วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

เปิดใจให้แสงธรรมนำทาง

เปิดใจให้แสงธรรมนำทาง
            มีโอกาสไปเยือนย่างกุ้ง เมียนมาร์ (พม่า) อีกครั้งหลังจากที่เคยไปเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงมีมากมาย โดยเฉพาะรถยนต์บนถนนที่มีมากขึ้น ทำให้การจรจรติดขัด การเดินทางจึงเป็นความโกลาหลพอสมควร เพราะถนนสร้างไม่พอ ประจวบกับรถยนต์ใช้พวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา แต่การขับขี่จะใช้เลนตรงข้ามกับบ้านเรา จึงเกิดอาการมึนงงเล็กน้อย มีสิ่งหนึ่งที่ยังเห็นอย่างค่อนข้างจะเหนียวแน่น คือเรื่องวัฒนธรรมที่ยังเห็นผู้คนใส่โสร่ง ไปทุกที่ทุกงาน และเรื่องความศรัทธาต่อศาสนาที่ยังมีให้เห็นอย่างมากมายตามวัดวาอารมต่างๆ นี่กระมังที่ยังคงทำให้ชาวเมืองย่างกุ้ง ยังคงมีใบหน้าที่เปี่ยมสุข

เคยสังเกตไหม เวลาเราพูดคุยกับคนที่มีความสุขเราจะเห็นความเปล่งปลั่งหลั่งออกมาทางใบหน้า ต่างกับคนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ความเครียด ความโกรธเกลียดอาฆาตแค้น คนเหล่านั้นมักจะมีใบหน้าที่หม่นหมองและหลบซ่อนสายตาอยู่ตลอดเวลา เรามักเห็นคนเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ในสังคมวันนี้ ต่างคนต่างรุ่มร้อน ใจร้อน ใจร้าย จนขาดสติควบคุมอารมณ์กันไม่ค่อยได้ และมักเห็นชีวิตคนอื่นไร้ค่าไม่อยู่ในสายตา คิดว่าในโลกนี้จะมีใครเก่งกว่าตนหามีไม่ ทำตัวเป็นเจ้าที่เจ้าถนน ใหญ่คับฟ้า คนเช่นนี้มักมีมุมมีพื้นที่ของตัวเอง โดยคิดว่านั่นคือจักรวาลอันไพศาล ยึดมั่นในความคิดอุดมการณ์ที่เกินขนาด ความคิดของตัวเองคือ สิ่งที่ถูกทุกข้อ หากไม่ได้ดั่งใจไฟในใจต้องลุกโชนพวยพุ่งออกมา การใช้ชีวิตแบบนี้หาความสุขมิได้เลย และมักมองข้ามสิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิตไปครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็เฝ้าตามหาความงดงามตามใจฝันแบบไม่มีวันจะพบเจอ เหมือนดังเช่นชายคนนี้
นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อ ว่า ทิฐิ เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดี ไม่ต่างจากชื่อ เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว ทิฐิคนนี้ก็จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน และจะไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากความเชื่อเดิมโดยเด็ดขาด บางครั้งเขาก็ดื้อรั้นมากเกินไปจนขาดเหตุผล และทำให้สูญเสียสิ่งดีๆ ในชีวิตไปมากมาย โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน
วันหนึ่งทิฐิตัดสินใจเดินทางไปยังที่ต่างๆ การท่องโลกกว้างของทิฐิน่าจะทำให้เขามีความรู้ดีๆ หรือเกิดทัศนคติใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนกล่าวคำซึ่งผิดไปจากความรู้หรือความเชื่อมั่นเดิมของเขา ทิฐิก็จะรีบกล่าวแก่คนๆ นั้นทันทีว่า “นั่นไม่ถูกเลยนะ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นดังที่ข้ารู้มาต่างหาก”
สิ่งนี้เองทำให้การเดินทางไปทั่วโลกของเขา แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นในชีวิตของเขาเลย กระทั่งวันหนึ่งทิฐิได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนแห่งทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง และไร้ผู้คนสัญจร เขาหลงทางอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสามวันสามคืน จนกระทั่งอาหาร และน้ำดื่มร่อยหรอและหมดลงในที่สุด เดินต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงนอนบนผืนทรายอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง แต่ทิฐิยังไม่อยากตายตอนนี้ ดังนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงขนาดไหน แต่เขาก็รวบรวมพลังใจของตนเฝ้ากล่าวคำภาวนาขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ช่วยเหลือเขาด้วย
“ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดเมตตาข้า ผู้ซึ่งไม่เคยเบียดเบียนใคร ขอทรงประทานน้ำมาให้ข้าได้รักษาชีวิตของตนเองไว้ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ยังดี”  แล้วในตอนนั้นเอง ทิฐิก็เห็นชายแปลกหน้าชาวเยอรมันคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา ทิฐิดีใจสุดจะกล่าว แล้วรีบพูดขึ้นทันทีว่า “โอ...ท่านผู้เป็นความหวังของข้า โปรดแบ่งน้ำของท่านให้ข้าดื่มด้วยเถิด” ชายคนนั้นยื่นถุงหนังสีน้ำตาลในมือให้แก่ทิฐิ แล้วกล่าวว่า “นี่คือ วาสซ่าร์ จงดื่มเสียสิ”
แต่ทิฐิไม่อยากได้วาสซ่าร์ เขาอยากได้น้ำ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะรับถุงหนังสีน้ำตาลจากชายแปลกหน้าคนนั้น ชายคนนั้นจึงเดินจากไป
ทิฐิภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง คราวนี้มีชายชาวจีนคนหนึ่งเดินถือถุงหนังสีแดงเข้ามายื่นให้แก่ทิฐิ “นี่คือ น้ำ ใช่หรือไม่”  ทิฐิถามชายชาวจีน “นี่คือ ซือจุ้ย จงดื่มเสียสิ” ชายชาวจีนตอบ
ทิฐิรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้เขากระหายน้ำมากเหลือเกินแล้ว แต่ทำไมชายผู้นี้จึงนำซือจุ้ย มามอบให้แก่เขาเล่า ทิฐิจึงปฏิเสธถุงหนังสีแดงของชายชาวจีน ชายชาวจีนจึงเดินจากไป
ทิฐิเริ่มภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก และครั้งนี้มีผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่งมาปรากฏกายตรงหน้าของเขาในแทบจะทันที “เธอผู้มีใจเมตตา ขอน้ำให้ข้าดื่มหน่อยเถิด” ทิฐิพึมพำคำอ้อนวอนออกจากริมฝีปากที่แห้งผาก “นี่คือ ปานี จงดื่มเสียสิ” หญิงชาวอินเดียกล่าวพร้อมกับยื่นถุงหนังสีเขียวให้กับทิฐิ แต่นั่นทำให้ทิฐิโกรธมาก เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยกแขนปัดถุงหนังสีเขียวให้พ้นหน้า แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าไม่เอาของๆ เจ้า ข้าจะตายเพราะขาดน้ำอยู่แล้ว ข้าต้องการน้ำเท่านั้น!”
หญิงอินเดียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เดินจากไปอีกคน ทิฐิเฝ้าอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีใครนำอะไรมายื่นให้เขาอีกแล้ว
จิตของทิฐิกำลังหลุดลอยออกจากร่างที่ใกล้แตกดับ แล้วในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังแว่วๆ ให้ได้ยินว่า “ทิฐิคนถือดีเอ๋ย เราช่วยเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยให้โอกาสตนเองเลย หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง และยอมรับในข้อดีของสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียบ้าง เจ้าก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังทั้งสามนั้น ต่างก็เป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ทั้งสิ้น” เมื่อสิ้นเสียงแว่วนั้น ทิฐิคนถือดีก็สิ้นลมหายใจทันที (ที่มา: สำนักพิมพ์ฟรีมายด์ ชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)
 ภาพ : http://www.amicidilazzaro.it/wp-content/uploads/2016/03/pasqua1-300x194.jpg

ใช่หรือไม่ หากเราข้ามผ่านอคติของเราได้ และเปิดหัวใจรับสิ่งรอบตัวด้วยหัวใจแห่งรักและเมตตา เราจะเห็นแสงทองที่ทอประกายสวยงามยามตื่น เราจะมีแสงธรรมนำทางยามล้มตัวลงนอน เปลี่ยนอคติให้กลายเป็นทัศนคติที่ดี หามุมมองที่ดีของบุคคล ของสิ่งรอบตัวเรา ความสุขแห่งชีวิตใหม่ แห่งวันใหม่ก็จะปรากฏบนใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส หากเราเปิดหัวใจให้แสงธรรมนำทางบ้าง เราจะพบกับปาสกาในชีวิตของเราได้เสมอๆ

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

บนเส้นทางความทรงจำ

บนเส้นทางความทรงจำ
ในขณะที่กำลังนั่งดื่มกาแฟยามเช้า ก็มีสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งถูกยื่นมาให้อ่าน เป็นบันทึกจากเพื่อนถึงเพื่อน เป็นความรู้สึกของการจากลากันระหว่างเพื่อนที่เคยเรียน เคยเล่นมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลจวบจนวันหนึ่งต้องลาจากกันไป เพื่อสู่สถานที่ใหม่ โรงเรียนใหม่ เพื่อเริ่มต้นใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม ในตอนท้ายของบทบันทึกนี้ถูกเขียนไว้ว่า “เพื่อน...ไม่จำเป็นต้องรวย ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง ไม่จำเป็นต้องสวย เพียงแต่ขอให้เพื่อน...คนนั้นเป็นคนดี และไม่ลืมกัน ไม่ทิ้งกัน แค่นั้นฉันก็มีความสุขที่สุดแล้ว”
คงไม่แปลกอะไรที่ช่วงนี้เราจะเห็นเด็กๆ หลายคนตกอยู่ในสภาวะซึมๆเศร้าๆ เห็นน้ำตาจากการอำลาในวันปัจฉิมนิเทศ เห็นบทกลอนบทพรรณาในสมุดเฟรนด์ชิพโดยเฉพาะกับเด็กชั้นมัธยม เพราะเป็นช่วงชีวิตที่มีความผูกพันกับเพื่อนมากที่สุด แม้ว่าในขณะอยู่ร่วมชั้นเรียนกันจะมีโกรธ มีทะเลาะ มีงอนกันบ้าง แต่ในวันสุดท้ายของการอยู่ด้วยกันจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการโหยหาที่ไม่อยากจะให้มี ไม่อยากจะเจอ แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตต้องดำเนินเดินหน้ากันต่อไป ถือว่าเป็นการเรียนรู้อีกบทหนึ่งของชีวิตจริงที่ต้องพานพบกับเรื่องการจากลาได้เสมอซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคย ไกลห่างจากชีวิต ความเป็นมนุษย์ของเราเลย ทุกวันนี้เรามีชีวิตกันอยู่ ในแต่ละวันล้วนต้องผ่านและพบเจอกับการจากลาที่ไม่จบไม่สิ้น ทั้งการจากลาตลอดไปหรือ แม้แต่การจากลาชั่วคราว
มีพบก็มีพรากจากเป็นความจริงที่เด็กๆ คงต้องเรียนรู้กันต่อไป ในช่วงอายุหนึ่งเราก็ต้องพบกับการจากลาแบบไม่มีวันพบหน้ากันได้อีกในโลกนี้ ซึ่งมันเจ็บปวดสำหรับเหตุการณ์นี้ถ้าได้เกิดขึ้นกับเรา และแน่นอนที่สุดเราทุกคนก็มิอาจจะหลีกหนีความระทมทุกข์แบบนี้บนเส้นทางชีวิตได้เลย ในขณะเดียวกันเราก็ใช้การจากลาแบบสั้นๆ การจากลาแบบชั่วคราว เป็นเครื่องฝึกฝนให้ทนต่อการร่ำลาตลอดไปของกันและกัน
การจากลาชั่วคราว มักเกิดขึ้นในชีวิตเราเสมอๆ  อาจเป็นการจากไปเพื่อศึกษาต่อ ยังมีวันกลับมาพบกันอีก ยิ่งในยุคสมัยใหม่การติดต่อสื่อสารกันง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส โอกาสที่จะสานสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนย่อมเป็นไปได้ง่ายกว่าสมัยก่อนหรืออาจเป็นการจากของคนที่โยกย้ายถิ่นฐานไปตั้งหลักแหล่งอยู่แห่งใหม่ การจากลาแบบนี้ยังมีโอกาสได้พบประสบเจอกันอีกแต่อาจพบกันในสถานที่อื่นหรือโอกาสอื่นการจากลาก็นำมาซึ่งการเรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเปลี่ยนแปลงนั้นให้ได้
การพบและการจาก”  เราห้ามไม่ได้ แต่เราสามารถกำหนดท่าทีของเราต่อ การพบและการจากได้ และท่าทีนี้แหละที่จะเป็นกรอบช่วยให้เราปฏิบัติต่อสิ่งหรือบุคคลที่เราพบได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ก่อความเสียหายหรือก่อให้เกิดความทุกข์ในภายหลัง และเป็นกรอบช่วยให้เราสามารถยอมรับ และทำใจได้ในที่สุด
เมื่อต้องจาก สิ่งของหรือ บุคคลที่เรารัก เราเคารพ เรานับถือ เราประทับใจ คนที่เรียนรู้วิธิปฏิบัติต่อ การพบและ การจากได้อย่างดี ย่อมสามารถอยู่ร่วมกับการพบและการจากได้อย่างสงบสุข ไม่กระวนกระวายจนเกินไป อีกทั้งยังสามารถใช้การพบและการจากนั้นเป็นครูของชีวิตได้ตลอดเวลาอีกด้วย ใช่หรือไม่ สายใยระหว่างการพบและการจาก คือ ความทรงจำอันงดงาม
ทุกครั้งที่มีการจากลา เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า เริ่มต้นใหม่ด้วยเสมอ คล้ายกับว่าการจากลา คือสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นของเราทุกคน เริ่มต้นใหม่กับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราคนเดิม แม้กระทั่งในการทำงานเราจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่บ้าง ถ้าหากสิ่งใหม่นั้นมันจะทำให้เราเก่งขึ้น ทำให้เราพัฒนาสู่ความชำนาญมากขึ้น ในการใช้ชีวิตก็เช่นกัน เราจำเป็นต้องมีสังคมใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาบ้าง เพื่อเป็นการเปิดโลกกว้างให้กับตัวเองเป็นการเริ่มต้นกับชีวิตที่จะเติบโตขึ้น เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตบนโลกกว้างและเป็นการใช้พระพรแห่งความช่วยเหลือกันและกัน การจากตอนเป็นทำให้เห็นน้ำใจ การจากตอนตายทำให้เห็นน้ำตา
ในขณะที่เรายังมีชีวิตการมอบน้ำใจมีเมตตาต่อกันเป็นสิ่งที่จะนำความงดงามของการอยู่ร่วมกัน นำมาซึ่งสันติสุข บนเส้นทางชีวิตเรามักจะพบกับการเปลี่ยนแปลง มีผู้คนมีเพื่อนใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตเราได้เสมอ บางคนอาจจะกลายเป็นเพื่อนกันตลอดจวบจนสิ้นลมหายใจ บางคนกลายเป็นคนข้างกายที่ก้าวเดินไปด้วยกันในทุกวัน เมื่อเติบโตขึ้นเราก็จะพบกับมิตรภาพที่ยั่งยืนมากขึ้น แม้ว่าจะมีเพื่อนฝูงน้อยลง และถือว่าเป็นโชคดีที่ชีวิตหนึ่งเราจะมีเพื่อนที่ดีที่สุด และพร้อมอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา เราได้เดินไปบนเส้นทางอย่างไม่โดดเดี่ยว

บนเส้นทางชีวิตที่ไม่ยาวไกลเราต้องเป็นใครสักคนให้กับผู้อื่นบ้าง เพื่อปลอบโยน เพื่อช่วยผ่อนคลายระบายความทุกข์ อย่าได้ใช้ชีวิตแบบฝูงชนคนที่เข้าไปต้อนรับพระเยซูเจ้าในเส้นทางสู่กรุงเยรูซาเล็มเลย อย่าใช้ชีวิตโดยใช้กระแสพาไปเพื่อพบเจอสิ่งใหม่ๆ แบบไม่จริงใจ แล้วก็จากกันไปแบบไม่มีเยื่อใย เราต้องเติบโตขึ้นพร้อมที่จะทุกข์จะสุขไปด้วยกันบนเส้นทางมิตรภาพ ไม่ทอดทิ้งกัน อย่าปล่อยให้คนที่เรารักต้องทนทุกข์อยู่ฝ่ายเดียว จดจำมือที่เคยเกาะเกี่ยว จดจำวงแขนที่เคยโอบไหล่ จดจำเสียงหัวเราะ จดจำความรักความผูกพันเอาไว้เพื่อให้เราก้าวสู่วันใหม่ สู่การเติบโตของชีวิตสู่การพัฒนาจิตวิญญาณ สิ่งนี้คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการมากที่สุด อย่าทำให้การทนทุกข์ของพระองค์ต้องสูญเปล่า อย่าให้การจากไปของพระองค์สูญสลายไปอย่างไร้คุณค่า  หากแต่คือความทรงจำที่ใช้ย้ำเตือนเราบนเส้นทางของความเปลี่ยนแปลงในชีวิตว่า “เราจะมีชีวิตเพื่อกันและกัน

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

อีกฟากฝั่งหนึ่ง

อีกฟากฝั่งหนึ่ง
ในขณะที่ขับรถเข้าเมืองหลวงหลังจากกลับจากบ้านเกิดถิ่นเก่า โดยคิดเอาเองว่าในเวลาช่วงบ่ายวันอาทิตย์ถนนน่าจะว่าง เพราะเป็นวันหยุด แต่ที่ไหนได้บนทางด่วนกลายเป็นทางด้วน เป็นลานจอดรถไปเสียอย่างนั้น มองข้ามไปยังฝั่งตรงกันข้าม เห็นถนนโล่งรถราวิ่งขับเคลื่อนกันอย่างคล่องดี บางทีก็คิดนะ ทำไมฝั่งเราไม่เป็นอย่างนั้นบ้าง ทำไมรถถึงมาจอดรวมกันอยู่นี่ ทำไมไม่พากันไปวิ่งอีกฝั่งบ้าง จะไปไหนกันนักหนา!!!! ก็ไปเหมือนที่เราจะไปนั่นแหละอีกเสียงหนึ่งดังย้อนแย้งขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนความจริง คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเราในขณะนี้ ใช่หรือไม่ในชีวิตจริงของเรา มักจะบ่นกับเรื่องที่เราไม่ได้ดั่งใจ มักจะกล่าวโทษนี่โทษนั่นไปเรื่อย สุดท้ายก็มักจะหาใครสักคนมาเป็นคนรับความกดดันนี้ไปแทนเรา เรามักไม่ค่อยจะกล่าวโทษตัวเอง ไม่ไตร่ตรองกรองความคิดให้ถี่ถ้วน จริงหรือเปล่าบางครั้งเรามักบ่นและตัดพ้อกับความมีที่ขาดหายไปนิดหน่อย เรามักกล่าวโทษความไม่สมบูรณ์ในความพูนผล เรามักเอาตัวเองเป็นตัวตั้งและหาผู้อื่นมาเป็นตัวหารเพียงเพื่อผลออกมาให้เป็นที่พอใจเรา ทั้งๆที่หลายเรื่อง หลายโอกาส ที่เราได้รับมากกว่าคนอื่น แต่เรามักไม่พอใจ เพราะความอยากได้อยากมีที่มากล้น

เมื่อเราไม่ได้ดั่งใจหวัง ก็มักจะเอาคนที่มีมากกว่า เอาคนที่เราคิดว่าเขาประสบความสำเร็จมาเปรียบเทียบ จากที่เคยมุ่งมั่นก็กลายเป็นเครื่องบั่นทอนพลังกายพลังใจลงไป ยิ่งเมื่อเรามีแล้วไปเปรียบกับคนที่มีกว่า ก็จะเกิดความรู้สึกขาดขึ้นมาทันที แต่ถ้าเราลองมองดูคนที่เขายังขาดยังมีไม่เหมือนเราดูบ้าง เราจะพบความมหัศจรรย์ในชีวิต เราจะรู้ทันทีว่าเรามีอะไรต่อมิอะไรมิใช่น้อยเลยทีเดียว ลองมาเพิ่มพลังใจในการไตร่ตรองกับสิ่งเหล่านี้ดู
หากเราไม่อาจหลับใหลในยามราตรี... ใคร่ครวญให้ดี ยังมีผู้ไร้แม้ที่ซุกหัวนอน ไม่ต้องรันทด
หากอยู่ในรถที่ติดไปไหนไม่ได้... เพราะมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยมีแม้โอกาสได้นั่งรถ
หากวันนี้มีงานที่กวนใจเรามาก... คิดเสียว่า ยังไม่ลำบากเท่าคนที่ตกงานนานกว่าสามเดือนแล้ว
ยามเมื่อความสัมพันธ์สะบั้นลง... อย่าเพิ่งปลง เพราะยังดีกว่าผู้ที่ไม่เคยรู้จักรัก
อย่าอาวรณ์ตอนสุดสัปดาห์จะผ่านพ้น... จงคิดถึงคนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีวันหยุดพัก เพียงเพื่อจักยังชีพ
แม้ต้องเดินเสียไกลลิบ เพื่อขอความช่วยเหลือยามรถเสีย... ให้นึกถึงผู้ที่เป็นอัมพาตอยากอาสาเดินแทน
หากส่องกระจกพบผมหงอกเพิ่มมาอีกเส้น... จงอย่าลืมผู้ป่วยเคมีบำบัดที่หวังเพียงว่าผมจะงอกได้อีก
ยามโชคร้ายแทบหมดอาลัยตายอยาก... จงดีใจเถิดเพราะยังมีโอกาสดีกว่าผู้ที่ตายไปก่อนเวลาอันสมควร
หากต้องทนให้ผู้อื่นระบายทุกข์ใส่... ขอให้ระลึกว่าจะแย่กว่าเป็นไหนๆ ถ้าต้องเป็นทุกข์นั้นเสียเอง
มองต่างมุมในด้านบวกอาจเป็นเครื่องช่วยเตือนว่า ชีวิตนี้ยังมีสิ่งสวยงามและมีเรื่องน่าพิศมัยอีกมากมาย เครดิต : หนึ่งเดียว หลุดพ้น
การมองมุมที่แตกต่างจากเรา นำความไม่มีมาเป็นเครื่องคัดกรองจะทำให้เราเกิดความสุขขึ้นมาบ้าง และวิธีที่จะทำให้เรามีความสุขอย่างยั่งยืนได้นั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการภายในจิตใจเราแต่ละคน ไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบ มีทั้งข้อดีและข้อเสียเราก็เช่นกัน มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่อย่างไรก็ตามต้องคำนึงในศักยภาพว่าเรายังเป็นคนที่ใช้ได้ มีคุณค่า มีประโยชน์ พยายามรักษาข้อดี และปรับปรุงข้อเสีย ลดจุดอ่อน ลดจุดบกพร่องลง และยอมรับตนเองในแบบที่ตนเองเป็น ไม่ต้องมีชีวิตแบบพยายามวิ่งหนีหรือกลบจุดอ่อน ปมด้อยตัวเอง ด้วยการเอาชนะคนอื่น นำหน้าคนอื่น อยู่เหนือผู้อื่น แค่นี้...ความจำเป็นที่จะต้องไขว่คว้าหาความมั่นคงจากปัจจัยภายนอกก็น้อยลง ชีวิตก็จะเรียบง่ายขึ้น หาความสุขได้ง่ายขึ้น  ความต้องการแก่งแย่งแข่งขันก็น้อยลง มองโลกแง่บวกได้ง่ายขึ้น โกรธยากขึ้น ให้อภัยกันได้ง่ายขึ้น ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันง่ายขึ้น แต่สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ ฝึกฝนปฏิบัติทบทวนเตือนสติตนเองเสมอๆ มีความอดทนและความมุ่งมั่นอย่างสูงจึงจะสำเร็จ โลกใบนี้ก็จะกลับมาน่าอยู่เหมือนเดิมได้

ความจริงในอีกฟากฝั่งหนึ่ง มีไม่น้อยเลยที่ไม่เคยยกย่องความพร่องน้อยของคนอื่น แต่กลับนำไปดูถูกดูแคลน และยกตัวเองขึ้นเพื่อให้เหนือกว่าคนด้อยเหล่านั้นโดยที่พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพูด ที่จะกล่าวอะไรด้วยซ้ำไป ในยุคที่คิดกันว่าเราดีเราเก่ง ไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่ต้องให้เกียรติยกย่องใคร มีแต่เรียกร้องให้ผู้อื่นมาพินอบพิเทาคุกเข่ากราบไหว้ เราจึงเห็นการแข่งขันที่ไร้ขอบเขต ที่ไม่สนใจความถูกผิด ที่ไม่นำพาเรื่องจริยธรรม พร้อมที่จะเข้าขย้ำผู้ที่พลาดพลั้ง จิตใจไร้เมตตาเอาแต่ได้ ชอบนำกฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือขึ้นสู่ความเป็นที่หนึ่ง เช่นนี้แล้วชีวิตในแต่ละวันของแต่ละคนจะพบกับสันติสุขได้อย่างไร? แม้จะนั่งสำราญอยู่บนยอดสูงสุดก็ดูโดดเดี่ยว แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงปรบมือก็แค่พิธีการเพียงชั่วครู่ ความสุขใจอยู่ที่ไหน ใช่อยู่ที่การน้อมยอมรับความเป็นอยู่อย่างที่เราเป็น อยู่ที่พร้อมจะให้อภัยกัน อยู่ที่คอยใส่ใจกัน เคารพยกย่องกันอย่างจริงใจ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะนำสันติสุขมาสู่ช่วงเวลาแห่งลมหายใจเข้าออกได้

“ถ้าเราน้อมยอมรับว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ หัวใจของเราก็จะเปิดรับพระเมตตาของพระเจ้าและเราจะกลับมาเป็นผู้มีความเชื่ออีกครั้งก้าวแรกที่จะนำไปสู่ความซื่อสัตย์คือการยอมรับว่าเราเป็นคนบาป ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราเป็นคนบาป เราก็เริ่มต้นไม่ดีแล้ว เราต้องวอนขอพระหรรษทานเพื่อให้หัวใจของเราไม่แข็งกระด้าง และต้องวอนขอพระหรรษทานของการให้อภัยด้วย” บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

แค่หยุดฟังบ้าง

แค่หยุดฟังบ้าง
ในครั้งหนึ่งเดินเข้าไปร้านตัดผม มีลูกค้ารอตัดผมอยู่หลายคน ครั้นจะกลับบ้านมารอก็กลัวจะเสียเวลา เลยตัดสินใจนั่งรออยู่ในร้านนั้น อ่านหนังสือพิมพ์ แต่เอาเข้าจริงกลับอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะคนในร้านพูดคุยกันอย่างเมามัน ที่สำคัญต่างฝ่ายต่างแย่งกันพูด ต่างฝ่ายต่างแย่งกันแสดงความคิดเห็น ไม่นานก็โต้เตียงกันไปมา จวบจนคนที่อายุน้อยกว่าเป็นฝ่ายเงียบ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร? เรื่องที่คุยกันไปมาก็เป็นเรื่องข่าวรายวันนั่นแหละ จริงๆ สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขั้นในทุกที่ที่มีการสื่อสารกัน ในวงสนทนา ในโลกออนไลน์ ในที่ประชุม ไม่เว้นกระทั่งในครอบครัว ที่แต่ละคนมักยึดโยงความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง
http://www.coachatwork.in.th/imgs/coach-talk19.jpg
ในสังคมที่ดูเหมือนเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ มีความมั่นคงขึ้น มีหลายคนขยายบ้านหลังใหญ่มากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งซึ่งยังเกิดขึ้นเสมอๆ คือความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันของคนในบ้าน ยิ่งในสังคมที่ต่างคนต่างออกไปเป็นใหญ่ในหน้าที่การงาน บางทีลืมตัวเข้าบ้านยังคิดว่าเป็นคนออกคำสั่งอยู่ ก็สั่งลูกหลานให้ทำนั่นนี่โน่น ลืมใส่ความเมตตาอาทรในหัวใจของพ่อแม่ลงไป ทำให้บรรยากาศในบ้าน ไม่น่าอยู่ไม่น่าอาศัย หัวใจของความเป็นพ่อเป็นแม่เท่านั้นจะทำให้บ้านน่าอยู่ หัวใจนี้ต้องเรียนรู้ที่จะฟังและเข้าไปนั่งอยู่กลางใจสมาชิกในครอบครัว
นายหลี่..เป็นเจ้านายบริษัทฯส่งออกพืชผล ภายในโรงงานมีพนักงานห้า-หกร้อยคน เนื่องจากตนเองได้ทุ่มเทให้กับงานสุดตัวด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ หรือการจัดการ ล้วนมีประสิทธิผลที่น่าพึงพอใจ เหมือนดั่งแม่ทัพที่นำไพร่พลเป็นพันเป็นหมื่น
ทว่า..กับลูกชายของตนเองแล้ว กับอับจนปัญญา ช่องว่างระหว่างพ่อกับลูกเปรียบเหมือนดั่งช่องแคบทางทะเล ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ ทุกครั้งที่ปะหน้ากัน คุยกันไม่ถึงสามประโยค ก็จะตบโต๊ะกระแทกประตู หมูหมากาไก่ในบ้านล้วนต้องหลบหลีกหนีภัย
วันนี้..เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ทั้งสองพ่อลูกโต้เถียงกัน เพราะลูกชายกลับมาบ้านดึกดื่น ระหว่างที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือดเผ็ดมันลูกชายกลับหุบปากกะทันหัน จากนั้น พูดทีละคำๆ ออกมาว่า
“คุณพ่อ เราทะเลาะกันต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหา ผมใคร่ขอร้องให้คุณพ่อทวน คำพูดสองประโยคที่ผมได้พูดไปเมื่อครู่ คุณพ่อพูดให้ผมฟังอีกครั้ง ได้หรือไม่”
“อา.......” นายหลี่ตกตะลึงไปทันที คาดคิดไม่ถึง ลูกชายอยู่ๆ ก็มาไม้นี้ “ลูกพูดว่า...ลูกพูดว่า...ผู้เป็นพ่อมีความสามารถเก่งกาจเกินไป ย่อมดูหมิ่นดูแคลนลูกชาย”
“ไม่ถูก คุณพ่อลองคิดดูใหม่ ลูกพูดว่าอะไร ?
“ลูกเลอะเลือนแล้วลูกพูดว่าอะไรล่ะ คำพูดที่พูดเอง แล้วทำไมถึงไม่พูดเองอีกครั้งล่ะ ?
ลูกชายหัวเราะเสียงดังทันที “ดูซิ ตั้งแต่ต้นจนจบ ลูกพูดอะไร คุณพ่อล้วนไม่ได้ฟังเลย คำพูดเหล่านั้น เป็นคุณพ่อที่คิดเอาเอง ผมไม่ได้พูดเช่นนั้นเลย พวกเราต้องการสื่อสารไม่ใช่หรือ เมื่อถึงเวลาที่คุณพ่อพูด ผมก็จะทวนคำพูดของคุณพ่อ”
“เฮ้ย...ใครจะมีเวลามากมายเช่นนั้น เพื่อมาทวนไปทวนมา ลูกคิดจะทำให้พ่อโมโหอกแตกตายจริงๆ เหรอ ?
“คุณพ่อ..พวกเราก็มาทดลองกันเถอะ มิเช่นนั้น การทะเลาะโต้เถียงกัน ก็จะไม่มีวันจบสิ้น ลองนึกคิดดูว่า แท้จริงแล้ว ลูกพูดอะไรไปบ้าง ?
นายหลี่..นึกคิดสักครู่ สุดท้ายก็ยอมรับว่า “พ่อนึกไม่ออกจริงๆ ลูกพูดอีกครั้งก็แล้วกัน”
“ก็ได้..ผมพูดว่า คุณพ่อมีความสามารถเก่งกาจ ด้านหนึ่งลูกเคารพนับถือ อีกด้านหนึ่ง ลูกกลัวว่าไม่สามารถทำได้เท่าเทียมอย่างคุณพ่อ ภายในจิตใจย่อมต้องมีแรงกดดันบ้าง”
นายหลี่..สงบจิตสงบใจ แล้วคิดทบทวน จึงพบว่า สิ่งที่ลูกพูดสมเหตุสมผล ทำไมตนเองถึงได้มีอารมณ์พลุกพล่านเช่นนี้ สุดท้าย ในคืนวันนั้น พวกเขาสองพ่อลูกพูดคุยกันถึงสองชั่วโมง โดยไม่ทะเลาะกัน ผลลัพธ์เช่นนี้ อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนายหลี่อย่างยิ่ง
หลังจากตื่นนอน ถึงแม้นเวลาที่นอนหลับไม่เพียงพอ ทว่า นายหลี่กลับมีชีวิตชีวา รู้สึกสดชื่น ไปถึงบริษัทแต่เช้า เพราะว่าเช้านี้ ต้องประชุมการจัดซื้อที่สำคัญยิ่งสิ่งที่พูดคุยสนทนาในที่ประชุม ก็คือการจัดซื้อเครื่องจักรในอนาคต ที่มีมูลค่าร่วมสิบล้าน เพื่อให้ได้ผลสรุปว่า จะซื้อเครื่องจักรจากประเทศอะไรดีในที่ประชุม นายหลี่ให้วิศวกรอาวุโส เสนอความคิดเห็น นี่เป็นมารยาทเพียงผิวเผินอย่างหนึ่ง วิศวกรอาวุโสก็รู้ดีว่าเจ้านายต้องการซื้อแบบไหน ดังนั้น เขาจึงไร้ชีวิตชีวา พูดไม่ถึงห้านาที ก็หมดความคิดเห็นแล้วหากเป็นในยามปกติเหมือนอดีตที่ผ่านๆมา นายหลี่มักจะร่ายรำแต่เพียงผู้เดียว เสพความภาคภูมิใจในอำนาจของตนเอง แต่ทว่า วันนี้
https://blog.eduzones.com/images/blog//20140513-1399956457.35-2.jpg

“ท่านวิศวกรอาวุโสผมมาทบทวนความคิดเห็นจุดที่สำคัญของคุณ คุณดูซิว่า สิ่งที่ผมพูด ความหมายตรงกันกับของคุณหรือไม่ เครื่องจักรที่ผลิตในญี่ปุ่น ราคาถึงแม้จะถูกกว่า คุณภาพก็ไม่เลวทว่าหากอนาคต เกิดปัญหาขัดข้อง ต้องการให้พวกเขามาบริการหลังการขาย ปัญหาก็จะเกิดขึ้นตามมา คนของพวกเขาไม่สามารถสื่อสารโดยตรงกับเรา เพราะปัญหาด้านภาษาหาล่ามที่มาแปล ก็เป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ เกี่ยวกับเครื่องจักรที่ละเอียดอ่อนเครื่องจักรเสียจุดไหน พวกเราไม่สามารถเข้าใจจนกระจ่างได้ หากครั้งต่อไปเกิดปัญหาเช่นเดียวกัน ก็ยังคงต้องเชิญคนของพวกเขามาอีกทั้งยังไม่แน่ อาจจะกระทบถึงเวลาในการผลิต หากขบคิดโดยละเอียดรอบคอบแล้ว ซื้อสินค้าของอเมริกา เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว กลับถูกกว่า” จากการพูดซ้ำให้แจ่มแจ้งของเจ้านายหลี่ ดวงตาของวิศวกรอาวุโส ค่อยๆลุกวาวเป็นประกาย เขารวบรวมสติทั้งหมด พูดถึงความคิดเห็นของเขาอีกครั้งCr.NiwatRungvicha

บางทีแค่หยุดฟัง พลังที่ซ่อนอยู่ก็จะปรากฏขึ้น หยุด... เพื่อฟังเสียงของตัวเองและผู้อื่นบ้าง เราก็จะเห็นสังคมกลับคืนสู่ความสงบสันติได้อย่างงดงาม