วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2560

วัน คืน ความสุข

วัน คืน ความสุข
วันหยุดพักผ่อนช่วงปีใหม่ผ่านไปอีกครั้งหนึ่ง ปีใหม่นี้ มีวันหยุด ๔ วัน  ก็คงมีหลายคนที่เก็บสิทธิ์วันลาวันหยุดเมื่อปีที่ผ่านมาไว้เพื่อนำมาใช้ในช่วงนี้ เรียกว่าขอหยุดยาว ๆ ตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของปี จะได้มีวันหยุดสัก ๖-๗วัน เพื่อจะได้พักผ่อนให้เต็มที่ ชาร์จพลังชีวิตที่เคยหดหายไป มีบ้างบางคนเลือกที่จะอยู่กรุงเทพฯ ใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ ในวันที่ท้องถนนโล่ง ๆ ไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่อาจจะหาของกินอาหารยากสักหน่อย นี่ก็เป็นวิถีชีวิตของแต่ละคนที่จะเลือกมีความสุขกับวันเวลาช่วงปีใหม่ หากลองสังเกตดู ปีใหม่ปีนี้เป็นปีที่ไม่ต้องบันเทิงเกินไป เป็นปีที่หลายคนหลายครอบครัวเลือกที่จะกินเลี้ยงอยู่ในบ้าน เป็นคืนที่มีความสุขแบบ “หอมหวาน” ในวิมานบ้านเกิด เป็นปีที่ไม่ต้องแย่งกันเดินบนถนนที่ปิดให้ผู้คนออกมานับเวลาถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ เป็นปีที่ “อบอุ่น” ที่ได้นั่งรอคอยวันใหม่กับคนใกล้ชิด นับว่าเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ปีที่สงบไม่วุ่นวาย หลายคนมีความสุขกับชีวิตที่ไม่ต้องมีอะไรเว่อวังอลังการ ที่สำคัญสุดการได้มีเวลาได้ทบทวนและให้ความสำคัญกับการพูดคุยกันในครอบครัว

สำหรับ “คนข้างวัด” ปีนี้ก็เป็นการขึ้นปีใหม่อีกปีหนึ่งที่ได้รับความสุขใจ อิ่มเอม ไม่แพ้ปีก่อน ๆ ด้วยวิถีชีวิตที่พยายามจัดสรรให้ลงตัวมากที่สุด มีเวลาอยู่กับเพื่อนร่วมงาน แบ่งปันถึงการทำงานร่วมกันให้มีความสุขจนนาทีสุดท้าย ช่วงนาทีส่งท้ายปีเก่าแม้จะอยู่ในที่ที่อากาศหนาวเย็น แต่กลับอบอุ่นท่ามกลางมิตรภาพ และการรับฟังเรื่องราวใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนจากผู้ชำนาญการ และเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการเดินทางภายในวันเดียว ๓ จังหวัด จากขอนแก่น มากรุงเทพฯ เข้าวัดเซนต์หลุยส์ และบ่ายกลับบ้านเกิดสิงห์บุรี ดูเหมือนว่าน่าจะเหน็ดเหนื่อย ตรงข้ามรู้สึกว่าได้รับพลังเพิ่มขึ้น เช้าวันต่อมาตื่นมาทักทายแสงวันใหม่ริมเจ้าพระยา มุมเดิมที่สีสันวันเวลาแตกต่างไป ความสุขแบบนี้หาซื้อที่ไหนไม่ได้จริง ๆ ได้มีเวลาอยู่กับแม่ พี่น้อง หลาน ๆ ได้เที่ยวได้ร่วมกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ได้มีเวลาเยี่ยมเยียน ขอบคุณญาติผู้ใหญ่ที่ให้ความอุปการะดูแลตลอดปีที่ผ่านมา ได้มีเวลาขอโทษขอโพยต่อความบกพร่องต่อกัน ทั้งหลายทั้งปวงแล้วเหมือนวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ความสุขยังคงต้องพยายามเก็บรักษาเอาไว้ให้นาน เพื่อนำไปเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตเราพัฒนา วัฒนามากยิ่งขึ้น ๆ ไป 

