วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทุกอย่างย่อมมีเวลา

ทุกอย่างย่อมมีเวลา
ตกใจมิใช่น้อย! ที่อยู่ๆ ก็ได้รับข่าวเศร้ากับการจากไปของเพื่อนผู้หนึ่ง ที่ได้ต่อสู้กับโรคร้ายมาปีกว่าๆ ทุกอย่างดูเหมือนว่ากำลังจะดีขึ้น แต่แล้วเพื่อนก็สู้ต่อไม่ไหว การต่อสู้กับโรคร้ายของเพื่อนผู้จากไปนั้นต้องใช้พลังกายพลังใจอย่างมาก จวบจนสุดท้ายปลายทางพลังกายหมดสิ้น เรี่ยวแรงมลายหายไป เหมือนใบไม้ที่กรำแดด อยู่ในมุมที่ต้องโต้ลมมากกว่าใบอื่น วันนี้จึงร่วงหล่น ล่วงเลยไป นี่แหละคือสัจธรรม วันหนึ่ง วันไหน  เราก็คงร่วงลับลาจากต้นไม้ใหญ่ไป ตามกาลเวลา ตามหมายกำหนดของแต่ละคน ซึ่งเรามิอาจจะคาดเดารู้ล่วงหน้าได้เลย มีเพียงแต่ต้องตระเตรียมตัวตนให้พัดปลิวลงมาอย่างสวยงามตามจังหวะชีวิต หากยึดติดมาก หากเร่งรัดไป ไม่อยู่กับวันเวลาและจังหวะชีวิตแห่งตน เราก็จะไม่พบพานความงดงามเลย

ในวันเวลาของเราแต่ละคน ย่อมมีค่าคู่ควรตามแบบเฉพาะคน ความสุขความทุกข์คู่กันมา หากแต่ว่าใครจะจมอยู่กับสิ่งใดมากกว่ากัน มีไม่น้อยที่คอยแต่จะใช้ความทุกข์เป็นเครื่องต่อรองกับการดำรงอยู่ โดยที่มิได้หยิบฉวยช่วงเวลาที่มีสุขไว้ครอบครอง คิดเพียงว่าชีวิตนี้หนอทุกข์ยากแสนเข็ญ เอาความทุกข์ไปเป็นภาระเป็นเสื้อคลุมที่หุ้มห่อ ปล่อยความสุขให้เป็นเพียงละอองเย็นเพียงพัดผ่านเลยไป ยิ่งจมกับความทุกข์มากเท่าใด เวลาก็ย่อมผ่านไปกับความทุกข์มากเท่านั้น ความสุขจึงเหลือพื้นที่ในชีวิตเพียงน้อยนิด
เช่นกัน คนเราเกิดมาย่อมมีด้านดีและด้านร้ายอยู่ด้วยกันทั้งนั้น บางจังหวะเวลาเราเป็นเทวดาที่งดงาม บางช่วงดังซาตานสิงสู่ในร่างเรา อีกนั่นแหละ โลกนี้มักจะใช้ด้านร้ายของชีวิตผู้คนมาพูด มายำ นำมาปรุงสีสันเพื่อให้แต่ละวันที่ผ่านไป มีอะไรให้พูดถึงเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ โลกเราวันนี้เมื่อวานนี้ ชอบที่จะพูดถึงด้านร้าย ความไม่ดีของกันและกัน ชอบที่จะวิจารณ์ นินทา หาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีกัน ก่อให้เกิดมลพิษทางจิตใจต่อกัน จนกลายเป็นโรคร้ายทางจิตวิญญาณที่เกือบจะหาทางรักษากันไม่ได้ บางคนถึงกับต้องใช้ทางลัดเพื่อลาโลกที่เลวร้ายนี้ไปก่อนเวลาอันควร และเราล่ะ ผู้อยู่ในโลกแบบนี้ ในสังคมแบบนี้ ที่มักจะเร่งรัดเวลาของกันและกัน ที่กดดันโดยไม่ได้เคารพในเวลาของแต่ละคน เราชอบที่จะใช้เวลาของเราเพื่อทำให้คนอื่นเป็นอย่างที่เราคาดคิดเสมอ แต่เชื่อหรือไม่ เราไม่มีทางที่จะไปกำหนดชีวิตใครได้เลย

ยังมีเณรน้อยรูปหนึ่ง ทุกๆ เช้ารับหน้าที่กวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้น มาตกลงตามลานวัด ให้สะอาดเอี่ยม แต่การตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดเพื่อกวาดลานวัดนั้น เป็นความลำบากประการหนึ่งโดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าฤดูหนาว เพราะนอกจากอากาศจะเยือกเย็นแล้ว เพียงแค่มีลมพัดมาเบาๆ ใบไม้ก็พากันหล่นพรูลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ดังนั้น ในทุกๆ วันเณรน้อยต้องใช้เวลาอย่างมากในการกวาดใบไม้ ทำความสะอาดลานวัด ซึ่งภาระหน้าที่นี้ ทำให้เณรน้อยปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่ง จึงพยายามขบคิดหาวิธีการ เพื่อมาลดภาระอันหนักหน่วงนี้
ต่อมามีพระรูปหนึ่งล่วงรู้ถึงปัญหาหนักอกของเณรน้อย จึงได้เสนอแนะว่า
“พรุ่งนี้ก่อนที่เจ้าจะลงมือกวาดใบไม้ ลองเขย่าต้นไม้แรงๆ ให้ใบไม้ร่วงลงมาให้หมดก่อนสิ แล้วค่อยกวาดคราวเดียว เพียงเท่านี้เจ้าก็ไม่ต้องกวาดลานวัดซ้ำไปซ้ำมาอีกต่อไป”
เณรน้อยเห็นว่าคำแนะนำนี้น่าสนใจ เช้าวันต่อมาก่อนที่จะลงมือกวาดลานวัดเหมือนเช่นทุกวัน เณรน้อยก็รวบรวมกำลังเขย่าต้นไม้อย่างรุนแรง เพื่อให้ใบไม้ที่กำลังจะร่วงนั้น ร่วงหล่นลงมาให้หมดเสียก่อน
จากนั้นจึงลงมือกวาดลานวัด และเข้าใจว่าวันพรุ่งนี้ใบไม้ก็จะไม่ร่วงหล่นมาให้กวาดอีก ทำให้วันนั้นทั้งวันเณรน้อยรู้สึกสบายใจเป็นอันมาก
เช้าวันต่อมา เณรน้อยตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ทว่าเมื่อมาถึงลานวัด กลับต้องนิ่งงัน เพราะลานวัดเต็มไปด้วยใบไม้ ไม่แตกต่างไปจากวันอื่นๆ แต่อย่างใด
ยามนั้นพระเซนที่ทราบเรื่องราว ได้เดินมากล่าวกับเณรน้อย ที่กำลังยืนหมดอาลัยตายอยากว่า
“ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะพยายามเขย่าต้นไม้เท่าไร วันพรุ่งนี้ใบไม้ยังคงร่วงหล่นเช่นเดิม”
สุดท้ายเณรน้อยจึงเข้าใจว่า บนโลกใบนี้ยังคงมีหลายเรื่องราวที่ไม่สามารถทำล่วงหน้าได้ เพียงแค่อยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่านั้น

            ในยุคที่ความเจริญทางด้านวัตถุมีมาก เรากลับเห็นผู้คนเศร้าหมองมากขึ้น โดดเดี่ยวเงียบเหงา ไร้ที่พึ่งพิง และคิดสั้นมากขึ้น ด้วยการลาโลกนี้แบบขอจัดการตัวเอง ไม่เคารพเวลา ไปเร่งรัดต่อชะตาชีวิต เป็นเหมือนการที่เณรไปเร่งเขย่าต้นไม้ให้ใบไม้ร่วง แต่เอาเข้าจริงความทุกข์ไม่ได้หายไปไหน บางทีอาจจะไปเพิ่มให้กับคนที่ยังอยู่มากขึ้น ต้องแบกภาระ แบกเวลาของอีกคนเอาไว้ เราถูกเร่งรัดจนเคยชิน ทุกอย่างต้องได้มาอย่างรวดเร็วไม่ต้องการรอคอย ในยุค 4 จี 5 จี ไม่มีคำว่า “รอคอย” ทุกอย่างต้องได้เดี๋ยวนี้เวลานี้ ในเมื่อทุกอย่างมีเวลาของมัน เราไปเร่งไปรวบไปรัดไปมัดให้มาสนองความต้องการของเราฝ่ายเดียว ย่อมมีผลไปกระทบเวลาของสิ่งอื่นคนอื่นจนทำให้การขับเคลื่อนสังคมผิดปกติ อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ เราหลงทางพากันคิดว่าเมื่อมีเครื่องมือที่ดีจะสบายขึ้น ต่อไปจะไม่เห็นความทุกข์ยากอีกแล้ว ไม่นานเราก็ต้องพบพานอีก คราวนี้แหละไปไม่เป็น ทำไม่ถูก ก็เครียด ก็ทุกข์หนักขึ้น เวลาที่ควรจะเป็นก็ไม่เป็นดังหวังเสียแล้ว

            ใช่หรือไม่ เราควรมีเวลาที่จะพักจิตพักใจให้พบความสันติบ้าง ลดความเร่งรีบลดความรวบรัดออกจากชีวิตเราบ้าง ด้วยละความอยากได้อยากมีเกินความจำเป็น มองดูเวลาหาจังหวะชีวิตที่เหมาะสม แล้วดำเนินตามทางนั้น ทางที่มีพระจิตเจ้าทรงนำ หนทางความสว่างก็จะบังเกิดขึ้น คนเราทุกคนเกิดมามีเวลา มีหน้าที่ของแต่ละคน ใช้วันเวลาให้ถูกจังหวะกับภารกิจบนโลกนี้ให้เป็น ความร่มเย็นก็จะบังเกิดแก่เราทุกคน และตลอดเวลาที่เหลืออยู่บนโลกนี้

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ความดีมิใช่ความว่างเปล่า

ความดีมิใช่ความว่างเปล่า
ข่าวการค้นพบคลื่นความโน้มถ่วง เป็นข่าววิทยาศาสตร์ที่เขย่าโลก เป็นการค้นพบที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี โดยไลโก้ (Laser Interferometer Gravitational-Wave Observatory (LIGO) หอสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วงด้วยเลเซอร์อินเตอร์เฟอรอมีเตอร์)  ได้ยืนยันการตรวจพบคลื่นความโน้มถ่วง จากการชนกันของหลุมดำเล็ก (black hole) 2 หลุมที่อยู่ห่างจากโลกเราไปเป็น 1.3 พันล้านปีแสง (เป็นเหตุการณ์ในอดีตยาวนานมาก) จังหวะที่หลุมดำมันปะทะกันรวมเข้าเป็นอันเดียวกันนั้น คลื่นความโน้มถ่วงก็รวมเข้าด้วยกันแล้วก็กระจายตัวออกอย่างรุนแรง คล้ายๆ เวลาที่หินตกลงไปในน้ำแล้วเราเห็นเป็นริ้วๆ วงๆ ออกมารอบจุดนั้น
ไอสไตน์ เคยนำเสนอไว้ตั้งแต่ปี 1916 เกือบร้อยปีก่อนเกี่ยวกับคลื่นความโน้มถ่วง ว่าตามสมการคำนวณแล้ว เมื่อวัตถุขนาดใหญ่ยักษ์ในอวกาศมาปะทะกัน จะต้องเกิดคลื่นความโน้มถ่วงขึ้น แต่ขนาดของคลื่นนั้นจะน้อยมากจนแม้แต่ไอสไตน์เองก็บอกว่า มนุษย์เราไม่น่าจะวัดมันได้ และถ้าคลื่นความโน้มถ่วงมีจริง จักรวาลของเราจะมีลักษณะเป็นแบบที่ไอสไตน์เสนอไว้ คือ ไม่ใช่เป็นแค่ที่ว่างเปล่าและมีดาวต่างๆ ลอยอยู่เหมือนลูกโป่งลอยในอากาศ แต่เป็น “กาลอวกาศ” ที่รวมกันระหว่าง space และ time (พื้นที่และเวลา)
ภาพ : http://kp.thaibuffer.com/o/img_cms2/user/settawoot/settawoot/aug3/www.jpg
จากข่าวนี้สิ่งที่มองเห็นมิใช่เป็นการพิสูจน์ว่าจักรวาลนี้ไม่ใช่การสร้างของพระเจ้า แต่วิทยาศาสตร์กำลังพิสูจน์วิธีการสร้างของพระเจ้าต่างหากขนาดไอน์สไตน์ยังเชื่อว่าพระเจ้าคือธรรมชาติ    อะไรที่ข้าพเจ้าเห็นในธรรมชาติ  ล้วนเป็นโครงสร้างมหัศจรรย์ ที่มนุษย์มีความสามารถเพียงเล็กน้อย  เข้าใจแค่ครึ่งๆกลางๆ ไม่รู้จริงหมดสักที  มันเป็นจุดด้อยของเราที่ไม่สามารถทำอะไรกับความลี้ลับนี้ได้   ความเชื่อในศาสนาของข้าพเจ้ามีความชื่นชมนอบน้อมต่อพระเจ้าผู้อยู่สูงเกินจะประมาณ  พระองค์ทรงเปิดเผยตัวเองเพียงเล็กน้อย     ที่ความคิดตื้นเขิน ความเข้าใจของพวกเรานั้น ยังไม่สามารถรู้ซึ้งถึงความจริงได้”     
มนุษย์เรามักคิดว่าเราเป็นศูนย์กลางจักรวาล เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คิดว่าตัวเองเก่งกาจและพยายามหาทางครอบครองพื้นที่และเวลาของผู้อื่น ซึ่งความจริงแล้วทุกอย่างมีพื้นที่มีเวลาของมัน ของแต่ละคน เรามักจะใช้มาตรฐานวัดของตัวเองมาวัดค่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ คนนั้นคนนี้จากเรื่องการค้นพบแรงโน้มถ่วงนี้ ทำให้เราต้องมานั่งพินิจพิเคราะห์อย่างจริงจังอีกครั้งว่า แท้จริงแล้วเราก็คือสิ่งเล็กกระจิดริดในจักรวาล ยังมีเรื่องมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่เรายังมิอาจหยั่งรู้ได้เลย สิ่งที่แท้ๆ ในโลกนี้คือ ความดี ความงาม มีอยู่ให้เห็นทุกอณู ที่มิใช่เพียงความว่างเปล่า ด้วยความดีมีแรงโน้มถ่วงทำให้ด้านร้ายของจิตใจคนเราเปลี่ยนแปลง ความดีมีแรงดึงดูดให้เกิดมวลรวมของพลังมหาศาลที่ขับเคลื่อนโลกให้หมุนอยู่ในความงามเสมอมา
ภาพ : http://4toom.com/wp-content/uploads/2015/07/571103_a401.jpg

เพียงความรู้สึกและฝีไม้ลายมืออย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้มนุษย์มีชีวิตที่เป็นสุขและอยู่อย่างมีเกียรติได้  มนุษย์ควรมีมาตรฐานทางจิตใจที่ถูกต้องและมีศีลธรรมสูงส่งด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าการค้นพบความจริงต่างๆ   ไอสไตน์ได้กล่าวเตือนพวกเราไว้อย่างเชียบคม

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ลดกี่เปอร์เซ็นต์

ลดกี่เปอร์เซ็นต์
เทศกาลปีใหม่ เทศกาลตรุษจีนผ่านพ้นไป เทศกาลแห่งความรักวันวาเลนไทน์กำลังใกล้เข้ามา บรรดาห้างร้านต่างๆ มักใช้ช่วงเวลาเทศกาลเหล่านี้นำสินค้ามาลดราคา เป็นที่ถูกอกถูกใจของนักช้อปทั้งหลาย ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งที่ซื้อของได้ในราคาที่ถูกลง โดยมิได้ใส่ใจว่าแท้จริงแล้วของที่นำมาลดนั้นคุณภาพยังดีอยู่หรือเปล่า เป็นสินค้าคงเหลือนำมาล้างสต๊อก แล้วราคาที่ลดลงอย่างมากนั้นลดจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงแผนการตลาด เราซื้อของที่ลดราคาเพราะเพียงแค่ได้ของถูกเท่านั้นหรือ แน่นอนล่ะ...มีบ้างบางคนที่ใส่ใจในคุณภาพและรู้จริงว่าของลดชิ้นไหนมีคุณภาพ ซึ่งย่อมได้ของดีนำกลับไปใช้ มองอีกด้านหนึ่งการลดราคาของสินค้านั้นเป็นการกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ยิ่งในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ ต้องหาวิธีการเพื่อทำให้เกิดการใช้เงิน เพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้คล่องขึ้น เป็นการเพิ่มความอยากได้ เป็นการเพิ่มความโลภ เอาเข้าจริงระบบเศรษฐกิจกับความโลภของคนเรานี้แทบจะเป็นสิ่งเดียวกันเลยก็ว่าได้
ภาพ : http://h.lnwfile.com/hzy1ja.jpg
การลดราคาของสินค้าเป็นการเพิ่มกิเลสให้กับคนที่มาจับจ่ายใช้สอย ยิ่งลดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเรียกร้องความสนใจได้มากเท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่แสวงหาความเจริญเติบใหญ่ในด้านจิตวิญญาณจะเลือกใช้วิธีการลดบางสิ่งในชีวิตตนเอง เพื่อเพิ่มพูนสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อขัดเกลาจริตตนให้ลดลงเพิ่มความเป็นคนที่มีคุณค่าให้มากขึ้น สำหรับเราแล้วก็มีเทศกาลที่เราจะต้องลด ละ เลิก ในช่วงมหาพรตนี้ ที่ไม่ใช่ลดเพื่อเพิ่มกิเลส แต่เป็นการลดเพื่อเพิ่มความดีงามให้เกิดขึ้นในชีวิต ตลอดระยะเวลา 40 วันนี้ เราจะลดอะไรบ้าง ? ลดอย่างไร? ได้อ่านบทความหนึ่งที่จะช่วยให้เราเข้าใจว่าการลดบางสิ่งในชีวิตของเราลง เรากลับจะได้บางสิ่งมากขึ้น...
ลดความโกรธให้น้อยลง ...จะได้สติกลับมามากขึ้น
ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง ...จะได้เงินเก็บมากขึ้น
ลดความคิดที่จะหาคนที่ถูกน้อยลง ...จะได้คำตอบสำหรับทำเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น
ลดการพูดให้น้อยลง ...จะทำหลายอย่างได้มากขึ้น
คิดถึงคนที่รักให้น้อยลง ...จะเข้าใจคนที่รักได้มากขึ้น
รักตัวเองให้น้อยลง ...คนอื่นจะรักเรามากขึ้น
พูดให้ร้ายคนอื่นน้อยลง ...จะมีคนพูดถึงเราในแง่ดีมากขึ้น
แสดงความฉลาดให้น้อยลง ...จะได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น
ออกนอกบ้านให้น้อยลง ...จะได้ความอบอุ่นในครอบครัวมากขึ้น
นอนให้น้อยลง ...จะทำหลายอย่างได้มากขึ้น
คิดเรื่องเครียดให้น้อยลง ...จะยิ้มได้มากขึ้น
ลดความอายให้น้อยลง ...จะได้ความกล้ามากขึ้น
ดูละครน้อยลง ...จะอ่านหนังสือได้มากขึ้น
วิ่งให้ช้าลง ...จะมองเห็นคนข้างหลังมากขึ้น
เชื่อให้น้อยลง(ข่าวสาร)...จะมองเห็นอะไรได้มากขึ้น
ลดทิฐิให้น้อยลง ...จะรู้จักอภัยมากขึ้น
กระโดดให้น้อยลง ...จะเดินได้มั่นคงมากขึ้น
กินให้น้อยลง ...จะอิ่มได้มากขึ้น
ก้มหน้าให้น้อยลง ...จะมองเห็นได้ไกลขึ้น
พักเหนื่อยให้น้อยลง ...จะรู้จักความสบายมากขึ้น
เห็นแก่ตัวให้น้อยลง ...จะมีคนรอดชีวิตมากขึ้น
แบกของหนักให้น้อยลง ...ชีวิตเราจะเบามากขึ้น
ทะเลาะกับเด็กให้น้อยลง ...จะโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง ...จะได้รับการเอ็นดูมากขึ้น
เป่าลมออกให้น้อยลง ...จะสูดลมเข้าได้มากขึ้น
แอบฟังให้น้อยลง ...จะได้ยินอะไรมากขึ้น
คิดคำถามให้น้อยลง ...ก็จะได้เห็นคำตอบมากขึ้น
แล้วคุณลดอะไรได้บ้างแล้วละ?

ภาพ : http://www.stopdrink.com/site/media/news/10676273_639693092825049_2466053202862663357_n.jpg

ลองทำดูวันละข้อสองข้อ พอครบสี่สิบวันเรื่องเหล่านี้ก็จะกลายเป็นวิถีชีวิตเราไปโดยปริยาย บางสิ่งบางอย่างในชีวิตเราก็จะดีขึ้น ชีวิตเราก็จะมีความสุขมากขึ้น เราลดตัวเองเพื่อเพิ่มเติมให้กับผู้อื่น เป็นหัวใจหลักสำหรับแนวทางการดำเนินชีวิตคริสตชน ในรอบปีหนึ่งขอให้เวลา 40 วันของเทศกาลมหาพรตนี้ ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า สิ่งที่เราต้องระมัดระวังคือการผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะงานสังคม งานสังสรรค์ ความสะดวกสบายทุกวันนี้มีมากที่จะดึงเวลาไปจากเรา จึงมักจะผลัดวัน จนกลายเป็นความเคยชิน ผ่านมาไม่รู้กี่มหาพรตแล้ว ชีวิตเราก็เหมือนเดิม เพราะไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง ไม่คิดจะลดราวาศอกกับความเป็นตัวตนที่เกินขอบข่ายลงไปบ้าง ยิ่งในภาวะสังคมที่ต้องโอ้อวด ที่ต้องแสดงความยิ่งใหญ่ของตัวเองให้มากถึงมากที่สุดแล้ว ต่างก็มักจะเรียกร้องให้คนอื่นเป็นฝ่ายลด แล้วเราเป็นฝ่ายรับเสียมากกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะมีคุณค่าอะไรในชีวิต!!!

40 วันของมหาพรตนี้เพื่อฟื้นฟู ซ่อมแซม รื้อฟื้น และทำให้สดชื่น ในความรักและในความเมตตา ในปีนี้ “ปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม” เพื่อที่เราจะพบกับสันติสุขผ่านทางความเมตตา ให้อภัย ใจดี ในชีวิตของเรา เราต้องเริ่มจากตัวเรา วันนี้เราลดความเห็นแก่ตัวลงไปได้กี่เปอร์เซ็นต์แล้ว เป็นสิ่งที่เราต้องไตร่ตรองก่อนนอนทุกๆ คืน พอตื่นมาเราจะได้มีพลังที่จะเริ่มวันใหม่อย่างมีชีวิตชีวา...

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พลังแห่ง “รัก”

พลังแห่ง “รัก”
ย่างก้าวเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ สิ่งที่เรามักจะคิดถึงโดยอัตโนมัติ เพราะถูกปลูกฝังอย่างเป็นสากลมาอย่างยาวนานนั่นคือ เดือนแห่งความรัก และที่แปลกสักหน่อยตามค่านิยมสมัยใหม่ที่มักคิดกันแค่ความรักแบบหนุ่มสาวเท่านั้น ตามด้วยการแสดงออกด้วยวัตถุสิ่งของภายนอก ซื้อโน่นนี่นั่นให้กัน โฆษณาต่างๆ ก็เร่งหนุนออกมาเพื่อให้คนทั่วไปซื้อสินค้าของตัวเองเป็นสื่อนำความรัก เป็นการแข่งขันโดยนำเอาความรักเป็นตัวชูโรง เนื้อแท้แล้วคือการค้าขาย ความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร ความรักที่ปราศจากสิ่งแอบแฝงคืออะไร คุณค่าความรักที่จะมอบให้คนอื่นยังมีอยู่ไหมในหัวใจของเราวันนี้??? ความรักมิใช่มอบให้กันโดยการแสดงออกเพียงเดือนหนึ่งวันหนึ่งเท่านั้น หากแต่ทุกลมหายใจเข้าออกคือ“พลังความรัก”ทั้งสิ้น เป็นพลังที่ขับเคลื่อนโลกนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นสิ่งที่คงอยู่คงทนที่สุดเทียบเท่าการกำเนิดเกิดก่อของจักรวาล แต่เรามักมองข้ามพลังรักนี้ โดยการแปรเปลี่ยนให้สิ่งภายนอกสำคัญกว่า
 ภาพ : https://i.ytimg.com/vi/LQ_Gf0CcE-Y/hqdefault.jpg
ในทุกวันพลังรักมักดำรงอยู่ แต่ขาดความใส่ใจจากผู้คนที่จะใช้พลังนี้เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดำเนินต่อไปสู่ความสมบูรณ์ เรามักเที่ยวค้นหาพลังอื่นๆ มากมายเพื่อพัฒนาโลก ไม่ว่าจะเป็นพลังงานเชื้อเพลิงที่กลายเป็นการค้าขายระดับโลก ใครมีครอบครองเท่ากับได้ครอบครองโลก นำมาซึ่งการแข่งขันและแย่งชิง พลังงานไฟฟ้าที่ทำให้โลกพบกับความสว่าง แต่ถลำสู่ความมืดบอดทางจิตวิญญาณ พลังเงินทองเป็นพลังที่เกิดมาเพื่อปลุกความละโมบโลภมากมาสู่มวลมนุษย์ จนกลายเป็นที่มาของพลังแห่งความเกลียดชัง และเมื่อตัวเองครอบครองพลังหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างได้แล้ว จะเกิดพลังชนิดใหม่คือ “พลังแห่งการครอบงำ” ใช้สิ่งที่มีมากเข้ายึดครองผู้อื่น รุกรานคนที่ด้อยกว่า แล้วขนานนามพลังแบบนี้ว่า “ความเก่ง ความฉลาด”  แต่ละเลยพลังความรักไป สังคมเราจึงตกอยู่ในภาวะทิ้งดิ่งสู่ความสับสนวุ่นวาย
ใช่หรือไม่ ในทุกวันนี้เราต่างก็หาทางที่จะครอบงำคนอื่นตลอดเวลา ไม่ว่ากับแง่มุมไหนหรือเรื่องอะไร เราจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็ตามที่จำเป็นก็เพื่อจะได้เป็นฝ่ายชนะอยู่ร่ำไป ในการพูดคุยกัน ในการประชุม เราแต่ละคนต่างก็จะพยายามหาทางควบคุมคนอื่น ไม่มีใครฟังใครหรือฟังแบบผ่านๆ ฟังแล้วเบ้ปาก เรามุ่งหวังเพื่อจะได้อยู่ในจุดที่เหนือกว่าในปฏิสัมพันธ์ ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จ ถ้าความเห็นหรือสิ่งที่เรานำเสนอเป็นฝ่ายชนะ เราจะมีพลังของความจองหอง พลังของการเป็นผู้ชนะ พูดอีกแบบคือ มนุษย์เราหาทางเอาชนะและควบคุมกัน ไม่ใช่แค่เพราะต้องการบรรลุเป้าหมายที่จับต้องได้ในโลกภายนอก แต่ยังทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจและหลงใหลในความเป็นตัวเอง นี่คือที่มาของความขัดแย้งที่ไร้เหตุผลมากมายในโลก ทั้งในระดับส่วนตัวและในระดับประเทศ
มีอาแปะคนหนึ่ง มีแผงขายไข่ไก่ฟองละ 2 บาทมานาน มีลูกค้าประจำมากมาย เพราะแกขายอยู่แผงเดียว
อยู่มาวันหนึ่ง มีอาหมวยคนหนึ่งเห็นว่าอาแปะขายไข่ไก่รายได้ดีจึงคิดขายบ้าง อาหมวยตั้งแผงขายไข่ไก่ฝั่งตรงข้ามอาแปะ โดยตั้งราคาขายฟองละ 1บาทเพื่อตัดราคาเป็นดังคาด !! ลูกค้าแผงอาแปะหลั่งไหลมาซื้อไข่ไก่แผงอาหมวยล้นหลาม จนอาแปะเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปแย่แน่ๆ จึงลดราคาไข่ไก่ลงเหลือฟองละ 1 บาทเท่าอาหมวย สมใจอาแปะ !! ลูกค้าแผงอาหมวยเริ่มหันมาซื้ออาแปะมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากถึงแม้ราคาจะเท่ากัน แต่เชื่อถือคุณภาพไข่ไก่ที่อาแปะขายมานาน
อาหมวยเห็นดังนั้น จึงตัดสินใจลดราคาไข่ไก่ ตั้งใจว่าคราวนี้จะไม่ให้อาแปะลดราคาแข่งได้เลย จึงตัดสินใจลดราคาจาก 1 บาทเหลือเพียง 25 สตางค์ !!!!!ลูกค้าจากแผงอาแปะและหลายๆ ที่แห่มาซื้อไข่ไก่อาหมวยกันหนาตา อาหมวยรู้สึกกระหยิ่มในใจยิ่งนักแล้วคิดตามว่า ดูซิ !!
อาแปะจะลดราคาสู้ไปอีกได้ไหมจนเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่านานเป็นเดือน อาแปะยังคงขายไข่ไก่ฟองละ 1 บาทอยู่ มีลูกค้าบ้างประปรายแต่มาซื้อเรื่อยๆ ฝั่งแผงอาหมวยเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ฟองละ 25 สตางค์แทบไม่เห็นกำไร แต่ก็เกิดความประหลาดใจยิ่งนักว่าทำไมอาแปะ จึงยังขายฟองละ 1 บาท ทำไมไม่แข่งลดราคากันอีก แล้วอยู่ได้ยังไงในเมื่อลูกค้าอยู่ที่แผงอาหมวยหมด วันหนึ่งอาหมวยทนไม่ไหว จึงตัดสินใจเดินไปถามอาแปะด้วยสีหน้าฉงนว่า
อาหมวย : อาแปะ !! ลื้อทำไมไม่ลดราคาแข่งกับอั๊วอีกหล่ะ ในเมื่อเราแข่งกันมาตลอด มาแข่งกันต่อสิแล้วลื้ออยู่ได้ยังไงขายฟองละ 1 บาท
อาแปะ : ชำเลืองมองอาหมวยเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อั๊วอยู่ได้สิ ก็อั๊วไปซื้อไข่ไก่ลื้อมาขายไง”
“เพราะมัวแต่ต้องการเอาชนะ จนลืมไปว่าเรานั้นแพ้แม้แต่ความคิด มุ่งแต่จะชนะให้ได้ จนลืมมองย้อนหลังที่ผ่านมาว่าเราพลาดเพราะสิ่งใด ไม่มีใครทำตัวเราให้พ่ายแพ้ ทุกอย่างล้วนเกิดจากตนเองทั้งนั้น” Cr : ตะเกียงส่องใจ
 ภาพ  : http://www.livingunity.com
/files/3512/9869/7232/12608467700_q36wT.jpg

เรามักคิดกันเสมอว่าเรานี่เก่งกาจ เรานี่ชาญฉลาด แต่หารู้ไม่ว่า ไม่มีความฉลาดใดในโลกที่จะอยู่คงทน ยังมีคนที่เหนือกว่าเราอีกมากมาย ความเก่งของเราอาจจะอยู่ในเรื่องบางเรื่อง แต่บางเรื่องเราอาจจะไม่รู้อะไรเลย ยิ่งเราหลงตัวมากเท่าใดจิตวิญญาณเรายิ่งอ่อนแอลงมากเท่านั้น สิ่งที่จะทำให้เราเป็นคนโดยสมบูรณ์ได้นั้นคือ การรู้จักใช้พลังรักของเราให้เกิดประโยชน์ต่อโลกใบนี้ให้มากที่สุด ยิ่งเราใช้มากเรายิ่งมีพลังในการดำรงชีวิตมากขึ้นเท่านั้น ความรักนำมาซึ่งความเมตตาอาทรต่อกัน ความรักนำมาซึ่งสันติสุข ความรักนำมาซึ่งการให้อภัยต่อกัน และที่สุดพลังความรักนี้แหละที่จะนำสันติภาพมาสู่โลกใบนี้ ความรักเป็นสิ่งประทานมาฟรีๆ เพื่อให้ชีวิตมีคุณค่าขึ้น แล้ววันนี้เราใช้พลังแห่ง “รัก” นี้มากน้อยเพียงใด พลังงานอย่างอื่นใช้แล้วหมดไป ก่อให้เกิดมลพิษ แต่พลังแห่ง “รัก” ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มต่อเติมชีวิตให้ปราศจากมลพิษทางจิตวิญญาณ...