วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ผิดพลาดหน้าจอ

ผิดพลาดหน้าจอ
ช็อกโลก สำหรับการประกวดนางงามจักรวาล Miss Universe 2015 เมื่อช่วงสายของวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย เมื่อพิธีกรบนเวทีประกาศผลรางวัลผิด โดยให้มิสจากประเทศโคลอมเบียได้มงกุฎ มีการมอบสายสะพายสวมมงกุฎกันเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่ถึง 5 นาที มีการประกาศขออภัย เพราะเกิดความผิดพลาดผู้ชนะที่แท้จริงคือคนงามจากฟิลิปปินส์ ท่ามกลางความงวยงงของคนทั้งโลก พิธีกรออกมาขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แล้วรายการก็ตัดจบลงไปดื้อ ๆ คงเป็นความบังเอิญที่กำลังจะเริ่มต้นเขียนบทความนี้ เพราะต้องส่งต้นฉบับเร็วกว่าทุกครั้ง จึงเปิดรายการข่าวไว้เพื่อที่จะดูข่าวสารจากทั่วโลก แต่ช่องที่กำลังดูนั้นมักง่ายไปหน่อย กลับไปถ่ายทอดข่าวแบบไม่คิดที่จะลงทุนหรือทำให้กระชับ สรุปประเด็น เล่นถ่ายทอดยาวเป็นสิบนาที เกิดอาการหงุดหงิดต้องเปลี่ยนช่อง เห็นมีการถ่ายทอดสดจากเวทีประกวดนี้ เลยเปิดทิ้งไว้ จนกระทั่งได้ยินการประกาศผลที่ผิดพลาด
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ได้เห็นความผิดพลาดของคน ๆ เดียวส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลก คนที่น่าสงสารที่สุดคือสาวงามจากประเทศโคลอมเบียที่ฝันของเธอกำลังถึงฝั่ง กำลังจะขึ้นมายืนอย่างสง่า ต้องถูกผลักลงตกน้ำตกท่า ยืนงงน้ำตาซึม ไหนจะคนในประเทศโคลอมเบียอีกเล่าที่กำลังจะมีความสุข กำลังชื่นชมยินดีกันทั่วหน้า แต่แล้ว ฝันมันก็สลายลงในพริบตา กลายเป็นความสับสนงวยงง เป็นความทุกข์รวมกันอีกครั้ง มีไม่น้อยที่ต้องสบถด่าทอออกมา จากความงามกลายเป็นความทรามต่ำช้า เป็นความเกลียดชังฝังในจิตใจของคนนับล้าน เพียงผลจากการพลาดครั้งเดียว... สาวงามชาวฟิลิปปินส์เล่า เธอคงไม่ได้ชื่นชมยินดีอย่างเต็มที่นัก ที่เห็นเพื่อนนางงามต้องมารับทุกขลาภต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น นี่คือเวทีความงามหรือเวทีสร้างความหยามเหยียดกันแน่ นี่คือ “มืออาชีพ”หรือแค่ “คืออาชีพ” หนึ่งเท่านั้น และไม่ว่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เราต้องนำมาเป็นบทเรียนคือการแก้ปัญหาจากความผิดพลาด การแก้ไขที่จะนำไปสู่การให้อภัย นำความงามกลับมาสู่สังคมให้ได้ อันนี้สำคัญมากกว่าที่เราต้องมาทบทวนร่วมกัน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หลังจากที่เธอร้องไห้หนักมากบนเวทีที่ดับฝันกลางอากาศของเธอในค่ำคืนนั้น เธอได้เขียนข้อความจากใจถึงแฟน ๆ ว่า “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุผลของมัน และเธอก็มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ขอบคุณทุกๆคน” และสิ่งนี้ที่ทำให้เธอได้รับกำลังใจอย่างล้นหลามในการข้ามก้าวผ่านฝันร้ายนี้ไปได้ ทำให้คิดถึงข้อความสั้น ๆ นี้
Wise men learn from others’ mistake fools by their own.
คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นคนโง่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง
การที่คนเราจะทำอะไรให้สำเร็จนั้นมันมีองค์ประกอบหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือรู้จักแก้ไขข้อผิดพลาด และนำข้อผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียนเพื่อให้เรามุ่งสู่ความสำเร็จ เหมือนดัง โทมัสเอดิสัน นักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา เมื่อเขาเริ่มเรียนในพอร์ตฮูรอนในมิชิแกน ครูของเขาบ่นว่า เขาเรียนช้าเกินไป ดังนั้นมารดาของเอดิสันจึงตัดสินใจพาลูกออกจากโรงเรียน และสอนเขาอยู่ที่บ้าน
เอดิสันหลงใหลวิทยาศาสต์มาก พออายุได้  10 ปี เขาสร้างห้องทดลองเคมีของเขาสำเร็จ ตลอดชีวิตเขาสามารถประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ได้กว่า 3,000 ชิ้น ด้วยพลังที่ไม่มีวันหมดและความอัจฉริยะของเขา ซึ่งเขาระบุว่าเป็นแรงบันดาลใจ 1%  และเป็นเหงื่อ 99%
กว่าโทมัส เอดิสันจะประดิษฐ์ดวงไฟได้ เขาทำการทดลองอยู่กว่า 25,000 ครั้ง นักข่าวถามเขาว่า เขารู้สึกอย่างไรกับความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งเขาตอบว่า ผมไม่เคยล้มเหลวสักครั้งเดียว มันก็แค่เป็นกระบวนการ 25,000 ครั้งเท่านั้น
หากเราผิดพลาดพลั้งสักกี่ครั้ง แล้วแก้ไข กลับเนื้อกลับตัวใหม่ ความสำเร็จและความสุขจะตามมา อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดมาทำร้ายตัวเอง มาทำร้ายคนรอบข้าง มาทำร้ายคนที่เรารัก นี่จึงเป็นความสมบูรณ์ของชีวิต เมื่อนั่งพิจารณาในเหตุการณ์ครั้งนี้มันสะท้อนสอนอะไรเราบ้าง ใช่หรือไม่ บนความผิดพลาดนั้นทุกคนย่อมมี ทุกคนย่อมเคยทำมา เราลองมาย้อนดูบนความผิดพลาดของเรานั้นย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว ความผิดพลาดเล็กน้อยย่อมมีผลกระทบไม่มากและสามารถลบล้างออกได้ด้วยการให้อภัยกัน
ในสังคมที่เรามักคิดว่าความเก่ง ความฉลาดเป็นกำแพงปกป้องตัวเอง ต่างคนต่างสร้าง จึงกลายเป็นกำแพงรอบด้านที่ปิดกั้นตัวเอง เวลาเกิดการผิดพลาดขึ้นมามักจะไม่รีบแก้ไข แต่จะใช้วิธีหลีกหนีเอาตัวรอดมากกว่า ปัญหาจึงเกิดจากความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละ ไม่ต้องอื่นไกล ในครอบครัวเรา การอยู่ร่วมกันของคนหลายคน ย่อมมีความพลาดผิดเสมอ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยยึดโยงครอบครัวให้แน่นเหนียวเกี่ยวก้อยกันไว้ได้คือ ความรัก รักที่จะให้อภัยในความผิดของกันและกัน ความศักดิ์สิทธิ์จึงเกิดขึ้น ความสว่างสดใสจึงมีมาในหลังคาเดียวกัน หากเราดำเนินชีวิตตามแบบค่านิยมที่ไม่ยอมกัน เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ เราก็มักไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเรา ใครที่เคยคิกหรือบอกว่า “เกิดมาไม่เคยทำอะไรผิดพลาด” นั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์และเป็นอันตรายต่อสังคมเป็นอย่างมาก คุณค่าของความงามในชีวิตไม่ได้ถูกตัดสินว่าใครเก่ง ใครมี ใครสวย ใครรวยกว่ากัน แต่มันกลับวัดกันตรงที่ใครสามารถที่จะแก้ไขในสิ่งผิดได้ดีกว่ากัน ใครใช้บทเรียนจากความผิดพลาดเพื่อเสริมเติมแกร่งได้มากกว่ากันต่างหาก
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ในโอกาสของการข้ามผ่านปี เรามาทบทวนการดำเนินชีวิตของเราที่ผ่านมานั้น เราได้แก้ไขข้อผิดพลาด เราได้เสริมสร้างรักด้วยการให้อภัยมามากน้อยเพียงใด และในวันข้างหน้าเราต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยถึงน้อยที่สุด เพื่อให้การอยู่ร่วมกันในครอบครัว ในสังคม ในประเทศ ในโลกนี้เป็นเวทีที่สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่กันอย่างแท้จริง นี่จึงเป็นภารกิจรักภารกิจหลักที่เราต้องกระทำในวันเวลาที่เหลืออยู่ อย่าด่วนปิดฉากไปอย่างง่ายดายและไร้ค่ากันเลยนะครับ...Merry and Mercy Christmas Happy New Year New Life..

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เยี่ยมเยียนในความธรรมดา

เยี่ยมเยียนในความธรรมดา
เชื่อว่าหลายคนเริ่มที่จะตั้งโปรแกรมเพื่อรอรับกับวันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่กันไว้แล้ว และหลายคนก็ตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมเยือนเรือนเก่าบ้านเกิด เยี่ยมพ่อแม่พี่น้อง หรือผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้ที่เรานับถือ การเยี่ยมเยียนนั้นได้สร้างสิ่งต่าง ๆ มากมายต่อมนุษย์เรา ก่อให้เกิดการพัฒนาระบบคมนาคม เกิดการจับจ่ายจนมีการขยายทางเศรษฐกิจ ระบบการค้าขายเบ่งบาน ทุกคนต้องมีของฝากของขวัญในวันออกเยี่ยม เกิดความผูกพัน สานสัมพันธ์ระหว่างวงศ์วาน เพิ่มเติมความสุขและความชื่นบานให้แก่กัน



แม้ว่าในยุคสมัยใหม่ได้ทำให้ผู้คนลืมสายสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติกันไปบ้าง จึงทำให้เกิดความเหินห่างกัน เพราะทุกคนวุ่นวายกับการงาน การเงินจนเกินงาม จึงมีเหตุผลที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อนพี่น้อง ยิ่งมีเทคโนโลยีระบบสื่อสารเพียงปลายนิ้วสัมผัส บนโทรศัพท์มือถือ ทำให้ร่นระยะเวลาในการสื่อสาร ไม่ต้องใช้เวลาเดินทางไปเยี่ยมเยียน คุณค่าทางใจในกิจกรรมร่วมกันสร่างซาค่อย ๆ หดหายไป เทคโนโลยีเหล่านั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เป็นเราที่ต้องเลือกใช้ให้ถูกกับกาลเวลา แต่ใช่หรือไม่การเยี่ยมเยียนกันแบบเห็นหน้าค่าตา ใจสัมผัสใจ ย่อมมีความสุขมากกว่าเพียงส่งเสียง ส่งภาษา ส่งภาพ ฝากไปกับคลื่น เราควรหาเวลาและโอกาสที่สมควร เพื่อไปเยี่ยมพี่น้องของเราบ้าง เพื่อชีวิตของเราจะได้ยั่งยืน
เมื่อพูดถึงการเยี่ยมเยียนคนไกลกันแล้ว และกับคนใกล้ชิดเราเล่าเป็นเช่นไร บางทีการอยู่กับคนคุ้นชิน จนกลายเป็นความชินชา จำเจ หันเหไปทางไหนก็พบเจอแต่สิ่งเดิม ๆ ยิ่งอยู่กันนานไปยิ่งลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ หากเรากำลังอยู่ในสภาพแบบนี้ สันติสุขก็กำลังคืบคลานไปจากเราทีละเล็กทีละน้อย วิถีชีวิตเราจะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ เช่นนี้แล้ว เราต้องเริ่มที่จะมองให้เห็นถึงคุณค่าของคนรอบกาย ข้างตัวเราบ้าง ให้เวลา เอาใจใส่ต่อกัน เสมือนกับการไปเยี่ยมเยียนคนอื่น เติมรักเติมความเข้าใจต่อกัน สัมผัสให้ได้ถึงพระพรที่มีอยู่กับคนที่อยู่ข้างหน้าเรา ความเมตตาเกิดขึ้นได้เสมอในขณะที่เราเห็นใจกัน พยายามทำให้วันที่แสนธรรมดา เป็นวันที่วิเศษ พยายามทำให้คนที่เราอยู่ด้วยทุกวัน เป็นเหมือนกับคนที่เราต้องไปเยี่ยมเยียนดูแล สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องลงทุน ลงแรงอะไรมาก อาศัยเพียงแต่ “รัก” เท่านั้น ที่จะช่วยให้ความธรรมดา เป็นความพิเศษ
มีคู่รักวัยชราอยู่คู่หนึ่ง ทั้งสองครองรักและอยู่ด้วยกันมาห้าสิบกว่าปี วันนี้เป็นวันครบรอบการแต่งงานกันแต่ทั้งสองมิได้จัดงานเลี้ยง หรือฉลองแต่อย่างใด เพราะทั้งสองมองว่าไม่สำคัญเท่ากับความรักที่พวกเขามีให้กันและกันทุกวัน พวกเขามีเรื่อง surprise ทำให้กันทุกวัน ทุกเช้าภรรยาเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา จะมองเห็นดอกลิลลี่สีขาวหนึ่งดอก ที่กำลังจะปริบานและส่งกลิ่นหอมละมุนวางอยู่ตรงหน้าเธอทุกเช้า มันอาจดูเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับใครบางคนที่ได้รับดอกไม้ซ้ำ ๆ แบบนี้ทุกเช้า แต่มันเป็นเรื่องที่ surprise สำหรับเธอในทุก ๆ เช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมาและยังคงเห็นดอกลิลลี่วางอยู่ที่เดิม เธอยิ้มพร้อมกับสูดกลิ่นหอมละมุนของมันอย่างมีความสุขก่อนที่เธอจะถือมันเดินลงมายังครัวด้านล่างตรงที่สามีของเธอนั่งดื่มกาแฟเพื่อรอกินมื้อเช้าพร้อมกับเธอ เขาเห็นเธอเดินยิ้มอย่างมีความสุขลงมาจากด้านบนทุกเช้า เขารู้สึกมีความสุขและโชคดีที่มีเธออยู่เคียงข้าง เขาจึงลุกขึ้นเพื่อสวมกอดเธอเพื่อแสดงความรักและทักทายเธอในช่วงเช้า จากนั้นเขาก็นำขนมปังปิ้งที่หน้าตาของมันแสนจะไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก เพราะมีรอยไหม้มาเสิร์ฟให้กับเธอพร้อมกับน้ำส้มแก้วโปรดของเธอ
มันอาจดูธรรมดาและเรียบง่ายสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่สำหรับคนที่รักษาความรักและดูแลกันและกันมาตลอดห้าสิบกว่าปีคงไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้ง ๆ ที่ขนมปังปิ้งของทุก ๆ เช้ายังคงรักษามาตรฐานการไหม้เอาไว้ได้ตลอดห้าสิบกว่าปี และเธอผู้เป็นภรรยาก็ไม่เคยปริปากบ่นหรือกล่าวโทษสามีของเธอสักครั้ง เธอจะกล่าวชมเขาทุกครั้งว่าขนมปังปิ้งของคุณมันช่างเป็นขนมปังปิ้งที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยกิน เพราะฉันไม่ได้กำลังกินขนมปังปิ้งของคุณ แต่ฉันกำลังกินความรักของคุณในทุกเช้า และทุก ๆ วันที่คุณมอบให้ฉัน ที่คุณดูแลและใส่ใจฉันอย่างไม่เคยคิดที่จะล้มเลิกความตั้งใจหรือทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณรักฉันน้อยลง แต่มันกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน ทั้ง ๆ ที่คุณก็ยังทำเรื่องเดิมให้กับฉัน เธอจะพูดแบบนั้นกับเขาในทุก ๆ เช้าเช่นกัน ทั้งสองยิ้มให้กันและกันและเริ่มกินมื้อเช้าอย่างมีความสุขที่สุด
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
สามเดือนต่อมาเขาก็ยังคงมอบสิ่ง surprise ให้กับเธอด้วยความรักที่เขามีต่อเธอ... แต่ครั้งนี้เขาได้เชิญบาทหลวงมา เขาตัดสินใจมอบสิ่ง surprise  เขามอบดอกลิลลี่หนึ่งดอกและขนมปังปิ้งที่ยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้หน้าหลุมฝังศพของเธอ เขาทำแบบนี้ในทุก ๆ วันโดยไม่เคยคิดที่จะหลงลืมเธอและมีความสุขที่ได้ทำเพื่อเธอ ในที่สุดหลังจากนั้นอีกสองปี เขาก็ยังมอบความ surprise ให้กับเธอนั่นก็คือเขาได้มีโอกาสได้มานอนอยู่เคียงข้างเธออย่างมีความสุขที่สุด... (http://www.surprisedeliverly.com)
การดูแลเอาใจใส่กันในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นำมาซึ่งความยิ่งใหญ่ต่อโลกนี้ได้เสมอ การดูแล การเยี่ยมเยียน เป็นจุดเริ่มต้นความมีเมตตาจิตต่อกัน หากเรามองว่าสังคมโลกวันนี้ทำไมไร้น้ำใจ เราก็ต้องเป็นฝ่ายที่จะเริ่มให้น้ำใจเรานั้นต่อคนอื่นก่อน ให้กับคนข้างกายรอบข้างเรา มีเวลาเพื่อไปมาหาสู่ ไปให้กำลังใจต่อญาติสนิทมิตรสหาย หาเวลานั่งพูดคุยทักทายกันบ้าง เพื่อว่าเราจะได้เห็นผู้มีบุญปรากฏขึ้นบนโลกในวันที่แสนจะธรรมดา อย่าสร้างโลกด้วยความคาดหวัง จงทำโลกที่ธรรมดาให้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความหวังโดยอาศัยความเมตตาที่เรามอบให้กัน คนไกลเราคิดถึง เพื่อไม่หลงลืมกัน คนใกล้ชิดบางทีเราก็หลงลืม ไม่เคยคิดถึง ฉะนั้นแล้วเราต้องหมั่นดูแลคนที่เรารักและรักเรา ปรับความสมดุลของชีวิตเพื่อมอบเป็นของฝากของขวัญให้กันและกัน การมีชีวิตเพื่อผู้อื่นนี้จึงเป็นความชื่นชมยินดีแห่งการกำเนิดมา และการได้มาเยี่ยมเยียนโลกใบนี้ของเรา

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ข้ามผ่านไปด้วยใจ

ข้ามผ่านไปด้วยใจ
“น้อมรับโดยไม่อวดอ้าง ปล่อยวางโดยไม่ทุรนทุราย”อ่านจากหนังสือ Meditations ริมระเบียงตึกหรูริมหาด พัทยา นาเกลือ

แม้ว่าโดยส่วนตัวจะไม่ชอบการไปท่องเที่ยวในวันหยุดที่ต่อเนื่องกันหลายวัน เพราะไม่อยากจะต้องไปแย่งกันกินแย่งกันอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ แต่ด้วยเพราะความรู้สึกเห็นใจเข้าใจในกลุ่มคนคุ้นเคยที่เราจะพาไปหยุดพักผ่อนร่วมกัน นาน ๆ สักครั้งในรอบปีที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้มีเวลาหยุดพักผ่อนร่วมกัน สวนนงนุช พัทยาใต้ คือจุดหมายที่เรามุ่งหน้าไปให้ถึง ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่ารถต้องติด คนต้องเยอะและเตรียมใจไว้กับสิ่งเหล่านี้ และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แถมมีฝนตกอย่างหนักตั้งแต่เริ่มก้าวออกเดินชมสวน ทำให้ต้องติดฝนภายใต้ “หลังคาเดียวกัน”อีกนับชั่วโมง ด้วยเพราะการเที่ยวครั้งนี้สิ่งสำคัญคือการพักผ่อนร่วมกันของคนที่อยู่ภายใต้ “หลังคาวัดเซนต์หลุยส์” การรอคอยจึงเป็นบรรยากาศของความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยการพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แบ่งร่ม ปันที่กั้นฝนให้กัน แล้วพวกเราก็ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งการรอคอยมาด้วยกัน เดินชมสวนอย่างเพลิดเพลินจนไม่รู้สึกเหนื่อย
จากนั้นต้องขับรถย้อนมาที่พักจากพัทยาใต้มาพัทยาเหนือ นาเกลือ ใช้เวลาอีกสองชั่วโมงกว่า ท่ามกลางรถที่ติดยาวเหยียด ทางที่กำลังก่อสร้าง เมื่อหาทางเข้าที่พักได้ก็พบว่าทางนั้นปิด เพื่อเป็นถนนคนเดิน ต้องย้อนเข้าอีกทางกว่าจะถึงเล่นเอาหลายคนเหนื่อยล้า วันนี้ดูเหมือนมีแต่อุปสรรคแต่เมื่อถึงห้องพัก เปิดประตูเข้าไป ทุกคนต่างชื่นมื่นชื่นชอบ ได้เห็นบรรยากาศโดยรอบ กับสิ่งที่แปลกแตกต่างไปจากที่เคยชินย่อมนำมาซึ่งความตื่นเต้น ความเหนื่อยล้ามลายหายไป แล้วความสุขก็บังเกิดขึ้นภายใต้ประตูบานนั้นที่เปิดออก
มองออกไปเห็นขอบฟ้า ชายหาด สิ่งปลูกสร้างรายรอบ สายลม แสงแดดอ่อน สระว่ายน้ำริมหาดทะเลแม้จะดูขัดแย้งกันในตัว  แต่ก็มิได้ทำให้หัวใจของผู้มาพักรู้สึกขัดข้อง ทุกสิ่งทุกอย่างสุขได้ เพราะนั่นอยู่ที่ใจล้วน ๆ ใช่หรือไม่ สิ่งที่เราเคย เห็น ได้ยิน ได้ชิม ได้พูด ด้วยกายสัมผัส เรามักใช้สมองในการคิดตีความ นำมาซึ่งการตบแต่งเพิ่มเติมขยายความจนทำให้เป้าหมายของชีวิตเปลี่ยนไป ตราบใดที่เราใช้ใจสัมผัส เราจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างมีความสุข สูดลมหายใจอย่างคล่องปอด ลิ้มรสอาหารอย่างอร่อย และยิ้มกับผู้คนรอบกายอย่างไม่เคอะเขิน
เช้าวันหนึ่งที่สถานีรถไฟใต้ดินกรุงวอชิงตันเมื่อ  2 ปีที่แล้ว มีชายผู้หนึ่งสีไวโอลินบรรเลงเพลงคลาสสิกประมาณ 45 นาที ภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นตาของผู้คนที่นั่น เพราะมีวณิพกมาเล่นดนตรีเป็นประจำ ผ่านไป 4 นาทีจึงมีผู้หญิงคนหนึ่งโยนเงินใส่หมวกของเขาที่วางอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่ได้หยุดฟัง อีก 6 นาทีต่อมามีเด็ก 3 ขวบคนหนึ่งหยุดฟัง แต่ถูกแม่ดึงออกไป หลังจากนั้นมีเด็กอีกหลายคนสนใจฟัง แต่ก็ถูกผู้ปกครองลากตัวออกไปเพื่อขึ้นรถใต้ดินให้ทัน
เมื่อเขาสีไวโอลินจบ มีคนเดินผ่านเขามากกว่า 1,000 คน แต่มีเพียง 7 คนเท่านั้นที่หยุดฟังเพลง กระนั้นก็สนใจแค่ประเดี๋ยวประด๋าว มี 27 คนที่ให้เงินเขาแต่ก็ยังเดินต่อไป เช้าวันนั้นเขาได้เงินทั้งสิ้น 32 ดอลลาร์ ไม่มีใครสังเกตว่าเขาหยุดบรรเลงเพลงเมื่อใด ไม่มีเสียงปรบมือ เพราะไม่มีใครสนใจเขาเลย
และไม่มีใครสังเกตเลยว่า “วณิพก” ผู้นั้นคือ โจชัว เบลล์ (Joshua Bell) นักดนตรีชื่อก้องโลก เขาบรรเลงเพลงของบ๊าคซึ่งได้รับการยกย่องว่าไพเราะลุ่มลึกอย่างยิ่ง ไวโอลินที่เขาใช้มีราคาสูงเกือบ 4 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านั้นแค่ 2 วันเขาเปิดการแสดงสดที่บอสตัน บัตรราคาเฉลี่ย 100 เหรียญขายหมดเกลี้ยง
การทดลองดังกล่าวซึ่งจัดทำขึ้นโดยหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ชี้ให้เห็นว่า อย่าว่าแต่เสียงธรรมชาติที่คุ้นหูเลย แม้แต่เสียงเพลงอันไพเราะจากนักดนตรีระดับโลก ผู้คนจำนวนมากก็ไม่ได้ยิน หรือได้ยินแค่เสียง แต่ใจไม่สามารถสัมผัสรับรู้ถึงความเพราะพริ้งได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ เป็นเพราะทุกคนต่างเร่งรีบ ในใจมัวครุ่นคิดอยู่กับการเดินทาง หรือไม่ก็กังวลกับเรื่องงาน จึงปิดรับสุนทรียรสที่ปรากฏต่อหน้า (น่าสังเกตว่าเด็กหลายคนกลับรู้สึกว่าเพลงของเขาไพเราะจนหยุดฟัง นั่นคงเป็นเพราะเด็กเหล่านั้นใจไม่ วุ่นเหมือนกับผู้ใหญ่)
ในกาลเวลาที่ลุล่วงผ่านมาแล้วผ่านไปนั้น มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเรามากมาย แต่บ่อยครั้งเรากลับปิดใจไม่รับรู้สิ่งเหล่านั้น เพราะวุ่นและมุ่งมั่นแต่จะไปให้ถึงจุดหมายข้างหน้า จนลืมมองว่ารอบตัวนั้นงดงามเพียงใด เรามองด้วยตา ฟังด้วยหู แต่อย่าลืมว่าเรารับรู้ด้วยใจ ถ้าใจไม่เปิด เราก็จะได้ยินและเห็นตามความคิดอคติและจริตตน ที่กักขังเราให้ติดจมอยู่ในความทุกข์ เปิดใจออกเพื่อเห็นสิ่งอื่น และขณะเดียวกันก็เพื่อต้อนรับสิ่งต่าง ๆ เข้ามาหาเราด้วย การที่เราจะเปิดใจของเราได้นั้น เราต้องมีเมตตา “จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงเมตตากรุณาเถิด” (ลูกา 6:36) ด้วยหัวใจเมตตากรุณานี้จะทำให้เราก้าวข้ามผ่านความทุกข์ไปเพื่อพบกับความสุข เมื่อความเมตตาเริ่มจากเราคนหนึ่ง ผลของความเมตตากรุณาจะไม่หยุดอยู่แค่หนึ่งแต่จะขยายกระจายออกไปอย่างมิมีวันสุดสิ้น อย่างเช่นกลุ่มของเราที่ได้รับความเมตตาจาก“ผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่ง”ให้ที่พักผ่อนภายในคอนโดฯริมหาด นำมาซึ่งความสุขของอีก 16 ชีวิต และความสุขนั้นก็กระจายต่อ ๆ ไป


และสิ่งนี้นี่เองสอดคล้องกับการที่สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงประกาศให้เปิด “ปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม” ตั้งแต่ 8 ธันวาคมนี้จนถึง 20 พฤศจิกายนปีหน้า และได้มีพิธีเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการก้าวข้ามผ่านไปหาพระบิดาเจ้า
และในทุกสังฆมณฑลทั่วโลกก็จะมีการทำพิธีเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์ที่อาสนวิหารประจำสังฆมณฑล ในวันอาทิตย์ที่ 13 นี้ และสำคัญที่สุดคือการเปิดประตูหัวใจของเรา ให้มีเมตตาต่อผู้อื่น เพราะโลกเรากำลังไร้เมตตาต่อกันมากขึ้นทุก ๆ วัน มีแต่ใจเมตตาเท่านั้นที่จะทำให้โลกข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปได้

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กายาคติ

กายาคติ
เพียงชั่วข้ามคืน เกียรติที่ได้รับจากที่หนึ่งกลับมลายหายไป กลายเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง แถมถูกมองด้วยสายตาอันดูแคลนแกมหยามหยัน อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้จัก อาจจะเป็นเพราะการแต่งกายภายนอก อาจจะเป็นเพราะเจอคนที่มีปมในชีวิตแล้วมาแสดงออกในเชิงข่มกดผู้อื่น และอีกหลากหลายเหตุผล แต่ใช่หรือไม่ หากเรามีหัวใจในการให้เกียรติทุกคน โดยลดการมองเพียงภายนอกลงบ้าง เราจะเห็นคุณค่าของผู้คน เราอยากให้คนอื่นมองเราแบบใดเราต้องพิศดูคนอื่นแบบนั้นเสียก่อน นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ยังคงพบเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้อยู่เรื่อย ๆ ในเรื่องทำนองนี้ หลายคนคงเจอกับตัวเอง และหลายคนอาจจะเคยเป็นคนที่มองคนอื่นด้อยค่ากว่าตัวเอง แต่พอรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร บางทีถึงกลับหงายเงิบไปเลยก็มี คนเรามักดูและประเมินคนเพียงภาพแรก รูปกายที่ปรากฏเห็น และวัดค่าด้วยสายตา หาใช่ ใช้หัวใจวัด ดูคนอื่นเพียงการแต่งกาย เสื้อผ้าที่สวมใส่ ดูคนอื่นเพียงหน้าตา ซึ่งทำให้ตอนนี้หลายคนจึงพยายามอัพเดทหน้าตา ทั้งผ่านแอพพลิเคชั่น ผ่านทางกล้องถ่ายสำเร็จรูปที่ออกมาหน้าตาจะสวยงามจนกระจกหมดความหมาย (เพราะแสดงผลจริงเกินไป) หลายคนก็ผ่านทางการเสริมเติมแต่ง เพื่อให้ดูดีในสายตาคนอื่น เพราะกลัวการดูถูกดูแคลน ชีวิตแสนลำบากของคนยุคนี้...
ภาพ  : อินเตอร์เน็ต
                ทำให้ย้อนไปถึงอดีตพระคุณเจ้าสองท่าน ท่านแรกคือ พระคุณเจ้าพเยาว์ มณีทรัพย์ ที่ขี่มอเตอร์ไซต์เก่า ๆ ไปไหนต่อไหนเป็นประจำ อีกท่านหนึ่งคือ พระคุณเจ้าบรรจง อารีพรรค แต่งกายธรรมดา ๆ เสื้อเชิ้ตเก่า ๆ และมักทำอะไรด้วยตัวเองเสมอ แบกบันได  ตัดกิ่งไม้ รดน้ำต้นไม้ ทั้งสองท่านมีเรื่องราวคล้าย ๆ กัน เวลามีคนจะไปพบพระสังฆราช เมื่อเจอท่านทั้งสองมักจะถามว่า “ลุง ๆ เห็นพระสังฆราชบ้างไหม พอดีจะมาพบท่าน” คนถามพอรู้ว่าลุงคนนั้นที่แท้คือพระสังฆราชก็ขอโทษขอโพยท่าน หรือไม่ก็จะอาย ที่ไปถามท่านแบบนั้น ท่านก็มักไม่ถือสาอะไร เป็นความน่ารักและสมถะของท่านทั้งสองที่ไม่ถือเนื้อถือตัว 

พระคุณเจ้าบรรจง อารีพรรค
พระคุณเจ้าพเยาว์ มณีทรัพย์


แต่สำหรับเราแล้วการให้เกียรติคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ ย่อมต้องมีอยู่ในหัวใจเสมอ เพราะเราให้เกียรติคนอื่นเราก็ให้เกียรติพระผู้ให้กำเนิดด้วยเช่นกัน ให้เกียรติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้นั้นนับถือ และที่สุดเป็นการให้เกียรติกับโลกที่เราอาศัยอยู่ด้วย อย่าทำตัวเหมือนกับผู้หญิงในเรื่องเล่าในเรื่องนี้
ผู้หญิงอายุ 40 กว่า ๆ คนหนึ่ง พาลูกชายของเธอเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ภายในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวหนึ่งเพื่อกินอาหาร
ผ่านไปครู่หนึ่งผู้หญิงคนนั้นก็โยนทิ้งเศษกระดาษลงบนพื้น และไม่ไกลจากตรงนั้นนัก มีชายชราคนหนึ่งกำลังตัดแต่งดอกไม้อยู่ เขาไม่พูดอะไรสักคำ เดินเข้ามาหยิบเศษกระดาษแล้วทิ้งเข้าไปในถังขยะที่อยู่ข้าง ๆ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หญิงคนนั้นก็โยนเศษกระดาษลงบนพื้นอีก ชายชราก็เดินเข้ามาหยิบเศษกระดาษทิ้งเข้าไปในถังขยะ และก็เป็นเช่นนี้อีก ชายชราต้องเก็บเศษกระดาษถึง 3 ครั้ง
หญิงคนนั้นชี้ไปที่ชายชราแล้วพูดกับลูกชายว่า “เห็นไหม ถ้าเธอตอนนี้ไม่เรียนหนังสือให้ดี ๆ ในภายหน้าเธอก็จะเป็นเหมือนเขาไม่มีอนาคต ทำได้แต่เพียงงานที่ต่ำต้อยเช่นนี้”
ชายชราได้ยินเช่นนั้น ก็วางกรรไกรแล้วเดินเข้ามาพูดว่า “สวัสดี ที่นี่เป็นสวนส่วนบุคคลของเครือบริษัทนี้ เธอเข้ามาได้อย่างไร?
หญิงวัยกลางคนนั้นพูดอย่างหยิ่ง ๆ ว่า “ฉันคือผู้จัดการฝ่ายที่บริษัทเพิ่งรับเข้ามา”
ในขณะนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ และมายืนอยู่ตรงหน้าชายชราอย่างเคารพนอบน้อมแล้วพูดว่า “ท่านประธาน การประชุมกำลังจะเริ่มแล้วครับ”
ชายชราจึงพูดว่า “ตอนนี้ฉันขอเสนอว่าให้เลิกจ้างผู้หญิงท่านนี้”
“ครับ ผมจะรีบไปดำเนินการตามคำสั่งของท่านครับ” ชายคนนั้นรีบขานรับ
ชายชราสั่งเสร็จก็เดินมาที่เด็กชาย เขาเอามือลูบที่ศีรษะของเด็กชายหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า “ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจนะ ในโลกนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเรียนรู้ที่จะให้เกียรติคนทุกคนและผลงานจากการลงแรงของคนทุกคน
หญิงวัยกลางคนนั้นถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตกตะลึง หล่อนอ่อนระทวยอยู่บนม้านั่งยาวนั้น ถ้าหล่อนรู้ว่าชายชรานั้นเป็นประธานบริษัท ก็ย่อมไม่ทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน การให้เกียรติคน อย่าได้แยกแยะจากฐานะตัวตน นี่คือลักษณะในตัวที่สง่างาม ทรัพย์สินความร่ำรวยไม่ใช่เป็นเพื่อนชั่วชีวิต การเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้อื่นจึงจะเป็นทรัพย์สินความร่ำรวยชั่วชีวิต มีเพียงสิ่งนี้จึงจะเป็นสภาพเขตแดนที่สูงที่สุดของชีวิตคนเรา (Fwd line)
ภาพ  : อินเตอร์เน็ต

ค่านิยม กระแสสังคมกำลังเข้าครอบครองผู้คน ด้วยการวัดค่าประเมินคุณค่าคนจากวัตถุภายนอก ความดีงามภายในไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เราจึงพบการหยามหยัน เราจึงเห็นการดูถูกดูแคลน แล้วนำมาซึ่งการแค้นเคือง ความขัดแย้ง การเอารัดเอาเปรียบ ความอยุติธรรมจึงบังเกิดขึ้น ผลพวงของการไม่ให้เกียรติกันจึงเป็นที่มาของสงคราม ใช่หรือไม่เราต่างเป็นลูกของโลกนี้ เรามีเกียรติเท่าเทียมกัน เราแต่ละคนย่อมมีที่ยืน มีที่อยู่บนโลกนี้อย่างสง่างามเหมือนกัน แน่ล่ะ บางทีเราอาจจะมองคนอื่นอย่างไร้เกียรตินั่นเท่ากับเรากำลังหยามเกียรติต่อโลกและต่อองค์พระผู้สร้าง สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งนั่นคือการปลูกฝังให้คนรุ่นหลัง รุ่นลูกรุ่นหลานให้มีหัวใจที่เปิดกว้าง ให้ทุกคนรู้จักเห็นค่าของทุกสรรพสิ่ง และมีหัวใจที่สุภาพถ่อมตน ให้เกียรติกับทุกคน ใช่หรือไม่ พระเยซูผู้ที่เรานับถืออย่างสูงส่ง ก็เคยถูกผู้คนไม่ให้เกียรติมาตั้งแต่วันลืมตาดูโลกนี้ และแม้กระทั่งวันสุดท้ายปลายทางชีวิต ก็ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเช่นกัน

แน่นอนบางครั้งการไม่รู้จักกันมาก่อน ยามพบปะกันอาจจะทักทายกันผิดที่ผิดตำแหน่งไป เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ แต่หากเรารู้จักการให้เกียรติคนอื่นเราย่อมไม่แสดงออกถึงการดูถูกดูแคลน เราย่อมไม่แสดงถึงการรังเกียจและเหยียดหยามคนอื่นอย่างหยาบกระด้าง เราต้องมีหัวใจที่ให้เกียรติกับทุกคนแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้รับเกียรติจากทุกคนก็ตาม เพราะหัวใจแห่งความดีงาม หัวใจแห่งรัก ย่อมอ่อนโยนต่อทุกสิ่งได้เสมอ