วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

ด้วยใจที่เห็นใจ

ด้วยใจที่เห็นใจ
ความร้อนตอนเที่ยง ๆ ในช่วงฤดูนี้ทำให้รู้สึกผิวหนังแสบ ๆ คัน ๆ เมื่อต้องเดินออกไปในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน ๆ ยิ่งหากไม่มีอุปกรณ์ช่วยกันช่วยกรองแสงด้วยแล้ว อย่างกับถูกไฟไหม้เลยทีเดียว ทำให้เกิดข่าวลือว่า จะเกิด “ฮีตเวฟ” เนื่องจากตลอดช่วงตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมไปจนถึงกลางเมษายน ระดับอุณหภูมิในพื้นที่ภาคกลาง ตามคำพยากรณ์ล่วงหน้า 3 เดือน ของกรมอุตุฯ บอกเอาไว้แล้วว่า น่าจะพุ่งไปอยู่ที่ระดับ 42-43 องศาเซลเซียสเป็นอย่างน้อย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโลกร้อนยืนยันว่า ไทยเสี่ยงต่อปรากฏการณ์ “ฮีตเวฟ” เป็นอย่างมาก 

ภาพ : https://hilight.kapook.com/img_cms2/user/thitima/New/fgtjtrfj.jpg

แล้ว “ฮีตเวฟหรือ ภาวะคลื่นความร้อน คืออะไร? อธิบายง่าย ๆ ภาวะนี้จะเกิดขั้นในพื้นที่ซึ่งสะสมความร้อนเป็นเวลานาน อากาศแห้ง ลมนิ่ง ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่ เมื่ออุณหภูมิร้อนสะสมหลายวันก็จะเกิดคลื่นความร้อนมากขึ้น เช่น หากพื้นที่ไหนมีอุณหภูมิ 38-41 องศาเซลเซียส แล้วไม่มีลมพัดต่อเนื่องสัก3-6 วัน ไอร้อนจะสะสมจนกลายเป็นคลื่นความร้อน แต่ประเทศไทยเรามีลมพัดอยู่ตลอดเวลา ภาวะนี้คงเกิดขึ้นได้ยาก ก็เป็นคำชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจะได้ไม่ตื่นตระหนกกับข่าวลือกันเกินไปนัก
เรื่องความร้อนเพิ่มขึ้นของอากาศในทุก ๆ ปี กลายเป็นเรื่องไม่ปกติที่เป็นปกติเสียแล้ว เนื่องด้วยเพราะความพยายามก้าวเดินในเส้นทางความเจริญ ความทันสมัย ก้าวหน้า ในระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเพื่อความเป็นที่หนึ่ง ที่เหนือกว่าคนอื่นในทุกด้าน นำมาซึ่งการเอารัดเอาเปรียบ เบียดเบียนกัน แม้กระทั่งทรัพยากรธรรมชาติก็ถูกครอบครองและช่วงชิง ใครใหญ่ใครมีอำนาจมากกว่าก็เข้ายึดครอง กระแสค่านิยมแบบนี้เข้ามาเป็นวิถีชีวิตของผู้คน ที่มีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว และเมื่อมีมากก็คิดว่าเป็นสิทธิ์ที่จะย่ำยีกระทำต่อผู้ด้อยกว่า โลกนี้จึงเต็มไปด้วยคนใหญ่คนโต คนที่ไม่มีหัวใจเผื่อแผ่ เลือกที่จะอยู่กับคนพวกเดียวกัน รังเกียจคนต่างเชื้อชาติ ต่างฐานะ ต่างความรู้ หารู้ไม่ว่ายิ่งใหญ่ยิ่งเยอะยิ่งพะรุงพะรัง พังเอาง่าย ๆ ในวันที่ภัยมา ...
ในทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น   ตามธรรมชาติก็จะมีพวกสัตว์น้ำต่าง ๆ  อาศัยรวมกันอยู่อย่างมากมาย    จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว และก็แน่นอนที่ในท้องทะเลนั้น    จะมีพวกปลาชนิดต่าง ๆกำเนิดขึ้น  และพวกปลาเหล่านั้นโดยทั่วไปก็จะมาอยู่รวมกันเป็นฝูง ปลาในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ได้มีปลาตัวใหญ่ที่มีนิสัยตะกะตะกาม โลภมาก  และเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดอยู่ฝูงหนึ่ง  พวกมันจะจับกลุ่มรวมกันอย่างเหนียวแน่น คล้าย ๆ กับพวกนักเลงประจำท้องทะเลแห่งนั้นก็ไม่ปาน  ว่ายออกหาอาหารไปเรื่อย ๆ พอเจอฝูงปลาที่ตัวเล็กกว่าก็จะตรงเข้าแกล้งและพูดเบ่งบารมี     และมักจะแขวะเอาเสมอ ๆ ว่า
“เจ้าปลาจิ๋ว   เจ้าเคยได้ยินคำพังเพยที่ว่า   ปลาใหญ่กินปลาเล็กไหมล่ะ! ฮ่าๆๆ   ถ้าไม่อยากตายเร็ว ๆ ก็ถอยออกไปให้ไกล ๆ พวกหอยกุ้ง ปู และอาหารที่มีอยู่ทั่วทั้งบริเวณนี้เป็นของพวกข้า พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์กินหรอกวุ้ย ฮ่า ๆๆ
เจ้าปลาจิ๋วรีบตอบ จ๊ะ  ผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ ผู้ที่อ่อนแอย่อมต้องถูกกำจัด พวกเราเข้าใจดีจ๊ะ ว่าแล้ว ก็รีบว่ายหนีหลบไปอยู่ไกล ๆ  
ปลาใหญ่นั้นยิ่งนับวันก็ยิ่งเหิมเกริม  บ้าอำนาจมากขึ้นทุกวัน  และเมื่ออาหารนั้นหากินได้อย่างง่าย  เพราะไม่มีใครกล้ามาแย่ง  พวกมันก็เลยยิ่งตัวใหญ่ขึ้นและอ้วนขึ้นจนจะกลายเป็นปลายักษ์เข้าไปทุกทีเลยทีเดียว  ส่วนพวกปลาเล็กนั้นเมื่อโดนแย่งพวกอาหารกินเสียจนหมด   ไม่ค่อยได้กินอะไร   จึงอยู่กันด้วยความหิวโซมาตลอด   นับวันก็จะยิ่งตัวเล็กลง ๆ และผอม จนเหลือแต่กระดูกทุกตัวไปก็ว่าได้….

ภาพ :  http://www.thaigoodview.com/files/u7229/yokubari02.jpg

และแล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง ได้มีชาวประมงที่เห็นว่าแถวนี้ได้มีปลาว่ายมารวมกันอยู่อย่างมากมายจึงลงอวนเพื่อจับพวกปลาเหล่านั้น ฝูงปลาต่าง ๆ และเจ้าปลาใหญ่ฝูงนั้นก็เช่นกัน ด้วยไม่ทันระวังตัวจึงติดอวนของชาวประมงเสียแล้ว พวกปลาต่างๆ ตกใจและพยายามว่ายหนีกันให้เป็นการใหญ่   เจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายก็พยายามที่จะว่ายหนีกับเขาด้วยเหมือนกัน แต่ด้วยพวกเจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายนั้นตัวของพวกมันใหญ่มากอย่างกะปลายักษ์     จึงไม่สามารถที่จะหนีไปทางไหนได้เลย  จึงจำต้องติดอวนของชาวประมงไปอย่างน่าสงสาร  ส่วนฝูงปลาเล็กนั้นด้วยตัวเล็กและผอมกันจนจะเหลือแต่กระดูก     จึงสามารถว่ายลอดอวนออกมาได้อย่างง่ายดาย    
เจ้าปลาจิ๋วเมื่อหลุดรอดออกมาได้ก็ว่ายไปหาปลาใหญ่ที่ติดอวนอยู่และกำลังจะถูกยกขึ้นไปสู่ด้านบนอยู่นั้นแล้วพูดว่า
ปลาใหญ่เอ๋ย  ท่านคืออาหารของคน แต่เราไม่ใช่  เราดีใจที่อ่อนแอกว่าท่าน
ที่มา : www.suriyothai.ac.th


ภาพ : http://thaigoodview.com/files/u70817/jpeg.jpg

ใช่หรือไม่ อากาศเมื่อร้อนไปถึงที่สุดก็จะมีสายฝนโปรยลงมาเพื่อลบร้อน คลายอบอ้าวลง เป็นความเมตตาของธรรมชาติ ที่ไม่เคยเลือกหน้าตา เลือกเชื้อชาติ ศาสนา หากคนเรามีใจเมตตา ทำหัวใจให้เล็กลงแต่เปิดกว้าง ดีกว่ามีหัวใจที่ใหญ่แต่ปิดมืดมิดและกระด้าง ก็จะทำให้โลกนี้น่าอยู่มิใช่น้อยและไม่ว่าเราจะใหญ่โต เล็กกระจิดริดสักเพียงใด แต่ทุกคนก็อยู่ในโลกเดียวกัน เราต้องเมตตาต่อกัน เราต้องช่วยกัน มีหัวใจที่เห็นคนอื่น เพื่อลดความร้อนแรงของความขัดแย้งในสังคมโลกนี้ให้ลดลงบ้าง อย่าให้ความร้อนของอากาศเป็นภาวะที่ให้เราปล่อยอารมณ์เสีย ๆ ปล่อยคลื่นความโกรธต่อกันเลย ใช้ช่วงเวลาที่มีค่าสร้างความชุ่มฉ่ำแก่กัน ดังคนกระหายหาน้ำแล้วมาพบเจอเราเป็นคนหยิบยื่นน้ำเย็นสักแก้วให้เขาดื่ม นี่คือสิ่งที่เราควรทำควรเป็น เพื่อความรอดพ้นแห่งความทุกข์เข็ญของมวลมนุษย์....

ไม่มีความคิดเห็น: