วัน คืน
ความสุข
วันหยุดพักผ่อนช่วงปีใหม่ผ่านไปอีกครั้งหนึ่ง
ปีใหม่นี้ มีวันหยุด ๔ วัน ก็คงมีหลายคนที่เก็บสิทธิ์วันลาวันหยุดเมื่อปีที่ผ่านมาไว้เพื่อนำมาใช้ในช่วงนี้
เรียกว่าขอหยุดยาว ๆ ตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของปี จะได้มีวันหยุดสัก ๖-๗วัน เพื่อจะได้พักผ่อนให้เต็มที่
ชาร์จพลังชีวิตที่เคยหดหายไป มีบ้างบางคนเลือกที่จะอยู่กรุงเทพฯ ใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ
ในวันที่ท้องถนนโล่ง ๆ ไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่อาจจะหาของกินอาหารยากสักหน่อย นี่ก็เป็นวิถีชีวิตของแต่ละคนที่จะเลือกมีความสุขกับวันเวลาช่วงปีใหม่
หากลองสังเกตดู ปีใหม่ปีนี้เป็นปีที่ไม่ต้องบันเทิงเกินไป
เป็นปีที่หลายคนหลายครอบครัวเลือกที่จะกินเลี้ยงอยู่ในบ้าน เป็นคืนที่มีความสุขแบบ
“หอมหวาน” ในวิมานบ้านเกิด
เป็นปีที่ไม่ต้องแย่งกันเดินบนถนนที่ปิดให้ผู้คนออกมานับเวลาถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่
เป็นปีที่ “อบอุ่น” ที่ได้นั่งรอคอยวันใหม่กับคนใกล้ชิด นับว่าเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ปีที่สงบไม่วุ่นวาย
หลายคนมีความสุขกับชีวิตที่ไม่ต้องมีอะไรเว่อวังอลังการ ที่สำคัญสุดการได้มีเวลาได้ทบทวนและให้ความสำคัญกับการพูดคุยกันในครอบครัว
สำหรับ “คนข้างวัด”
ปีนี้ก็เป็นการขึ้นปีใหม่อีกปีหนึ่งที่ได้รับความสุขใจ อิ่มเอม ไม่แพ้ปีก่อน ๆ
ด้วยวิถีชีวิตที่พยายามจัดสรรให้ลงตัวมากที่สุด มีเวลาอยู่กับเพื่อนร่วมงาน แบ่งปันถึงการทำงานร่วมกันให้มีความสุขจนนาทีสุดท้าย
ช่วงนาทีส่งท้ายปีเก่าแม้จะอยู่ในที่ที่อากาศหนาวเย็น แต่กลับอบอุ่นท่ามกลางมิตรภาพ
และการรับฟังเรื่องราวใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนจากผู้ชำนาญการ และเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการเดินทางภายในวันเดียว
๓ จังหวัด จากขอนแก่น มากรุงเทพฯ เข้าวัดเซนต์หลุยส์ และบ่ายกลับบ้านเกิดสิงห์บุรี
ดูเหมือนว่าน่าจะเหน็ดเหนื่อย ตรงข้ามรู้สึกว่าได้รับพลังเพิ่มขึ้น เช้าวันต่อมาตื่นมาทักทายแสงวันใหม่ริมเจ้าพระยา
มุมเดิมที่สีสันวันเวลาแตกต่างไป ความสุขแบบนี้หาซื้อที่ไหนไม่ได้จริง ๆ ได้มีเวลาอยู่กับแม่
พี่น้อง หลาน ๆ ได้เที่ยวได้ร่วมกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ได้มีเวลาเยี่ยมเยียน
ขอบคุณญาติผู้ใหญ่ที่ให้ความอุปการะดูแลตลอดปีที่ผ่านมา ได้มีเวลาขอโทษขอโพยต่อความบกพร่องต่อกัน
ทั้งหลายทั้งปวงแล้วเหมือนวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ความสุขยังคงต้องพยายามเก็บรักษาเอาไว้ให้นาน
เพื่อนำไปเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตเราพัฒนา
วัฒนามากยิ่งขึ้น ๆ ไป
ในบางครั้งบนวันเวลาระหว่างปี
เรามักมีความโลภความอยากมีนั่นมีนี่ อยากมีเงินเยอะ ๆ อยากถูกหวย อยากรวย อยาก ๆ
อีกหลายอยาก แอบฝันไว้ว่าคงจะมีความสุขเพิ่มขึ้นกว่านี้ถ้ามีความสะดวกสบายมาเติมเต็ม
แต่หารู้ไม่ว่าในทุกวันเวลานั้นมักมีความสุขให้เราอยู่เสมอ
เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญ
เราไม่ใส่ใจที่จะให้วันคืนเหล่านั้นนำความสุขมาให้อยู่กับเราต่างหาก
จิตใจมักเตลิด ว้าวุ่น สับสน วนเวียนอยู่กับคำว่า เมื่อไรจะมี เมื่อไรจะรวย
เมื่อไรจะได้ แล้วก็พลั้งเผลอใจออกนอกลู่นอกทาง เราอยู่ในยุคที่มีความฝันลม ๆ แล้ง
ๆ คอยยุแยงให้เสียพลังใจ
ต้นปีเราก็มักเห็นคนทำนายเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ดวงคนเกิดราศีนั้นราศีนี้ไม่ดี ใครเกิดปีนี้จะชงกับปีนั้นตามสื่อต่าง ๆ
พออ่านไปอ่านมาเกิดอาการวิตกกังวล จะทำอะไรก็มีปมอยู่ว่าดวงเราจะดีหรือร้าย ความเชื่อใจในตัวเองหดหายมลายไป
ความวางใจในพระเจ้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะความเชื่อของเราเกินครึ่งถูกเทไปทางเรื่องโชคเรื่องดวง
เช่นนี้แล้ว วันเวลาของเราก็อยู่กับสิ่งเหล่านั้นแหละ ยังวน ๆ เวียน ๆ อยู่กับสิ่งภายนอก
ใช่หรือไม่ ความสุขของเราอยู่ที่การวางตัวและการวางใจของเรา ถ้าเรามีชีวิตอยู่บนความพอเพียง
ไม่ก่อหนี้ ไม่ไขว่คว้าเกินความจำเป็น มีความสุขอยู่กับคนใกล้ตัว ดูแลกัน
หยอกล้อกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน แบ่งปันรอยยิ้มให้กัน ไว้วางใจต่อกัน
และที่สุดแล้วยอมที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นคนเรียกร้อง จะมีอะไรหอมหวานดีไปกว่าความปรารถนาดีต่อกันเล่า
นี่แหละปฐมเหตุของความสุข
มามองในภาพที่ใหญ่ขึ้น
เราจะเห็นว่าประเทศที่เคยร่ำรวยทางด้านเศรษฐกิจ
ร่ำรวยจากการเอารัดเอาเปรียบทางด้านการค้า การครอบครองทรัพยากร เริ่มจะประสบปัญหามากขึ้น
เพราะการใช้จ่ายที่เกินตัว และการกอบโกยที่เกินไป มาถึงวันหนึ่งระบบเหล่านั้นก็พังไม่มีทางที่จะยั่งยืนถาวร
ทุนนิยมไม่อาจจะต่อกรกับธรรมนิยมได้
สังคมโลกเริ่มปรับตัวหาจุดสมดุล สังคมไหนที่ผู้คนมีความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณ
สังคมนั้นย่อมอยู่รอด สังคมไหนที่เต็มไปด้วยรักและเมตตาอาทรต่อกัน
สังคมนั้นย่อมมีสันติ
แล้วสังคมไทยเราจะเป็นแบบไหนก็ต้องอยู่ที่เราจะเริ่มต้นปีใหม่นี้อย่างไร
หันมาให้ความรักความเมตตา แบ่งปันน้ำใจต่อกันให้มาก ๆ ลดการแข่งขันเอารัดเอาเปรียบที่ชอบใช้ความร่ำรวยมาต่อรองกับชีวิต
หยุดใช้อำนาจหน้าที่เข้าข่มเหงผู้ต่ำต้อยกว่า เพียงเท่านี้ความสุขก็จะคืนกลับมา
ไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมาคืนความสุข ทำวันเวลาของเราให้มีความสุขด้วยตัวเอง
แล้วความสงบสุขจะตามมาและจะดำรงอยู่ตราบนานเท่านาน
อย่ามัวแต่แสวงหาความร่ำรวยแต่จงแสวงหาความรักที่ส่งถ่ายให้กันและกันโดยไม่มีกำไรขาดทุนมาเป็นตัวชี้วัด....
ช่วงเที่ยงวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส
ทรงเป็นประธานในการอวยพรแด่โรมและโลก (Urbi et Orbi) ซึ่งในหนึ่งปีจะทำสองครั้งคือวันคริสต์มาสและวันปาสกา)
โดยปีนี้ พระสันตะปาปาทรงกล่าวว่า “อำนาจของพระกุมาร พระบุตรของพระเจ้าและบุตรของแม่พระ
ไม่ได้เป็นอำนาจของโลกนี้ซึ่งตั้งอยู่บนการใช้กำลังและความร่ำรวย
แต่นี่คือพลังแห่งความรัก นี่คือพลังที่สร้างสวรรค์และโลก
และให้ชีวิตแก่สิ่งสร้างทั้งปวง พลังแห่งความรักนี้นี่เอง ที่นำพระเยซูคริสต์ผู้ถ่อมตนลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์และมอบชีวิตพระองค์บนไม้กางเขน
นี่ยังเป็นอำนาจของการรับใช้ซึ่งเริ่มต้นอาณาจักรของพระเจ้าบนโลกใบนี้
อาณาจักรของความยุติธรรมและสันติ” (Pope Report)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น