ในบางครั้งบนวันเวลาระหว่างปี เรามักมีความโลภความอยากมีนั่นมีนี่ อยากมีเงินเยอะ ๆ อยากถูกหวย อยากรวย อยาก ๆ อีกหลายอยาก แอบฝันไว้ว่าคงจะมีความสุขเพิ่มขึ้นกว่านี้ถ้ามีความสะดวกสบายมาเติมเต็ม แต่หารู้ไม่ว่าในทุกวันเวลานั้นมักมีความสุขให้เราอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญ เราไม่ใส่ใจที่จะให้วันคืนเหล่านั้นนำความสุขมาให้อยู่กับเราต่างหาก จิตใจมักเตลิด ว้าวุ่น สับสน วนเวียนอยู่กับคำว่า เมื่อไรจะมี เมื่อไรจะรวย เมื่อไรจะได้ แล้วก็พลั้งเผลอใจออกนอกลู่นอกทาง เราอยู่ในยุคที่มีความฝันลม ๆ แล้ง ๆ  คอยยุแยงให้เสียพลังใจ
ต้นปีเราก็มักเห็นคนทำนายเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดวงคนเกิดราศีนั้นราศีนี้ไม่ดี ใครเกิดปีนี้จะชงกับปีนั้นตามสื่อต่าง ๆ พออ่านไปอ่านมาเกิดอาการวิตกกังวล จะทำอะไรก็มีปมอยู่ว่าดวงเราจะดีหรือร้าย ความเชื่อใจในตัวเองหดหายมลายไป ความวางใจในพระเจ้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะความเชื่อของเราเกินครึ่งถูกเทไปทางเรื่องโชคเรื่องดวง เช่นนี้แล้ว วันเวลาของเราก็อยู่กับสิ่งเหล่านั้นแหละ ยังวน ๆ เวียน ๆ อยู่กับสิ่งภายนอก ใช่หรือไม่ ความสุขของเราอยู่ที่การวางตัวและการวางใจของเรา ถ้าเรามีชีวิตอยู่บนความพอเพียง ไม่ก่อหนี้ ไม่ไขว่คว้าเกินความจำเป็น มีความสุขอยู่กับคนใกล้ตัว ดูแลกัน หยอกล้อกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน แบ่งปันรอยยิ้มให้กัน ไว้วางใจต่อกัน และที่สุดแล้วยอมที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นคนเรียกร้อง จะมีอะไรหอมหวานดีไปกว่าความปรารถนาดีต่อกันเล่า นี่แหละปฐมเหตุของความสุข

มามองในภาพที่ใหญ่ขึ้น เราจะเห็นว่าประเทศที่เคยร่ำรวยทางด้านเศรษฐกิจ ร่ำรวยจากการเอารัดเอาเปรียบทางด้านการค้า การครอบครองทรัพยากร เริ่มจะประสบปัญหามากขึ้น เพราะการใช้จ่ายที่เกินตัว และการกอบโกยที่เกินไป มาถึงวันหนึ่งระบบเหล่านั้นก็พังไม่มีทางที่จะยั่งยืนถาวร ทุนนิยมไม่อาจจะต่อกรกับธรรมนิยมได้ สังคมโลกเริ่มปรับตัวหาจุดสมดุล สังคมไหนที่ผู้คนมีความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณ สังคมนั้นย่อมอยู่รอด สังคมไหนที่เต็มไปด้วยรักและเมตตาอาทรต่อกัน สังคมนั้นย่อมมีสันติ แล้วสังคมไทยเราจะเป็นแบบไหนก็ต้องอยู่ที่เราจะเริ่มต้นปีใหม่นี้อย่างไร หันมาให้ความรักความเมตตา แบ่งปันน้ำใจต่อกันให้มาก ๆ  ลดการแข่งขันเอารัดเอาเปรียบที่ชอบใช้ความร่ำรวยมาต่อรองกับชีวิต หยุดใช้อำนาจหน้าที่เข้าข่มเหงผู้ต่ำต้อยกว่า เพียงเท่านี้ความสุขก็จะคืนกลับมา ไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมาคืนความสุข ทำวันเวลาของเราให้มีความสุขด้วยตัวเอง แล้วความสงบสุขจะตามมาและจะดำรงอยู่ตราบนานเท่านาน อย่ามัวแต่แสวงหาความร่ำรวยแต่จงแสวงหาความรักที่ส่งถ่ายให้กันและกันโดยไม่มีกำไรขาดทุนมาเป็นตัวชี้วัด....

ช่วงเที่ยงวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเป็นประธานในการอวยพรแด่โรมและโลก (Urbi et Orbi) ซึ่งในหนึ่งปีจะทำสองครั้งคือวันคริสต์มาสและวันปาสกา) โดยปีนี้ พระสันตะปาปาทรงกล่าวว่า “อำนาจของพระกุมาร พระบุตรของพระเจ้าและบุตรของแม่พระ ไม่ได้เป็นอำนาจของโลกนี้ซึ่งตั้งอยู่บนการใช้กำลังและความร่ำรวย แต่นี่คือพลังแห่งความรัก นี่คือพลังที่สร้างสวรรค์และโลก และให้ชีวิตแก่สิ่งสร้างทั้งปวง พลังแห่งความรักนี้นี่เอง ที่นำพระเยซูคริสต์ผู้ถ่อมตนลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์และมอบชีวิตพระองค์บนไม้กางเขน นี่ยังเป็นอำนาจของการรับใช้ซึ่งเริ่มต้นอาณาจักรของพระเจ้าบนโลกใบนี้ อาณาจักรของความยุติธรรมและสันติ” (Pope Report)

ไม่มีความคิดเห็น: