เปิดใจให้แสงธรรมนำทาง
มีโอกาสไปเยือนย่างกุ้ง
เมียนมาร์ (พม่า) อีกครั้งหลังจากที่เคยไปเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงมีมากมาย
โดยเฉพาะรถยนต์บนถนนที่มีมากขึ้น ทำให้การจรจรติดขัด การเดินทางจึงเป็นความโกลาหลพอสมควร
เพราะถนนสร้างไม่พอ ประจวบกับรถยนต์ใช้พวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา แต่การขับขี่จะใช้เลนตรงข้ามกับบ้านเรา
จึงเกิดอาการมึนงงเล็กน้อย มีสิ่งหนึ่งที่ยังเห็นอย่างค่อนข้างจะเหนียวแน่น คือเรื่องวัฒนธรรมที่ยังเห็นผู้คนใส่โสร่ง
ไปทุกที่ทุกงาน และเรื่องความศรัทธาต่อศาสนาที่ยังมีให้เห็นอย่างมากมายตามวัดวาอารมต่างๆ
นี่กระมังที่ยังคงทำให้ชาวเมืองย่างกุ้ง ยังคงมีใบหน้าที่เปี่ยมสุข
เคยสังเกตไหม
เวลาเราพูดคุยกับคนที่มีความสุขเราจะเห็นความเปล่งปลั่งหลั่งออกมาทางใบหน้า
ต่างกับคนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ความเครียด ความโกรธเกลียดอาฆาตแค้น
คนเหล่านั้นมักจะมีใบหน้าที่หม่นหมองและหลบซ่อนสายตาอยู่ตลอดเวลา
เรามักเห็นคนเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ในสังคมวันนี้ ต่างคนต่างรุ่มร้อน ใจร้อน ใจร้าย
จนขาดสติควบคุมอารมณ์กันไม่ค่อยได้ และมักเห็นชีวิตคนอื่นไร้ค่าไม่อยู่ในสายตา
คิดว่าในโลกนี้จะมีใครเก่งกว่าตนหามีไม่ ทำตัวเป็นเจ้าที่เจ้าถนน ใหญ่คับฟ้า
คนเช่นนี้มักมีมุมมีพื้นที่ของตัวเอง โดยคิดว่านั่นคือจักรวาลอันไพศาล
ยึดมั่นในความคิดอุดมการณ์ที่เกินขนาด ความคิดของตัวเองคือ สิ่งที่ถูกทุกข้อ
หากไม่ได้ดั่งใจไฟในใจต้องลุกโชนพวยพุ่งออกมา การใช้ชีวิตแบบนี้หาความสุขมิได้เลย
และมักมองข้ามสิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิตไปครั้งแล้วครั้งเล่า
แล้วก็เฝ้าตามหาความงดงามตามใจฝันแบบไม่มีวันจะพบเจอ เหมือนดังเช่นชายคนนี้
นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อ ว่า ทิฐิ
เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดี ไม่ต่างจากชื่อ
เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว
ทิฐิคนนี้ก็จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน และจะไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากความเชื่อเดิมโดยเด็ดขาด
บางครั้งเขาก็ดื้อรั้นมากเกินไปจนขาดเหตุผล และทำให้สูญเสียสิ่งดีๆ
ในชีวิตไปมากมาย โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน
วันหนึ่งทิฐิตัดสินใจเดินทางไปยังที่ต่างๆ
การท่องโลกกว้างของทิฐิน่าจะทำให้เขามีความรู้ดีๆ หรือเกิดทัศนคติใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง
แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนกล่าวคำซึ่งผิดไปจากความรู้หรือความเชื่อมั่นเดิมของเขา
ทิฐิก็จะรีบกล่าวแก่คนๆ นั้นทันทีว่า “นั่นไม่ถูกเลยนะ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นดังที่ข้ารู้มาต่างหาก”
สิ่งนี้เองทำให้การเดินทางไปทั่วโลกของเขา
แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นในชีวิตของเขาเลย กระทั่งวันหนึ่งทิฐิได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนแห่งทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง
และไร้ผู้คนสัญจร เขาหลงทางอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสามวันสามคืน จนกระทั่งอาหาร
และน้ำดื่มร่อยหรอและหมดลงในที่สุด เดินต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงนอนบนผืนทรายอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง
แต่ทิฐิยังไม่อยากตายตอนนี้ ดังนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงขนาดไหน
แต่เขาก็รวบรวมพลังใจของตนเฝ้ากล่าวคำภาวนาขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ให้ช่วยเหลือเขาด้วย
“ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ได้โปรดเมตตาข้า ผู้ซึ่งไม่เคยเบียดเบียนใคร
ขอทรงประทานน้ำมาให้ข้าได้รักษาชีวิตของตนเองไว้ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ยังดี” แล้วในตอนนั้นเอง
ทิฐิก็เห็นชายแปลกหน้าชาวเยอรมันคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา ทิฐิดีใจสุดจะกล่าว
แล้วรีบพูดขึ้นทันทีว่า “โอ...ท่านผู้เป็นความหวังของข้า โปรดแบ่งน้ำของท่านให้ข้าดื่มด้วยเถิด”
ชายคนนั้นยื่นถุงหนังสีน้ำตาลในมือให้แก่ทิฐิ แล้วกล่าวว่า “นี่คือ วาสซ่าร์
จงดื่มเสียสิ”
แต่ทิฐิไม่อยากได้วาสซ่าร์
เขาอยากได้น้ำ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะรับถุงหนังสีน้ำตาลจากชายแปลกหน้าคนนั้น ชายคนนั้นจึงเดินจากไป
ทิฐิภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
คราวนี้มีชายชาวจีนคนหนึ่งเดินถือถุงหนังสีแดงเข้ามายื่นให้แก่ทิฐิ “นี่คือ น้ำ
ใช่หรือไม่” ทิฐิถามชายชาวจีน “นี่คือ
ซือจุ้ย จงดื่มเสียสิ” ชายชาวจีนตอบ
ทิฐิรู้สึกไม่พอใจ
ตอนนี้เขากระหายน้ำมากเหลือเกินแล้ว แต่ทำไมชายผู้นี้จึงนำซือจุ้ย
มามอบให้แก่เขาเล่า ทิฐิจึงปฏิเสธถุงหนังสีแดงของชายชาวจีน ชายชาวจีนจึงเดินจากไป
ทิฐิเริ่มภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก
และครั้งนี้มีผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่งมาปรากฏกายตรงหน้าของเขาในแทบจะทันที “เธอผู้มีใจเมตตา
ขอน้ำให้ข้าดื่มหน่อยเถิด” ทิฐิพึมพำคำอ้อนวอนออกจากริมฝีปากที่แห้งผาก “นี่คือ
ปานี จงดื่มเสียสิ” หญิงชาวอินเดียกล่าวพร้อมกับยื่นถุงหนังสีเขียวให้กับทิฐิ
แต่นั่นทำให้ทิฐิโกรธมาก เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ยกแขนปัดถุงหนังสีเขียวให้พ้นหน้า แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าไม่เอาของๆ เจ้า
ข้าจะตายเพราะขาดน้ำอยู่แล้ว ข้าต้องการน้ำเท่านั้น!”
หญิงอินเดียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เดินจากไปอีกคน
ทิฐิเฝ้าอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
แต่คราวนี้ไม่มีใครนำอะไรมายื่นให้เขาอีกแล้ว
จิตของทิฐิกำลังหลุดลอยออกจากร่างที่ใกล้แตกดับ
แล้วในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังแว่วๆ ให้ได้ยินว่า “ทิฐิคนถือดีเอ๋ย เราช่วยเจ้าแล้ว
แต่เจ้ากลับไม่เคยให้โอกาสตนเองเลย หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง
และยอมรับในข้อดีของสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียบ้าง
เจ้าก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังทั้งสามนั้น ต่างก็เป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ทั้งสิ้น”
เมื่อสิ้นเสียงแว่วนั้น ทิฐิคนถือดีก็สิ้นลมหายใจทันที (ที่มา: สำนักพิมพ์ฟรีมายด์
ชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)
ภาพ : http://www.amicidilazzaro.it/wp-content/uploads/2016/03/pasqua1-300x194.jpg |
ใช่หรือไม่ หากเราข้ามผ่านอคติของเราได้
และเปิดหัวใจรับสิ่งรอบตัวด้วยหัวใจแห่งรักและเมตตา
เราจะเห็นแสงทองที่ทอประกายสวยงามยามตื่น เราจะมีแสงธรรมนำทางยามล้มตัวลงนอน
เปลี่ยนอคติให้กลายเป็นทัศนคติที่ดี หามุมมองที่ดีของบุคคล ของสิ่งรอบตัวเรา
ความสุขแห่งชีวิตใหม่ แห่งวันใหม่ก็จะปรากฏบนใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส หากเราเปิดหัวใจให้แสงธรรมนำทางบ้าง เราจะพบกับปาสกาในชีวิตของเราได้เสมอๆ