หยุด “ด่วน”
การขับรถออกจากกรุงเทพฯบนถนนสายเอเชีย ในตอนบ่าย ๆ
เป็นการขับรถที่มีความสุขพอสมควร รถราไม่เยอะ ถนนหลายช่องทาง และค่อนข้างจะเรียบ
แต่ก็ไม่วายที่จะเห็นรถหลายคันขับขี่ด้วยความเร็วที่สูง อาจจะรีบเร่งไปทำธุระ
อาจจะรีบกลับไปให้ถึงเป้าหมาย
ในระหว่างขับก็ยังมีบ้างบางคนที่นึกจะแซงนึกจะเลี้ยวก็ตัดสินใจโดยไม่ได้เปิดไฟขอทาง
หรือเป็นเพราะรถที่ทันสมัยขึ้นสามารถทำความเร็วได้มากขึ้น
หรืออาจจะเป็นความใจร้อนของผู้คนวันนี้ ที่ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่าง
ทุกเวลานาทีมีแต่ความรีบเร่ง ด่วนจี๋มีอยู่ในทุกลมหายใจ หรือว่า เราช้าเกินไป
คงไม่ใช่
เพราะอย่างน้อยเราก็เดินทางถึงเป้าหมายในเวลาที่ตั้งใจไว้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ
ปัญหามักเกิดขึ้นกับทุกคนได้เสมอ
อันนี้ย่อมเป็นสัจธรรม เพียงแต่ว่าเมื่อมีปัญหา เรามีปัญญาเกิดขึ้นหรือเปล่า
สำหรับชายหนุ่มหญิงสาววัยที่กำลังเติบโตขึ้นเพื่อรับช่วงต่อในสังคม
มักจะพบเจอกับปัญหาในการอยู่ร่วมกันระหว่างเพื่อน หรือกลุ่มสังกัด
ความไม่เข้าใจกันนำไปสู่ความขัดแย้ง และก่อให้เกิดความตึงเครียดคิดมากติดตามมา
บางคนก็ด่วนตัดสินใจทำอะไรลงไปด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ ยิ่งในสังคมทุกวันนี้ที่เรามักมิค่อย
“หยุด” ใช้ความคิดไต่ตรองใคร่ครวญเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยสติกันสักเท่าไร อะไรที่เห็นที่ได้ยินเข้าสู่ประสาทสัมผัสก่อน
ก็มักจะเชื่อแบบหมดใจ อะไรที่เกิดขัดใจ เราก็มักโต้กลับด้วยกายสัมผัสทันที
ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ในยุคที่มีกระแสความใหม่ล่าสุด ข่าวด่วน ข่าวเร็ว
ข่าวลือ กระพือในทุกนาทีจนไม่มีเวลาให้หยุดคิดพินิจพิจารณา ว่ามาก็ว่าตามกัน
จึงกลายเป็นอุปนิสัย “ด่วนด่า” “ด่วนแสดงภูมิ” “ด่วนโชว์”
โดยเพียงแค่อ่านหรือเห็นแค่คำโปรยหัวข้อ ที่สุดก็“ด่วนตัดสิน”คนอื่นบนพื้นฐานแห่งความฉาบฉวย
สิ่งเหล่านี้คือการสร้างและปลูกฝังความเครียดสู่กันและกันแบบไม่รู้ตัว
“จะทำอย่างไรอยู่ดี
ๆ ก็ถูกต่อว่า” เด็กสาวคนหนึ่งถามขึ้นในวันที่เธอร้องไห้และเครียดหนักกับปัญหาของการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น
สำหรับเธอ...นี่อาจจะเป็นปัญหาใหญ่โตถึงขั้นโลกแถบจะระเบิด แต่สำหรับเรา...ผู้ที่เกิดมาก่อนมองเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องเล็ก
ๆ น้อย ๆ ที่เดี๋ยวมันก็ผ่านเลยไป
“แล้ว...เราเป็นอย่างที่เขากล่าวหาหรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดแก้ต่างแก้ตัวอะไรอย่าไปต่อล้อต่อเถียงให้เลี่ยงเบี่ยงตัวออกมา”
และอีกหลายคำปลอบโยนเพื่อให้อารมณ์ขุ่นข้องได้ลดลงบ้างถึงแม้ว่าเธอผู้นั้นจะไม่ยอมเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ต้องเสียน้ำตา
เพราะกลัวว่าผู้ใหญ่จะไปลงโทษเพื่อนร่วมกลุ่ม อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งงดงามเล็ก ๆ
ที่งอกเงยขึ้นในหัวใจที่ไม่ยอมจะทำร้ายคนอื่นด้วยการกล่าวโทษกันไปมา เพราะถ้าทำแบบนั้นรังแต่จะยิ่งสร้างปัญหาโดยไม่รู้จบ
การเลือกที่จะนิ่งแบบเสียน้ำตาคนเดียวก็เป็นจุดเริ่มต้นของความเมตตา
