วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

พลังหายไปไหน

พลังหายไปไหน
เกือบทั้งร้อยเกือบทุกคนที่มีกิจวัตรใหม่ที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวนั่นคือก่อนเข้านอนก่อนล้มตัวลงนอนต้องเสียบชาร์จแบตเตอรี่มือถือเพื่อให้ตื่นเช้าขึ้นมามีพลังงานเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ และในทุกเช้าเราลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับหยิบมันขึ้นมาดูว่าแบตเตอรี่พร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วหรือไม่ หากวันไหนลืมเสียบหรือเสียบแล้วไฟไม่เข้า เช้านั้นจะเป็นอะไรที่หงุดหงิดมากบางคนยังไม่พอเท่านั้นในระหว่างวันระหว่างทางต้องมีแบตเตอรี่สำรองพาวเวอร์แบงค์บางเครื่องก็ใหญ่พอๆ กับสมาร์ทโฟนเลยทีเดียวใช่หรือไม่เราให้ความสำคัญกับเครื่องมือสื่อสารเครื่องมือแก้เหงาของเราอย่างยิ่งจนทำให้เราหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไปนั่นคือพลังชีวิตที่หดหายไป เราคิดที่จะชาร์จ ที่จะปลุกที่จะต่อเติมเพิ่มให้มีขึ้นในทุกเช้าวันใหม่หรือไม่
ภาพ : http://cms.toptenthailand.net/file/journal/20160602142212448/20160602142212448_thumb.jpg
ก่อนนอนเราชาร์จมือถือแต่...เรามักล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้าอ่อนเพลียอ่อนแอท้อแท้เหลือพลังน้อยเต็มทีเราก็ไม่เคยคิดจะชาร์จหรือจะทำอะไรเพื่อเพิ่มพลังในแต่ละวันเลย ปล่อยให้เลยตามเลยตื่นนอนขึ้นมาแทนที่จะมีพลังพร้อมที่จะออกไปสู่สังคมมีแต่ความเบื่อหน่ายและไร้ชีวิตชีวาเช้ามาลืมตาตื่นก็ไม่เคยสนใจว่าพลังของตัวเองพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่าในระหว่างวันได้ทำงานได้ปฏิบัติภารกิจเราใช้พลังหมดไปมากน้อยแค่ไหน หมดไปกับเรื่องอะไรที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อเราเองและผู้อื่นบ้างไหมมีการเตรียมพลังเสริมเหมือนการเตรียมพาวเวอร์แบงค์หรือไม่อย่างไร หรือ...เราไม่เคยสนใจเลยปล่อยให้พลังใจพลังกายหายไปกับสายลมมีชีวิตที่ล่องลอยไปวันๆ เพื่อฆ่าความฝันฝังความหวังให้เสร็จสิ้นหรือเพียงรอคอยให้มีใครสักคนเป็นคนมาชาร์จมาเป็นคนเพิ่มพลังมากระตุ้นให้ลุกยืนได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวอย่างนั่นหรือ.. เรากำลังตกอยู่ในภาวะที่ชีวิตไร้พลัง พลังเสื่อม พลังหายไปจากชีวิตหรือไม่
หากพิจารณาดูพลังชีวิตของเรามีอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือ พลังภายนอกและภายใน ทั้งสองนี้จะประสานสอดคล้องกัน ในวันที่เราหมดพลังกายก็จะเป็นวันที่จิตใจห่อเหี่ยว เป็นวันที่เครียด กังวล ในวันนั้นร่างกายก็อ่อนล้า ไม่สดชื่น จะทำการงานทำสิ่งใดดูจะไม่ราบรื่น วิธีการที่จะช่วยให้เพิ่มพลังที่หายไป ดึงความมีชีวิตชีวากลับมาแบบง่าย ๆ ได้ก็คือการปรับเปลี่ยนสีหน้าท่าทางต้องเปลี่ยนจากข้างใน หยุดคิดถึงสิ่งที่ทำให้เครียด กังวล และยิ้มรับกับทุกสถานการณ์ในชีวิตให้ได้มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่สีหน้าท่าทางของเราดูเครียด ดูเศร้า ดูกังวล ถ้าข้างในของเราคิดถึงเรื่องที่มีความสุขและความทรงจำที่ดี
ภาพ : https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2015/09/S__9650178.jpg
การดูแลสุขภาพร่างกายของประทานชิ้นเอกจากพระเจ้า ก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำเป็นอันดับต้น ๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่พอเหมาะและมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง ไม่ใช้ร่างกายทำงานจนเกินขีดจำกัด แต่ขณะเดียวกันเวลาที่จะทำอะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุด ฝึกนิสัยที่จะทำอะไรก็ทำสุด ๆ จะทำงานก็เต็มที่ไม่กั๊ก จะเล่นก็เต็มที่ไม่กั๊ก จะเรียนก็เรียนเต็มที่ไม่กั๊ก จะพูดจะคุยก็พูดคุยเต็มที่ไม่กั๊กในเวลาที่ทำอะไรสุด ๆ เรากำลังได้ปลดปล่อยพลังในตัวเราออกมา ยิ่งปลดปล่อยพลังออกมาเท่าไหร่ พลังในตัวยิ่งถูกชาร์จให้มันมากยิ่งขึ้น แต่ไฟหรือพลังในตัวเราจะไม่มีทางออกมาได้เลย ถ้าเรา “กั๊ก” ถ้าลองสังเกตคนที่ดูมีชีวิตชีวา มีพลังในการทำทุก ๆ กิจกรรมสิ่งที่คนเหล่านี้ทำคือ “จะทำอะไรสุด ๆ ทำเต็มที่” ยิ่งถ้าให้ทำงานหรือทำกิจกรรมในเรื่องที่เรารักจะทำให้เรามีความสุขในขณะที่ทำและทำงานด้วยความทุ่มเทจะทำให้เรามีพลังชีวิตเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เราทำพลังชีวิตเกิดขึ้นจากการที่เราทำอย่างจริงใจทำเต็มที่ไม่วอกแวก ไม่เหลียวหลังกังวลกับสิ่งที่ทำ
และส่วนที่สำคัญสุดคือพลังภายในที่เรามักจะมองข้ามผ่านไป พลังกายที่หายไปก็มาจากพลังใจเหือดแห้ง มีหลายหลากวิธีที่เราจะสร้างพลังใจให้กลับคืนมา เช่น การออกไปเที่ยวในสถานที่ธรรมชาติที่เราชื่นชอบและใช้เวลาชื่นชมธรรมชาติจะทำให้เรามีพลังชีวิตที่เพิ่มขึ้น การล่องเรือชมธรรมชาติการเดินป่า การดูนก การดูดอกไม้ที่สวยงาม การมาวัดฟังมิสซาในทุกวันอาทิตย์อย่างตั้งใจ มาสวดภาวนา มาสัมผัสกับความเงียบสงบบ้าง ก็จะทำให้เรามีพลังชีวิตที่เพิ่มขึ้น การทำบุญและทำทานให้ให้แก่ผู้ขาดแคลน โดยหวังให้เขามีความสุขและพ้นทุกข์จะทำให้เรามีพลังชีวิตเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ยิ่งเฉพาะในปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรมการช่วยเหลือคนพิการคนป่วยด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็จะทำให้เรามีพลังชีวิตเพิ่มมากขึ้น การชมเชยตนเองในสิ่งที่เราทำความดีในเรื่องต่าง ๆ และไม่ตำหนิตนเองในเรื่องที่เราทำดีที่สุดแล้ว แต่ผลลัพธ์ยังไม่ได้ตามเป้าหมาย นี่ก็เป็นการเรียกคืนพลังชีวิตให้กลับคืนมา การทำสิ่งดี ๆ เพื่อตอบแทนบุคคลผู้มีพระคุณต่อเราอย่างสม่ำเสมอ การเสียสละประโยชน์ตนเองเพื่อผู้อื่นหรือเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เช่น การมีจิตอาสาทำประโยชน์เพื่อสังคมในเรื่องต่าง ๆการขอโทษผู้อื่นในสิ่งที่เราทำผิดพลาดและหาทางแก้ไขหรือกระทำบางอย่างเพื่อแสดงความรับผิดชอบในความผิดพลาดที่เราทำไป ล้วนแต่จะทำให้เรามีพลังชีวิตที่สูงขึ้น มีอีกหลายวิธีที่เราจะทำให้พลังชีวิตที่หายไปกลับคืนมาได้

ในยุคที่เราให้ความสำคัญกับพลังงานเพื่อเครื่องไม้เครื่องมืออย่างที่สุด เราก็ต้องไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับพลังชีวิตเรา ต้องรู้จักที่จะเติมพลังอยู่เสมอ เพราะทุกวันเวลาเราต้องก้าวหน้าต่อไป โดยไม่มีการหยุดย่ำอยู่กับที่ แล้ววันนี้เราได้ก้าวหน้ามาไกลมากน้อยเพียงใด การเป็นลูกของพระถูกปล่อยปละละเลย เฉยชา ไปมากน้อยแค่ไหน หากเรามีเวลาพักตรองสักหน่อย วัดระดับพลังชีวิตของเราดูว่ามีอยู่มากน้อยสักเพียงใด เพียงพอต่อการก้าวย่างในวันเวลาที่จะมาถึงหรือไม่ อย่าปล่อยให้อาการขาดแคลนพลังงานเข้ามาเกาะกุมวิถีชีวิตเรา เพราะชีวิตเรามีค่ามากกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งปวง พลังชีวิตเป็นสิ่งที่ยิ่งเติมยิ่งเพิ่ม ไม่มีวันเสื่อมถอย เพียงแต่ว่าเราต้องไม่ปล่อยให้พลังนี้หายไปจากตัวเราบ่อย ๆ ช่วยกันชาร์จพลังชีวิตเพื่อเนรมิตโลกให้สวยงามกันต่อไป 

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เลิกเสพติดตัวเอง

เลิกเสพติดตัวเอง
แต่ก่อนนั้นเราคิดว่าเราสามารถที่จะดูแลร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการเลือกที่จะบริโภคสิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์ และโรคภัยจะไม่มีทางมากล้ำกรายเราได้ แต่ก่อนเคยคิดว่าการพบแพทย์และการเข้าโรงพยาบาลคือการเสียเวลาและเสียเงินทอง เพราะเสียดายเงินที่หามา บางทีมีความคิดอคติด้วยซ้ำว่าการรักษาสมัยใหม่ไม่ได้ช่วยอะไรได้ในวันที่เจ็บป่วย แต่แล้ว...ในวันที่ต้องมานั่งเฝ้ารอคอยคนข้างกายหน้าห้องผ่าตัด ณ เวลานั้น การรอคอยและความเชื่อใจในแพทย์คือสิ่งเดียวที่ทำได้ ได้เห็นการทำงานของคณะแพทย์และพยาบาลที่ดูแลอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ทำให้อคติที่มีมามลายหายไป เข้าใจการทำงานของโรงพยาบาลมากขึ้น ยิ่งเมื่อได้พูดคุยกับคนที่ร่วมชะตาความเจ็บป่วยในช่วงเวลาแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเข้าในโลก การพบเจอกันก่อเกิดมิตรภาพได้เพื่อน ได้รับรู้ความทุกข์เดือดร้อนของคนอื่นมากขึ้น ความเย่อหยิ่งทะนงตัวลดน้อยลง น้อมรับความไม่เที่ยงของชีวิตได้ง่ายขึ้น และที่สุดได้สัมผัสช่วงเวลาแห่งความรักผ่านทางผู้คนคุ้นเคย คุ้นชินมากขึ้น

น้ำดืมที่ค่อยๆ หมดลง ระหว่างการรอคอย
  ในขณะที่เฝ้ารอ ถึงแม้จะเคยเป็นคนที่ไม่ชอบรอคอยอะไรนานๆ หมดความอดทนได้ง่าย แต่สำหรับครั้งนี้ความอดทนในการรอคอยเป็นความหวังที่งดงามที่สุด
ในขณะที่เฝ้ารอนั่งคิดว่า แม้จะมีเงินทองมากก็ไม่ดีเท่ากับการมีชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ แม้ใครต่อใครจะบอกว่าการมีเงินเยอะๆ จะทำให้ชีวิตมีความสะดวกสบายมากขึ้น และทุกคนก็ได้รับการปลูกฝังมาจนรุ่นลูกรุ่นหลาน เวลาของชีวิตเกือบทั้งหมดจึงสูญไปกับการหาและเก็บเงินเก็บทอง ซึ่งเป็นเครื่องการันตีถึงความปลอดภัย (อาจจะไม่ใช่) เป็นที่มาของการแก่งแย่งแข่งขัน และเป็นที่มาของค่านิยมว่า ทุกคนจะต้องร่ำรวยให้ได้ จึงจะเรียกว่า “ประสบความสำเร็จ” เมื่อทุกคนพร้อมใจกันตกลงไปร่วมในกระแสธารนี้แล้ว ทุกคนจึงก้มหน้าก้มตาหาเพื่อตัวเอง ครั้นหลายคนมีสิ่งสะสมมากพอแล้ว ก็คิดว่าเก่งชาญฉลาดเหนือผู้อื่น สังคมวันนี้จึงเป็นสังคมที่เราเสพติดตัวเองกันมากเกินไป
ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ อดีตวิศวกรองค์การนาซ่า เคยถามตัวเองว่า เมื่อเดินทางไปถึงขอบจักรวาล เกิน 450 ล้านปีแสง ถ้าถึงตรงนั้นแล้วจะได้อะไรขึ้นมา
ภาพ : https://c2.staticflickr.com/8/7666/17123240849_14b0883f48_b.jpg
ก่อนที่เราจะใช้เหรียญบาททุกวันนี้ เราเคยอยู่กันแบบ “Gift Economy” มาก่อน ใครมีอะไรเหลือเกินความต้องการก็แบ่งปันกัน ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องแลก จนถึง 9,000 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อสังคมขยายตัว มนุษย์มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น จึงพัฒนามาเป็นระบบ “Barter” โดยใช้เมล็ดพันธุ์พืช ปศุสัตว์ เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน เรื่อยมาถึง 700 ปีก่อนคริสตกาล เงิน จึงกำเนิดบนโลก เมื่อจีนและอินเดียเริ่มผลิตเหรียญทองและเงินเพื่อความสะดวกในการแลกเปลี่ยน เพราะระบบ “Barter” ไม่สามารถทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนได้หากความต้องการทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน อีกทั้งสิ่งของที่ใช้แลกเปลี่ยนก็อาจมีการเสื่อมสลายจนไม่สามารถเก็บสะสมไว้ได้ จากนั้นเงินได้ออกเดินทางอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย จนเกิดเป็น “Bill of Exchange” สมัยยุโรปกลางตามความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า ธนบัตร ใบแรกของโลกในจีน สมัยราชวงศ์ซ่ง จนถึงวันวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
ไมเคิล มัวร์ ผู้กำกับรางวัลอะคาเดมี่ เคยถามตัวเองว่า “What is the price that America pays for its love of capitalism?” ก่อนจะทำสารคดี Capitalism: A Love Story จนพบต้นตอของความล่มสลายที่เกิดจากเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ยอมพังประเทศตัวเองและโลกใบนี้เพื่อกำไรสูงสุดนักการเมืองคอรัปชั่นแก้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและบริษัท บนความเสียหายของประชาชน และบ่อนการพนันอันดับหนึ่งของโลกที่ชื่อวอลล์สตรีท
และสิ่งที่คนอเมริกันต้องจ่ายเพื่อแลกกับความรักในทุนนิยม ก็คือประเทศถูกบริหารในรูปแบบบริษัทมากกว่าชาติ เพื่อ ผลตอบแทนสูงสุด ของ ผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นเหล่ามหาเศรษฐีจำนวน 1 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ ในขณะที่หลายแสนชีวิตตกงาน ไม่มีที่อยู่ ไม่เหลือเงินออม ระบบการศึกษาที่สอนให้คนมองมิติเศรษฐกิจสำคัญที่สุด และคนที่มีความสามารถต่างเลือกที่จะทำงานกับองค์กรโลภมากกว่าสร้างสมดุลกับสังคมหรือ เงินจะเดินทางมาไกลเกินกว่าแค่เพื่อ ความสะดวกในการแลกเปลี่ยน
Misereor เป็นองค์กรการกุศลยุโรปที่คอยช่วยเหลือเด็กทั่วโลก พอเศรษฐกิจยุโรปพัง เงินบริจาคก็ลดลง เพราะคนต้องตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ทีมงานเลยต้องทำให้คนเห็นความจำเป็นอย่างเป็นรูปธรรม เลยสร้างกล่องรับบริจาคดัดแปลงจาก Interactive Billboard ทันทีที่หยอดเหรียญ 2 ยูโร ผู้บริจาคจะเห็นการเดินทางของเงินเพื่อสร้างสิ่งดีๆ จากจุดหยอดเงินสู่โปรเจ็กต์ดีๆ อย่างสาธารณสุขในอินเดีย เกษตรยั่งยืนในอาฟริกา พลังงานหมุนเวียนในไลบีเรีย เมื่อถึงปลายทางกล้องที่ซ่อนอยู่ใน billboard จะเก็บภาพผู้บริจาคและขออนุญาตโพสต์ในเฟซบุ๊คเพื่อชวนคนบริจาคด้วยไวรัลหรือการบอกต่อ ภายในไม่กี่วันตู้บริจาคนั้นตู้เดียวได้เงินบริจาคถึง 2,000 ยูโร จนกลายเป็นข่าว
เรามีเวลาหาเงิน แต่ไม่มีเวลาให้กับคนที่เรารักหรือเปล่า? เราทิ้งความฝันและยอมทำงานที่เราเกลียด เพื่อจะได้มีเงินไปซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นกับชีวิตหรือเปล่า? ผ่านไปกว่า 2,700 ปี เงินก็ยังคงเป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่ปีศาจ คนต่างหากที่กำหนดเส้นทางเดินของมันว่าจะเป็นสิ่งที่มีอำนาจบงการชีวิตคนและโลกใบนี้ หรือจะเป็นไปเพื่อให้เราช่วยเหลือกันได้สะดวกขึ้น (จากหนังสือ Heart Sell !)

              สิ่งหนึ่งที่เราจะทำได้เพื่อให้เรามีความสุขอย่างแท้จริงนั่นคือการเลิกเสพติดตัวเองลงบ้าง ละทิ้งตัวเองกันบ้าง มองให้ไกลจากตัวเองบ้าง แล้วเราจะเข้าใจผู้อื่น เราจะใส่ใจกับคนรอบข้างได้ง่ายขึ้น แม้ว่า “เงิน” จะเปลี่ยนโลกมาอย่างยาวนาน แต่ความรักและความเมตตานั้นไม่เคยเปลี่ยนโลกนี้ให้เลวร้ายลงเลย..

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ในวันที่เกือบจะปล่อยมือ

ในวันที่เกือบจะปล่อยมือ
ใครที่ว่าเข้มแข็งที่สุด ย่อมต้องมีวันอ่อนแรงและอ่อนล้า ใครที่กล้าหาญชาญชัยที่สุด ย่อมมีวันที่ในใจเกิดหวาดหวั่นและสะทกสะท้านสะเทือน ใครที่ว่าแน่ เมื่อถึงจุดหนึ่งในวิกฤตของชีวิต ย่อมมีท้อแท้เป็นเรื่องธรรมดา ใครที่เคยเชื่อมั่นอย่างสุดซึ้ง ถึงวาระหนึ่งที่ความอ่อนแอเข้าครอบครองย่อมไขว้เขวและหมดความมั่นคงเอาง่ายๆ หนึ่งชีวิตบนหนทางมีความเจ็บป่วย มีความทุกข์ท้ออยู่รายรอบเพียงแต่ว่าจะเกิดขึ้นกับเรา ณ เวลาใด ในยามนั้นแหละทั้งร่างกายและจิตใจต่างอ่อนไหวอ่อนแอสอดรับกัน จนทำให้เกิดคำถาม ทำให้เกิดความสงสัยคลางแคลงใจและถูกชักจูงให้ปล่อยมือจากสิ่งที่เราเชื่อถือและศรัทธามาอย่างยาวนานได้ เพียงชั่วพริบตาที่ความทรมานเจ็บปวดเกือบจะมาพลัดพรากความรักของพระเจ้าไปจากเรา เหมือนคนกำลังจมน้ำเคว้งคว้างสับสน หมดเรี่ยวแรงที่จะยึดเหนี่ยวสิ่งใดๆ
ในสภาวะปกติเรามักจะบอกกล่าวเล่าขาน ให้คำแนะนำใครต่อใครที่ต้องการคำปรึกษา รักษาอาการที่ขาดความเชื่อ เราพูดได้อย่างคล่องปากให้ไว้ใจในพระ ให้ไว้วางใจในความดูแลของพระ แต่ในยามที่เราต้องประสบปัญหา มีความทุกข์ เผชิญกับความเจ็บป่วย เจอการสูญเสีย เรากลับไม่สามารถทำอย่างที่เคยให้คำแนะนำผู้อื่นไว้ได้ ซ้ำร้ายบางชั่วขณะ จิตใจล่องลอยเพื่อหาทางลัด เพื่อลดความทรมานจากทั้งหลายทั้งปวง


ในวันที่มือเกือบหลุดจากพระองค์ ทำให้รู้ว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา หาใช่เป็นของเรา เราไม่อยากป่วย แต่ร่างกายกลับเจ็บป่วย
ในวันที่มือเกือบจะปล่อยจากพระองค์ ทำให้ได้รู้ว่า ความรักของพระองค์มีมากล้นพ้นพรรณนา ที่ผ่านมายังมีคนที่ห่วงใยเราอย่างแท้จริง ยามที่ลืมตาตื่นแล้วเห็นคนเหล่านั้นอยู่รอบเตียง
ในวันที่มือนั้นไม่เคยปล่อยให้เราหลุดลอยไป ทำให้ได้รู้ว่า แม้ร่างกายที่แข็งแรงเพียงไหนหรือจิตใจที่เข้มแข็งเพียงใดก็ต้องการการเยียวยาเสมอ
ในวันที่มือนั้นไร้เรี่ยวแรงจะเหนี่ยวรั้งทำให้รู้ว่าผู้คนที่เจ็บป่วยเขาไม่เพียงอ่อนแอที่ร่างกายเท่านั้นแต่จิตใจเขาก็ต้องการคนดูแล ความเจ็บป่วยพัดโหมกระหน่ำดุจพายุ แต่การทุเลาเป็นเหมือนฟ้าที่ค่อยๆ สางจากเมฆมืดดำ ในวันนั้นทำให้รู้ว่า จิตใจที่เข้มแข็งอาจจะได้จากการใช้เวลาเยียวยาหรือสถานการณ์ดีๆ ช่วยรักษาต้องรู้จักป้องกันความอ่อนแอทางจิตใจ โดยอาศัยการสวดภาวนาเพื่อไม่ให้แพ้การผจญ

ในวันที่มือนั้นควานหาที่จับยึดทำให้ได้รู้ว่า แม้เราจะป้องกันความอ่อนแอทั้งจากร่างกายหรือจิตใจมากแค่ไหน อย่างไรเสียย่อมก็ต้องเจอความทุกข์อยู่ดีชีวิตย่อมมีทุกข์ความสุขเดี๋ยวก็มาสุขทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา มีมาเดี๋ยวมันก็ไป”… เพียงเข้าใจสุขทุกข์ พักพิงในพระเจ้าพักพิงในพระองค์ทุกอย่างก็จะดีเองขอบคุณวันเวลาที่ได้เรียนรู้รักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านทางคนที่ห่วงใย ผ่านทางคนที่เน้นย้ำว่าพระองค์ไม่มีวันทิ้งให้เราเดียวดาย มือนั้นช่างอบอุ่นและแข็งแกร่งยิ่งนักที่โอบประคองจนความเจ็บป่วยให้คลี่คลาย ไม่สายใช่ไหมที่จะขอโทษพระองค์ที่เกือบจะปล่อยมือจากพระองค์...

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ถ้าโลกเราเป็นเช่นนี้

ถ้าโลกเราเป็นเช่นนี้
หากโลกนี้เราแต่ละคนสละความสุขส่วนตัวคนละนิด ชีวิตของเราคงจะดีขึ้นกันทั่วถ้วนหน้า แต่บางครั้งด้วยอารมณ์ ด้วยภาวะ ด้วยสถานะ และสิ่งแวดล้อมบีบรัดเราจนทำให้เราต้องคิดถึงตัวเองก่อน ทำให้เราต้องตั้งหน้าตั้งตาหาความสุขเพื่อเพิ่มพูนชีวิตให้เปรมปรีดิ์ ยินดีแต่เพียงผู้เดียว ทุกคนจึงลืมกันและกัน ทุกคนจึงไม่สามารถมองเห็นคนอื่นในสายตา ทุกคนจึงเอาแต่พร่ำเพ้อพรรณนาถึงตัวเอง
หากโลกนี้มีแต่ความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว มัวหมกมุ่นกับเรื่องที่ไม่ไกลเกินจมูกตัวเอง โลกก็จะวุ่นวายกระหายหาความรักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กระวนกระวายที่จะให้คนอื่นเสิร์ฟส่งความสุขถึงที่ โดยไม่มีวี่แววว่าจะส่งมอบสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ได้รับ ได้สัมผัสมาสู่ผู้อื่น โลกวันนี้เราเป็นเช่นนี้ ใช่หรือไม่ เราอยากได้โลกที่งดงามก็ต้องเริ่มด้วยการให้ความงดงามจากใจสู่ใจ มอบสุขสู่กันและกันโดยมิหวังสิ่งใดตอบแทน หากเราตระหนักว่าทุกสิ่งในโลกล้วนไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ทุกสิ่งมีเพื่อทุกผู้คน ความสุขของเราคือความสุขของทุกคน ถ้าโลกเราเป็นเช่นนี้ มีหรือเราจะไม่พบสวรรค์บนแผ่นดิน
มีเด็กหนุ่มสามคน ต้น บอย และ บุญ ทั้งสามคนเป็นเพื่อนสนิทกันและมักจะชอบออกจากบ้านไปเดินเล่นผจญภัยกันเป็นประจำ เช้าวันหนึ่งทั้งสามคนได้เดินไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งห่างไกลจากถิ่นที่พวกเขารู้จัก มีกำแพงล้อมรอบ มีเสียงเพลงอันไพเราะแว่วมาจากภายในสถานที่แห่งนั้น ทั้งสามเกิดความสนใจว่าภายในนั้นมีอะไร จึงเดินวนรอบ ๆ กำแพงเพื่อจะหาทางเข้า แต่ก็หาไม่ได้ ต้นจึงไปหาไม้มาต่อเป็นบันไดและนำมาพาดกำแพง ต้นปีนขึ้นไปก่อน และให้เพื่อนอีกสองคนรออยู่ข้างล่าง พอขึ้นไปข้างบนสีหน้าของต้นเปลี่ยนไป เขามีความสุขอย่างยิ่งที่ได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้น โดยที่ไม่บอกเพื่อน ๆ ว่าเขาเห็นอะไร จากนั้นเขาก็ได้กระโดดเข้าไปข้างใน บอยกับบุญจึงเกิดความสงสัยว่าภายในนั้นมีอะไรดีนักหนา บอยจึงตามขึ้นไป ในระหว่างที่บุญรออยู่ข้างล่าง ซึ่งก็เช่นเดียวกับต้น สีหน้าของบอยเต็มไปด้วยความสุขแล้วบอยก็กระโดดเข้าไปข้างในเช่นกัน
บุญปีนขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย และเมื่อได้มองเข้าไปภายในนั้น เขาก็ได้เห็นความสุขที่รอเขาอยู่ตรงหน้า แต่แล้วเขาก็คิดได้อย่างหนึ่งว่า… “ที่นี่มีความสุขมากมายเหลือเกิน แต่ถ้าฉันจะกระโดดเข้าไปแล้ว แล้วใครละที่จะกลับไปบอกคนอื่นที่ยังไม่รู้ พวกเขาเหล่านั้นอาจจะมีความทุกข์อยู่ และคงต้องการที่จะมาที่นี่เช่นกัน
บุญจึงตัดสินใจกลับลงมาและเดินกลับไปยังหมู่บ้านของเขา เพื่อบอกให้ทุกคนทราบ แล้วก็ได้พาทุกคนมาสถานที่แห่งความสุขนั้น (Cr. ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)
ไม่ยากเกินไปใช่ไหม หากเราจะช่วยกันสร้างสังคมให้น่าอยู่ด้วยการรู้จักเสียสละบางสิ่งบางอย่างของตัวเรา แม้จะเป็นความสุขส่วนตัว เพื่อให้ผู้อื่นพบกับความสุขและให้ความสุขขยาย กระจายตัวออกไปดุจดังใยแมงมุม และทุกหัวใจทุกผู้คนจะมีสันติสุขประทับอยู่ตลอดไป..