วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ปิดมืดมิด เปิดเจิดจรัส

ปิดมืดมิด เปิดเจิดจรัส
            คราใดที่มีโอกาสได้กลับบ้านเกิด ก็มักชอบที่จะไปยืนมองริมแม่น้ำเจ้าพระยา บางครั้งก็ลงไปนั่งลงเล่นเอาเท้าแตะน้ำ เรียกบรรยากาศเมื่อวันวานคืนกลับมา ณ แม่น้ำสายนี้ที่เคยลงแหวกว่าย ที่เคยท้าทายว่ายข้ามฝั่ง สอนให้แข็งแรงและเพียรพยายาม นั่งมองต้นหญ้าพลิ้วไหวยามต้องแสงสุดท้ายปลายวัน ความงามในนามของความเรียบง่าย


ทุกสรรพสิ่งย่อมมีคุณค่าและความงามในตัวเสมอสายน้ำยังคงไหลไป ตะวันลาลับกลับไปแล้วมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น สิ่งรอบ ๆ ริมแม่น้ำสายนี้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มีกำแพงเขื่อนกั้นที่แข็งแรงพอที่จะสู้กับน้ำที่ท่วมล้นได้ยามฤดูน้ำหลาก และป้องกันการพังทลายของตลิ่งริมชายฝั่ง ความสูงของกำแพงเขื่อนทำให้การขึ้นลงไปนั่งเล่นริมแม่น้ำมีความยากลำบากมากขึ้น แต่ความงามและความร่มเย็นก็ไม่อาจจะต้านทานความลำบากเล็กน้อยนี้ลงได้ กำแพงมีไว้ป้องกันแต่ไม้ได้มีไว้เพื่อปิดกัน...


เมื่อพูดถึงกำแพงก็คิดถึงข่าวเป็นที่ฮือฮาสำหรับนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ที่จะสร้างกำแพงสูงกั้นเขตแดนเม็กซิโกเพื่อกันกั้นผู้ลี้ภัยอพยพเข้ามาในดินแดนของตน และยังจะให้คนเม็กซิกันเป็นคนจ่ายค่าก่อสร้างด้วย (ใครจะยอม) ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วโลก ในเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวแบบนี้ทำให้คิดว่า แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่าง ๆ พัฒนามากขึ้น แต่คนเรามักถอยหลังกลับคืนสู่โลกของตัวเอง ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของความเปลี่ยนแปลงเพื่อมวลมนุษย์ ยิ่งก้าวไกลใจยิ่งคับแคบ ทั้ง ๆ ที่เรามีบทเรียนมาครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็ยังทำแบบเดิม ๆ  เพราะเราพัฒนาแต่ทางด้านวัตถุ พัฒนาเพื่อตัวเอง พัฒนาเพื่อให้ได้มาครอบครอง ในปี 1989 (ปีที่กำแพงเบอร์ลินถูกทลายลง) ขณะนั้นทั่วโลกมีรั้ว หรือกำแพงปกป้องชายแดนเพียง 16 แห่งเท่านั้น จวบจนวันนี้ จากการสำรวจเมื่อปีที่ผ่านมา ปัจจุบันตัวเลขเพิ่มเป็นจำนวน 66 แห่ง รายงานจาก Elisabeth Vallet และมันคงจะมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ ตราบใดที่จิตใจเรายังคับแคบมองเพียงด้านเดียว ประโยชน์ตนเท่านั้น
เมื่อชาวจีนโบราณต้องการอยู่อย่างปลอดภัย พวกเขาได้สร้างกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นโดยเชื่อว่าจะไม่มีมนุษย์หน้าไหนสามารถปีนข้ามไปได้เพราะกำแพงสูงมาก
ทว่า...ภายในร้อยปีแรก หลังการสร้างกำแพงใหญ่ ปรากฏว่าเมืองจีนกลับถูกรุกรานถึงสามครั้ง และในแต่ละครั้งกองทัพของศัตรูไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทะลวงหรือปีนข้ามกำแพงเลยแม้แต่น้อย โดยทุกครั้งพวกเขาใช้วิธีติดสินบนยามเฝ้าประตูจากนั้นจึงเข้าทางประตูนั่นเองแน่นอนว่าชาวจีนมัวแต่ห่วงเรื่องสร้างกำแพงจนลืมสร้างคนเฝ้ากำแพง แท้จริงการสร้างคนต้องมาก่อนการสร้างสิ่งอื่น และนี่คือสิ่งที่พวกเราในทุกวันนี้ต้องตระหนักให้มาก Cr : m.eduzones.com
           
และวันนี้เราสร้างคน สร้างตนเพื่อให้เป็นคนใจกว้างมากน้อยแค่ไหน ในสังคมวันนี้เรามักเห็นต่างคนต่างสร้างกำแพงทั้งหนาทั้งสูงเพื่อปกป้องตัวเองด้วยกันทั้งนั้น จนไม่มองเห็นทางออก แน่ล่ะ เราสร้างกำแพงปกป้องตัวเองได้ ในขณะเดียวกันเราก็อย่าลืมที่จะทำประตูในกำแพงนั้นเพื่อเปิดออกสู่สังคมภายนอกและเพื่อต้อนรับเพื่อนสนิทมิตรสหายด้วย เรามิได้เกิดมาเพียงเพื่อตัวเอง เราล้วนเกิดมาเพื่อกันและกัน เกิดมาพึ่งพิงกัน เกื้อกูลแบ่งปันกัน ภายใต้กำแพงเราก็มักเห็นเพียงด้านเดียว คือด้านที่เราอยู่ ไม่ว่าที่ใดยิ่งปกปิดยิ่งมืดมิดและอับเฉา ยิ่งครอบงำยิ่งสูญเสีย
อย่าพยายามสร้างกำแพงขวางกั้นจิตใจของเราให้อับเฉา ให้ชีวิตจมดิ่งอยู่ในความมืด เพราะกำแพงที่ก่อขึ้นในใจนั้น ท้ายที่สุดแล้วคนที่ถูกจองจำ และกลายเป็นเชลยที่น่าสงสารที่สุด ก็คือ ตัวเราผู้สร้างมันขึ้นมา และคงไม่มีใครที่จะมาทลายกำแพงนี้เพื่อเรานอกจากตัวเราเท่านั้น แล้วเราจะทำให้ชีวิตเราก้าวไปสู่จุดนั้นทำไม!!!หากชีวิตเรามีแต่ความมืดมิดแล้วเราจะเป็นแสงสว่างสำหรับคนรอบข้างได้อย่างไร? หรือ...เราต้องอาศัยความสว่างจากผู้อื่น อีกนั่นแหละหากกำแพงทั้งสูงทั้งหนาของเราถูกสร้างไว้แล้ว จะมีแสงใดเล่าเล็ดลอดเข้าไปได้ ถ้าเราต้องการให้ผู้อื่นช่วยเหลือ เราก็ต้องรู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่นก่อน หากเราต้องการความรักเมตตาเราก็ต้องมีรักและเมตตาในหัวใจก่อน ไม่ใช่นิ่งนอนอยู่แต่ในกำแพงปิดทุกทิศทาง
นชีวิตของผู้คนยุคใหม่ในวันนี้ มีหลายคนที่มักจะสร้างกำแพงเพื่อบดบังสิ่งดี ๆ ในตัว และกักขังคุณค่าที่งดงามเก็บซ่อนอยู่ภายในใจ จึงทำให้สิ่งดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ สังคมจึงดูไร้เรื่องราวที่ดี ๆ ที่งดงาม วัน ๆ เราจึงเห็นแต่ผู้คนแสดงความใจแคบ แสดงอคติที่อยู่ในมุมมืดออกมา เพราะความหนาของความเห็นแก่ตัวและความมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นกำแพงที่แข็งแกร่งเกินกว่าไป ใช่หรือไม่ กำแพงที่สร้างด้วยอิฐ หิน ปูน ทราย แม้จะมีความยิ่งใหญ่ หรือแข็งแกร่งสักปานใด เราก็สามารถที่จะทะลวงทลายให้ร่วงมากองกับพื้นได้ กระทั่งทำให้ละเอียดเป็นผุยผงได้ด้วยแรงระเบิดเพียงไม่กี่นาที แต่กำแพงที่เราสร้างขึ้นในใจของตน เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่ใครจะมาทำให้เป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเจ้าของชีวิต




การทลายกำแพงจิตใจนั้นไม่ยากไปกว่าการสร้างเลย แค่ค่อย ๆ เพิ่มประตู ใส่หน้าต่างรับรู้ รับแสงสว่างจากภายนอกบ้าง นำเอาสิ่งที่ดีงามของเราภายใต้กำแพงออกมาเพื่อให้ผู้อื่นได้ชื่นชมบ้าง แม้จะมีไม่กี่คนที่เห็นคุณค่า กาลเวลาจะช่วยขัดเกลาและพัฒนาสิ่งนั้นให้งดงามยิ่งขึ้น กำแพงแข็งแกร่งแห่งใจ ต้องใช้ความรักเมตตาความอ่อนโยนเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือทลายให้อ่อนน้อมลง ไม่นานแสงแห่งความดีงามนี้ก็จะก่อประกายเจิดจรัสสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้พบเห็น ใครเล่าจะปฏิเสธแสงแรกแห่งวันที่ส่องลงมายังแผ่นดินพื้นน้ำได้ ขอเพียงแค่อย่าพยายามสร้างกำแพงขวางกั้นจิตใจของเราเลย มาช่วยกันทลายสลายกำแพงที่กักขังจิตใจของเราให้หมดไป แล้วร่วมกันสร้างหนทางแห่งความดีที่มั่นคงแข็งแรง ที่ยืนยาวประดับไว้ในโลกนี้ ...

ไม่มีความคิดเห็น: