา ...
ในทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น
ตามธรรมชาติก็จะมีพวกสัตว์น้ำต่าง ๆ อาศัยรวมกันอยู่อย่างมากมาย
จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว และก็แน่นอนที่ในท้องทะเลนั้น
จะมีพวกปลาชนิดต่าง ๆกำเนิดขึ้น
และพวกปลาเหล่านั้นโดยทั่วไปก็จะมาอยู่รวมกันเป็นฝูง ปลาในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน
ได้มีปลาตัวใหญ่ที่มีนิสัยตะกะตะกาม โลภมาก และเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดอยู่ฝูงหนึ่ง
พวกมันจะจับกลุ่มรวมกันอย่างเหนียวแน่น คล้าย ๆ
กับพวกนักเลงประจำท้องทะเลแห่งนั้นก็ไม่ปาน ว่ายออกหาอาหารไปเรื่อย ๆ
พอเจอฝูงปลาที่ตัวเล็กกว่าก็จะตรงเข้าแกล้งและพูดเบ่งบารมี
และมักจะแขวะเอาเสมอ ๆ ว่า
“เจ้าปลาจิ๋ว
เจ้าเคยได้ยินคำพังเพยที่ว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็กไหมล่ะ! ฮ่าๆๆ
ถ้าไม่อยากตายเร็ว ๆ ก็ถอยออกไปให้ไกล ๆ พวกหอยกุ้ง ปู
และอาหารที่มีอยู่ทั่วทั้งบริเวณนี้เป็นของพวกข้า พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์กินหรอกวุ้ย
ฮ่า ๆๆ”
เจ้าปลาจิ๋วรีบตอบ “จ๊ะ ผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้
ผู้ที่อ่อนแอย่อมต้องถูกกำจัด พวกเราเข้าใจดีจ๊ะ” ว่าแล้ว
ก็รีบว่ายหนีหลบไปอยู่ไกล ๆ
ปลาใหญ่นั้นยิ่งนับวันก็ยิ่งเหิมเกริม
บ้าอำนาจมากขึ้นทุกวัน และเมื่ออาหารนั้นหากินได้อย่างง่าย
เพราะไม่มีใครกล้ามาแย่ง
พวกมันก็เลยยิ่งตัวใหญ่ขึ้นและอ้วนขึ้นจนจะกลายเป็นปลายักษ์เข้าไปทุกทีเลยทีเดียว
ส่วนพวกปลาเล็กนั้นเมื่อโดนแย่งพวกอาหารกินเสียจนหมด
ไม่ค่อยได้กินอะไร จึงอยู่กันด้วยความหิวโซมาตลอด
นับวันก็จะยิ่งตัวเล็กลง ๆ และผอม จนเหลือแต่กระดูกทุกตัวไปก็ว่าได้….
ภาพ : http://www.thaigoodview.com/files/u7229/yokubari02.jpg |
และแล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง
ได้มีชาวประมงที่เห็นว่าแถวนี้ได้มีปลาว่ายมารวมกันอยู่อย่างมากมายจึงลงอวนเพื่อจับพวกปลาเหล่านั้น
ฝูงปลาต่าง ๆ และเจ้าปลาใหญ่ฝูงนั้นก็เช่นกัน
ด้วยไม่ทันระวังตัวจึงติดอวนของชาวประมงเสียแล้ว พวกปลาต่างๆ
ตกใจและพยายามว่ายหนีกันให้เป็นการใหญ่
เจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายก็พยายามที่จะว่ายหนีกับเขาด้วยเหมือนกัน แต่ด้วยพวกเจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายนั้นตัวของพวกมันใหญ่มากอย่างกะปลายักษ์
จึงไม่สามารถที่จะหนีไปทางไหนได้เลย
จึงจำต้องติดอวนของชาวประมงไปอย่างน่าสงสาร
ส่วนฝูงปลาเล็กนั้นด้วยตัวเล็กและผอมกันจนจะเหลือแต่กระดูก
จึงสามารถว่ายลอดอวนออกมาได้อย่างง่ายดาย
เจ้าปลาจิ๋วเมื่อหลุดรอดออกมาได้ก็ว่ายไปหาปลาใหญ่ที่ติดอวนอยู่และกำลังจะถูกยกขึ้นไปสู่ด้านบนอยู่นั้นแล้วพูดว่า
“ปลาใหญ่เอ๋ย
ท่านคืออาหารของคน แต่เราไม่ใช่ เราดีใจที่อ่อนแอกว่าท่าน”
ภาพ : http://thaigoodview.com/files/u70817/jpeg.jpg |
ใช่หรือไม่ อากาศเมื่อร้อนไปถึงที่สุดก็จะมีสายฝนโปรยลงมาเพื่อลบร้อน
คลายอบอ้าวลง เป็นความเมตตาของธรรมชาติ ที่ไม่เคยเลือกหน้าตา เลือกเชื้อชาติ
ศาสนา หากคนเรามีใจเมตตา ทำหัวใจให้เล็กลงแต่เปิดกว้าง
ดีกว่ามีหัวใจที่ใหญ่แต่ปิดมืดมิดและกระด้าง
ก็จะทำให้โลกนี้น่าอยู่มิใช่น้อยและไม่ว่าเราจะใหญ่โต เล็กกระจิดริดสักเพียงใด
แต่ทุกคนก็อยู่ในโลกเดียวกัน เราต้องเมตตาต่อกัน เราต้องช่วยกัน มีหัวใจที่เห็นคนอื่น
เพื่อลดความร้อนแรงของความขัดแย้งในสังคมโลกนี้ให้ลดลงบ้าง อย่าให้ความร้อนของอากาศเป็นภาวะที่ให้เราปล่อยอารมณ์เสีย
ๆ ปล่อยคลื่นความโกรธต่อกันเลย ใช้ช่วงเวลาที่มีค่าสร้างความชุ่มฉ่ำแก่กัน ดังคนกระหายหาน้ำแล้วมาพบเจอเราเป็นคนหยิบยื่นน้ำเย็นสักแก้วให้เขาดื่ม
นี่คือสิ่งที่เราควรทำควรเป็น เพื่อความรอดพ้นแห่งความทุกข์เข็ญของมวลมนุษย์....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น