เลิกเสพติดตัวเอง
แต่ก่อนนั้นเราคิดว่าเราสามารถที่จะดูแลร่างกายให้แข็งแรง
ด้วยการเลือกที่จะบริโภคสิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์ และโรคภัยจะไม่มีทางมากล้ำกรายเราได้
แต่ก่อนเคยคิดว่าการพบแพทย์และการเข้าโรงพยาบาลคือการเสียเวลาและเสียเงินทอง
เพราะเสียดายเงินที่หามา บางทีมีความคิดอคติด้วยซ้ำว่าการรักษาสมัยใหม่ไม่ได้ช่วยอะไรได้ในวันที่เจ็บป่วย
แต่แล้ว...ในวันที่ต้องมานั่งเฝ้ารอคอยคนข้างกายหน้าห้องผ่าตัด ณ เวลานั้น การรอคอยและความเชื่อใจในแพทย์คือสิ่งเดียวที่ทำได้
ได้เห็นการทำงานของคณะแพทย์และพยาบาลที่ดูแลอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ทำให้อคติที่มีมามลายหายไป เข้าใจการทำงานของโรงพยาบาลมากขึ้น ยิ่งเมื่อได้พูดคุยกับคนที่ร่วมชะตาความเจ็บป่วยในช่วงเวลาแบบนี้ด้วยแล้ว
ยิ่งเข้าในโลก การพบเจอกันก่อเกิดมิตรภาพได้เพื่อน ได้รับรู้ความทุกข์เดือดร้อนของคนอื่นมากขึ้น
ความเย่อหยิ่งทะนงตัวลดน้อยลง น้อมรับความไม่เที่ยงของชีวิตได้ง่ายขึ้น
และที่สุดได้สัมผัสช่วงเวลาแห่งความรักผ่านทางผู้คนคุ้นเคย คุ้นชินมากขึ้น
น้ำดืมที่ค่อยๆ หมดลง ระหว่างการรอคอย |
ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ
อดีตวิศวกรองค์การนาซ่า เคยถามตัวเองว่า “เมื่อเดินทางไปถึงขอบจักรวาล เกิน 450 ล้านปีแสง
ถ้าถึงตรงนั้นแล้วจะได้อะไรขึ้นมา”
ภาพ : https://c2.staticflickr.com/8/7666/17123240849_14b0883f48_b.jpg |
ก่อนที่เราจะใช้เหรียญบาททุกวันนี้
เราเคยอยู่กันแบบ “Gift
Economy” มาก่อน ใครมีอะไรเหลือเกินความต้องการก็แบ่งปันกัน
ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องแลก จนถึง 9,000 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อสังคมขยายตัว
มนุษย์มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น จึงพัฒนามาเป็นระบบ “Barter” โดยใช้เมล็ดพันธุ์พืช ปศุสัตว์ เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน เรื่อยมาถึง
700 ปีก่อนคริสตกาล “เงิน” จึงกำเนิดบนโลก
เมื่อจีนและอินเดียเริ่มผลิตเหรียญทองและเงินเพื่อความสะดวกในการแลกเปลี่ยน
เพราะระบบ “Barter” ไม่สามารถทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนได้หากความต้องการทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน
อีกทั้งสิ่งของที่ใช้แลกเปลี่ยนก็อาจมีการเสื่อมสลายจนไม่สามารถเก็บสะสมไว้ได้ จากนั้นเงินได้ออกเดินทางอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
จนเกิดเป็น “Bill of Exchange” สมัยยุโรปกลางตามความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า
“ธนบัตร” ใบแรกของโลกในจีน
สมัยราชวงศ์ซ่ง จนถึงวันวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
ไมเคิล มัวร์
ผู้กำกับรางวัลอะคาเดมี่ เคยถามตัวเองว่า “What is the price that America pays for its love of
capitalism?” ก่อนจะทำสารคดี Capitalism: A Love Story จนพบต้นตอของความล่มสลายที่เกิดจากเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ยอมพังประเทศตัวเองและโลกใบนี้เพื่อกำไรสูงสุดนักการเมืองคอรัปชั่นแก้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและบริษัท
บนความเสียหายของประชาชน และบ่อนการพนันอันดับหนึ่งของโลกที่ชื่อวอลล์สตรีท
และสิ่งที่คนอเมริกันต้องจ่ายเพื่อแลกกับความรักในทุนนิยม
ก็คือประเทศถูกบริหารในรูปแบบบริษัทมากกว่าชาติ เพื่อ “ผลตอบแทนสูงสุด” ของ “ผู้ถือหุ้นใหญ่” ซึ่งเป็นเหล่ามหาเศรษฐีจำนวน 1
เปอร์เซ็นต์ของประเทศ ในขณะที่หลายแสนชีวิตตกงาน ไม่มีที่อยู่ ไม่เหลือเงินออม
ระบบการศึกษาที่สอนให้คนมองมิติเศรษฐกิจสำคัญที่สุด
และคนที่มีความสามารถต่างเลือกที่จะทำงานกับองค์กรโลภมากกว่าสร้างสมดุลกับสังคมหรือ
“เงิน” จะเดินทางมาไกลเกินกว่าแค่เพื่อ
“ความสะดวกในการแลกเปลี่ยน”
Misereor เป็นองค์กรการกุศลยุโรปที่คอยช่วยเหลือเด็กทั่วโลก
พอเศรษฐกิจยุโรปพัง เงินบริจาคก็ลดลง เพราะคนต้องตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ทีมงานเลยต้องทำให้คนเห็นความจำเป็นอย่างเป็นรูปธรรม
เลยสร้างกล่องรับบริจาคดัดแปลงจาก Interactive Billboard ทันทีที่หยอดเหรียญ
2 ยูโร ผู้บริจาคจะเห็นการเดินทางของเงินเพื่อสร้างสิ่งดีๆ
จากจุดหยอดเงินสู่โปรเจ็กต์ดีๆ อย่างสาธารณสุขในอินเดีย เกษตรยั่งยืนในอาฟริกา
พลังงานหมุนเวียนในไลบีเรีย เมื่อถึงปลายทางกล้องที่ซ่อนอยู่ใน billboard จะเก็บภาพผู้บริจาคและขออนุญาตโพสต์ในเฟซบุ๊คเพื่อชวนคนบริจาคด้วยไวรัลหรือการบอกต่อ
ภายในไม่กี่วันตู้บริจาคนั้นตู้เดียวได้เงินบริจาคถึง 2,000 ยูโร จนกลายเป็นข่าว
เรามีเวลาหาเงิน แต่ไม่มีเวลาให้กับคนที่เรารักหรือเปล่า?
เราทิ้งความฝันและยอมทำงานที่เราเกลียด
เพื่อจะได้มีเงินไปซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นกับชีวิตหรือเปล่า? ผ่านไปกว่า 2,700
ปี เงินก็ยังคงเป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่ปีศาจ คนต่างหากที่กำหนดเส้นทางเดินของมันว่าจะเป็นสิ่งที่มีอำนาจบงการชีวิตคนและโลกใบนี้
หรือจะเป็นไปเพื่อให้เราช่วยเหลือกันได้สะดวกขึ้น (จากหนังสือ Heart Sell !)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น