ปิดมืดมิด เปิดเจิดจรัส
คราใดที่มีโอกาสได้กลับบ้านเกิด ก็มักชอบที่จะไปยืนมองริมแม่น้ำเจ้าพระยา
บางครั้งก็ลงไปนั่งลงเล่นเอาเท้าแตะน้ำ เรียกบรรยากาศเมื่อวันวานคืนกลับมา ณ
แม่น้ำสายนี้ที่เคยลงแหวกว่าย ที่เคยท้าทายว่ายข้ามฝั่ง
สอนให้แข็งแรงและเพียรพยายาม นั่งมองต้นหญ้าพลิ้วไหวยามต้องแสงสุดท้ายปลายวัน ความงามในนามของความเรียบง่าย
เมื่อพูดถึงกำแพงก็คิดถึงข่าวเป็นที่ฮือฮาสำหรับนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา
ที่จะสร้างกำแพงสูงกั้นเขตแดนเม็กซิโกเพื่อกันกั้นผู้ลี้ภัยอพยพเข้ามาในดินแดนของตน
และยังจะให้คนเม็กซิกันเป็นคนจ่ายค่าก่อสร้างด้วย (ใครจะยอม)
ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วโลก ในเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวแบบนี้ทำให้คิดว่า
แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่าง ๆ พัฒนามากขึ้น
แต่คนเรามักถอยหลังกลับคืนสู่โลกของตัวเอง
ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของความเปลี่ยนแปลงเพื่อมวลมนุษย์ ยิ่งก้าวไกลใจยิ่งคับแคบ
ทั้ง ๆ ที่เรามีบทเรียนมาครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็ยังทำแบบเดิม ๆ เพราะเราพัฒนาแต่ทางด้านวัตถุ พัฒนาเพื่อตัวเอง
พัฒนาเพื่อให้ได้มาครอบครอง ในปี 1989 (ปีที่กำแพงเบอร์ลินถูกทลายลง) ขณะนั้นทั่วโลกมีรั้ว
หรือกำแพงปกป้องชายแดนเพียง 16 แห่งเท่านั้น จวบจนวันนี้
จากการสำรวจเมื่อปีที่ผ่านมา ปัจจุบันตัวเลขเพิ่มเป็นจำนวน 66 แห่ง รายงานจาก Elisabeth Vallet และมันคงจะมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย
ๆ ตราบใดที่จิตใจเรายังคับแคบมองเพียงด้านเดียว ประโยชน์ตนเท่านั้น
เมื่อชาวจีนโบราณต้องการอยู่อย่างปลอดภัย
พวกเขาได้สร้างกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นโดยเชื่อว่าจะไม่มีมนุษย์หน้าไหนสามารถปีนข้ามไปได้เพราะกำแพงสูงมาก
ทว่า...ภายในร้อยปีแรก หลังการสร้างกำแพงใหญ่
ปรากฏว่าเมืองจีนกลับถูกรุกรานถึงสามครั้ง
และในแต่ละครั้งกองทัพของศัตรูไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทะลวงหรือปีนข้ามกำแพงเลยแม้แต่น้อย
โดยทุกครั้งพวกเขาใช้วิธีติดสินบนยามเฝ้าประตูจากนั้นจึงเข้าทางประตูนั่นเองแน่นอนว่าชาวจีนมัวแต่ห่วงเรื่องสร้างกำแพงจนลืมสร้างคนเฝ้ากำแพง
แท้จริงการสร้างคนต้องมาก่อนการสร้างสิ่งอื่น
และนี่คือสิ่งที่พวกเราในทุกวันนี้ต้องตระหนักให้มาก Cr : m.eduzones.com
อย่าพยายามสร้างกำแพงขวางกั้นจิตใจของเราให้อับเฉา
ให้ชีวิตจมดิ่งอยู่ในความมืด เพราะกำแพงที่ก่อขึ้นในใจนั้น ท้ายที่สุดแล้วคนที่ถูกจองจำ
และกลายเป็นเชลยที่น่าสงสารที่สุด ก็คือ ตัวเราผู้สร้างมันขึ้นมา
และคงไม่มีใครที่จะมาทลายกำแพงนี้เพื่อเรานอกจากตัวเราเท่านั้น
แล้วเราจะทำให้ชีวิตเราก้าวไปสู่จุดนั้นทำไม!!!หากชีวิตเรามีแต่ความมืดมิดแล้วเราจะเป็นแสงสว่างสำหรับคนรอบข้างได้อย่างไร?
หรือ...เราต้องอาศัยความสว่างจากผู้อื่น
อีกนั่นแหละหากกำแพงทั้งสูงทั้งหนาของเราถูกสร้างไว้แล้ว
จะมีแสงใดเล่าเล็ดลอดเข้าไปได้ ถ้าเราต้องการให้ผู้อื่นช่วยเหลือ เราก็ต้องรู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่นก่อน
หากเราต้องการความรักเมตตาเราก็ต้องมีรักและเมตตาในหัวใจก่อน
ไม่ใช่นิ่งนอนอยู่แต่ในกำแพงปิดทุกทิศทาง
ในชีวิตของผู้คนยุคใหม่ในวันนี้
มีหลายคนที่มักจะสร้างกำแพงเพื่อบดบังสิ่งดี ๆ ในตัว และกักขังคุณค่าที่งดงามเก็บซ่อนอยู่ภายในใจ
จึงทำให้สิ่งดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ สังคมจึงดูไร้เรื่องราวที่ดี
ๆ ที่งดงาม วัน ๆ เราจึงเห็นแต่ผู้คนแสดงความใจแคบ แสดงอคติที่อยู่ในมุมมืดออกมา
เพราะความหนาของความเห็นแก่ตัวและความมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นกำแพงที่แข็งแกร่งเกินกว่าไป ใช่หรือไม่ กำแพงที่สร้างด้วยอิฐ
หิน ปูน ทราย แม้จะมีความยิ่งใหญ่ หรือแข็งแกร่งสักปานใด เราก็สามารถที่จะทะลวงทลายให้ร่วงมากองกับพื้นได้
กระทั่งทำให้ละเอียดเป็นผุยผงได้ด้วยแรงระเบิดเพียงไม่กี่นาที แต่กำแพงที่เราสร้างขึ้นในใจของตน
เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่ใครจะมาทำให้เป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเจ้าของชีวิต
การทลายกำแพงจิตใจนั้นไม่ยากไปกว่าการสร้างเลย แค่ค่อย ๆ
เพิ่มประตู ใส่หน้าต่างรับรู้ รับแสงสว่างจากภายนอกบ้าง นำเอาสิ่งที่ดีงามของเราภายใต้กำแพงออกมาเพื่อให้ผู้อื่นได้ชื่นชมบ้าง
แม้จะมีไม่กี่คนที่เห็นคุณค่า
กาลเวลาจะช่วยขัดเกลาและพัฒนาสิ่งนั้นให้งดงามยิ่งขึ้น กำแพงแข็งแกร่งแห่งใจ ต้องใช้ความรักเมตตาความอ่อนโยนเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือทลายให้อ่อนน้อมลง
ไม่นานแสงแห่งความดีงามนี้ก็จะก่อประกายเจิดจรัสสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้พบเห็น ใครเล่าจะปฏิเสธแสงแรกแห่งวันที่ส่องลงมายังแผ่นดินพื้นน้ำได้
ขอเพียงแค่อย่าพยายามสร้างกำแพงขวางกั้นจิตใจของเราเลย มาช่วยกันทลายสลายกำแพงที่กักขังจิตใจของเราให้หมดไป
แล้วร่วมกันสร้างหนทางแห่งความดีที่มั่นคงแข็งแรง ที่ยืนยาวประดับไว้ในโลกนี้
...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น