คำถามสุดท้าย
“แล้วถ้าเพื่อนมาขอโทษล่ะจะยอมยกโทษให้หรือเปล่า” เธอตอบทันที “ค่ะ”
การให้อภัยหยุดทุกอย่างลงได้จริง ๆ และรอยยิ้มก็ปรากฏบนหน้า เธอคงได้พบกับสันติและผ่านวันเวลาที่ทุกข์โศกลงไปได้บ้าง
ทำให้คิดถึงเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง
นกสองตัวทะเลาะกันอยู่บนต้นไม้
ต่างก็ไม่ยอมซึ่งกันและกัน ยิ่งทียิ่งมีเสียงดังและสีหน้าของมันทั้งคู่ต่างแดงกล่ำ
และเหตุการณ์ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น นกฝั่งซ้ายจึงคว้าเอาอะไรสักอย่างขว้างใส่นกฝั่งขวา
เมื่อสิ่งที่มันปาไปถูกนกฝั่งตรงข้าม
มันตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่มันปาไปนั้นก็คือไข่ฟองสุดท้ายที่เหลืออยู่ในรังของมัน...ถึงตรงนี้จึง
“นก” เลยทั้งคู่ (นก : คำสแลงที่หมายถึง อด )
ใช่หรือไม่
ยามที่เราประสบกับเรื่องราวต่าง ๆ เราต้องรู้รับมือด้วยความสงบนิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในเวลาที่ต้องเจอกับปัญหาหรือเรื่องความขัดแย้ง จะต้องมีสติระงับอารมณ์ให้ได้
อย่าได้มุทะลุหรือเลือดร้อน เพราะมันไม่ก่อเกิดประโยชน์อันใด
และจะทำให้เรื่องราวยิ่งแย่ลง สุดท้ายยิ่งจะเพิ่มเติมความเจ็บปวดและความสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ในสังคมวันนี้ที่มีความเครียดจากภาวะปัจจัยภายนอกมากมาย
แตกต่างกันไปของแต่ละคนที่มักพบเจอปัญหาด้วยกันทั้งนั้น บางคนไม่ยอมปล่อยวางให้จิตใจว่างเว้นลงบ้าง
มีแต่ความขุ่นมัว และแยกแยะไม่ออกเอาปัญหาจากที่หนึ่งมาลงอีกที่หนึ่ง เพราะความเร่งรีบเร่งรวยรวบรัดตัดความให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วกระมัง
กระทั่งไม่มีเวลามองสิ่งรอบกายด้วยใจ ฟังด้วยจิต คิดเอาเอง
แล้วก็ด่วนทำในสิ่งที่มีอารมณ์ชักนำ จากนกตัวเดิม
ที่ทะเลาะกับเพื่อนพอกลับมาบ้านก็เป็นดังนี้
นกตัวผู้ออกไปเก็บผลไม้มาเก็บไว้ที่รัง
อีกกำชับไม่ให้ใครมาขโมย แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าแล้ง ผลไม้ที่มันหามา
ก็เริ่มเหี่ยวเพราะถูกแดดดูดเอาน้ำไปเสียหมด
วันหนึ่ง
มันสังเกตว่าปริมาณของผลไม้เริ่มลดน้อยลง มันคิดว่านกตัวเมียขโมยกิน ด้วยความโมโห
มันจึงจิกนกตัวเมียตายไปด้วยความโกรธ
และแล้วฝนก็ตกติดต่อกัน
3 วัน 3 คืน ทำให้ผลไม้ที่เหี่ยวแห้งในรัง กลับเต่งตึงอิ่มน้ำดังเดิม
เมื่อนกตัวผู้เห็นดังนั้น จึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง “ไม่น่าเลย
เราไม่น่าเข้าใจผิดเลย!”
ใช่..คนเรามักชอบ
“ตัดสิน” ผู้อื่นจากมุมมองและจริตของตนเป็นที่ตั้ง แต่..บางที “สิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยินมา”
กับ “สิ่งที่เป็นและสิ่งที่เกิดขึ้น” อาจจะไม่ใช่ที่เราคิดเสมอไป อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใคร
มองให้ครบทุกมุมทุกด้าน ทุกมิติ ทุกคนย่อมมีดีเป็นของตัวเอง เราควรที่จะต้องหัดมองด้วย
“ใจ” ใจที่ขาวสะอาดในการจะตัดสินคนอื่น ที่ไม่โอนเอนเพราะ “อคติ” โลกก็จะน่าอยู่
เราก็จะเป็นที่พักที่พึ่งแก่กันและกัน นี่คือสันติสุขที่กำลังรอคอยเราอยู่...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น