วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

มองย้อนแสง

มองย้อนแสง
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมากับการมีภารกิจที่จังหวัดเชียงใหม่ มีโอกาสได้มาพักแถวอำเภอสันป่าตองในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเคยเป็นโรงบ่มยาเก่า นำมาพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้เป็นสถานที่พักตากอากาศ ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย ความเงียบสงบกับแสงแดดที่ส่งลงมากระทบกับใบไม้ ดอกไม้ น้ำพุ เกิดเป็นความสุขใจในความสวยงามของธรรมชาติ ยิ่งแดดจัดแรง ๆ ส่องมายังใบที่เชียวขจี มองย้อนขึ้นไปทำให้เกิดความงาม สีสัน ลวดลายเส้นใยใบ และเงาสะท้อน เมื่อเห็นก็อดที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ชื่นชมในภายภาคหน้ามิได้ ในขณะเดียวกันก็มีเวลาครุ่นคิดไตร่ตรอง มองย้อนสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทั้งในชีวิตส่วนตัวและของสังคมโลก

จากวินาศกรรมกลางเมืองปารีส ลามมาถึงการขัดแย้งจนถึงขั้นยิงระเบิด ยิงเครื่องบิน จับตัวประกันล้วนแต่เป็นเรื่องราวร้าย ๆ ที่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากันอยู่ สงครามรูปแบบใหม่ ที่ใช้การก่อการร้าย ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกวัน ทั่วโลกต่างตกอยู่ในความหวาดระแวง เริ่มมีการขู่เพื่อก่อเหตุการณ์วินาศกรรมในหลาย ๆ เมือง สายการบินเริ่มกลายเป็นการเดินทางที่ไม่ค่อยจะปลอดภัย เรียกว่า “โลกของเราอยู่ลำบากมากขึ้น” จากเมืองที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง ไม่ใคร่จะสนใจใคร นับจากนี้ต้องมีความระมัดระวัง ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล หันมาร่วมมือกันมากยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นความสุขที่เหลือน้อยในเมืองใหญ่จะหลุดลอยหายไปในทันที
ในความร้อนแรงแห่งแสงส่องเรายังมองเห็นความงาม แล้วในยามเราตกอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้งที่รุนแรง เราจะพบกับความดีงามไม่ได้หรือ? เราต้องใช้ความรักและความเสียสละเพื่อผู้อื่น เสียสละเรื่องส่วนตัว ความเห็นแก่ตัว ความมักง่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ มันจะค่อย ๆ ลดความร้ายแรงแห่งแรงพยาบาทบาดหมางลงได้ ถ้าเราไม่ช่วยกันทำ เรายิ่งอยู่ร่วมกันลำบาก ไฟสงครามเริ่มจุดติด เราไม่คิดจะดับไฟนี้ด้วยกันดอกหรือ? ท่ามกลางความรุนแรงในภาวะโลกเราวันนี้ ท่ามกลางความสูญเสีย เราก็มักจะเห็นความงามแห่งความเสียสละ แห่งความเมตตา มีน้ำใจ ช่วยเหลือกันซุกซ่อนตัวอยู่เสมอ เช่น
หนุ่มเลบานอนช่วยคนนับร้อยให้รอดตายจากเหตุการณ์ที่เขาตัดสินใจกระโดดทับระเบิด บริเวณตลาดในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เสียชีวิตคาที่ แต่ก็ช่วยให้ฝูงชนจำนวนมากตรงนั้นให้รอดชีวิตนับหลายร้อยคน วันเกิดเหตุ อเดล เตียมอส พาลูกสาวเดินเล่นหาซื้อของอยู่ในตลาด และเห็นมือระเบิดพลีชีพคนแรกระเบิดตัวเองจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง และ “เตียมอส” หันไปเห็นมือระเบิดอีกคนกำลังจะจุดระเบิด
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyeb9MWC4UIGXmYb-IlDZtV4PLAcpQUgF8Nc8yJh5REPhaweHxx6e69dbWYupUPXY_Yykv6ZBd3osY3iysDQtxzDZwSISjfS99xKcbrJdOoEPOLIjTnk27F5asSqztXvE0FWCLkbcYF2I/s320/5.jpg
โดยไม่มีใครคาดคิด เตียมอสตัดสินใจกระโดดเข้าไปทับมือระเบิดคนนั้นทันที ทำให้แรงระเบิดจากมือระเบิดพลีชีพคนที่สองอยู่ในวงจำกัด จึงมีผู้เสียชีวิตแค่มือระเบิด และคนที่ทับมือระเบิดคือ “เตียมอสกับลูกสาว” ของเขา แต่กลับกลายเป็นว่าเขาและลูกสาว ช่วยชีวิตคนนับร้อยการเสียชีวิตของเตียมอสและลูกสาว แทบจะไม่มีใครได้ยิน เพราะเกิดในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเหตุการณ์ระเบิดที่ปารีส  ที่กลบ “เสียงระเบิด” เมืองเบรุต ประเทศเลบานอน ซึ่งมีคนตาย 45 คน และบาดเจ็บสาหัสอีก 200 กว่าคน
อเดล เตียมอส ไม่ใช่คนดัง แต่เขาคือวีรบุรุษในใจของอีกหลายร้อยคน และถึงแม้เหตุการณ์นี้ดูหดหู่ แต่ก็ทำให้โลกน่าอยู่มากยิ่งขึ้น และหวังว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นอีก ใช่...เราอยากเห็นความเสียสละของผู้คน แต่ไม่ใช่ในเหตุการณ์ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตเช่นนี้ เพราะชีวิตของทุกคนมีคุณค่า
แน่ล่ะ เราคงทำแบบนั้นไม่ได้ทุกคน เพราะหัวใจแต่ละคนแข็งแกร่งไม่เท่ากัน แต่หัวใจเรามีความเมตตาเอื้ออาทรอยู่ด้วยกันทุกคน แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะนำสิ่งเหล่านี้ออกมาจรรโลงโลกได้ เริ่มจากที่ตัวเรา การให้ความสำคัญกับสิ่งรอบข้าง คนรอบกาย อย่าทำลายกันทั้งโดยตรงและทางอ้อม เป็นร่มเงาให้กัน เป็นที่บังแดด หลบฝน ในวันที่พายุชีวิตโถมพัดผ่านมา ให้พัดผ่านพ้นไปด้วยการช่วยเหลืออาทรต่อกัน การเกิดมาในโลกนี้ของเรามีเวลาไม่มากนัก และวันเวลาก็ผ่านพ้นไปรวดเร็ว แสงส่องผ่านมาแล้วผ่านไป แล้วก็ผ่านมาใหม่ในวันพรุ่ง แต่เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น หรืออยู่แต่ไม่ทันสังเกต เพราะใจเรานั้นยังไร้สันติ หาความสงบมิได้ เรายังก่อสงครามในตัวตนของเราอยู่ สงครามระหว่างการทำตามกระแสโลกของยุคหรือตามกระแสเรียกของพระ
หาเวลาในวันเวลาสักหน่อย สวดภาวนาเพื่อสันติสุขในใจเรา สันติภาพของโลก แรงอธิษฐาน มีพลังมากกว่าแรงระเบิด เสียงสวดมนต์ต้องดังกลบเสียงระเบิด แสงแห่งเมตตาอาทร ย่อมสว่างกว่าแสงแห่งไฟสงคราม พลังสามัคคีมีพลังมากกว่าพลังของความขัดแย้ง หากเราไม่ทำแบบนี้เราจะไม่เหลืออะไรให้ชื่นชมนอกจากเสียงร้องไห้และน้ำตา เราจะไม่เห็นความงามของใบไม้ยามต้องแสง คงเหลือเพียงซากปรักหักพัง เราเลือกทางแบบไหน

องค์สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ตรัสสอนเราว่า “ทุกวันนี้ พระเยซูทรงร้องไห้อีกเช่นกัน เพราะพวกเราได้เลือกทางแห่งสงคราม ทางแห่งความเกลียดชัง และทางของความเป็นศัตรูกัน ตอนนี้ พวกเรากำลังเข้าใกล้วันคริสต์มาส วันที่จะเป็นความสว่าง การเฉลิมฉลอง มีต้นไม้ใหญ่ ๆ และมีถ้ำพระกุมาร ทุกสิ่งมีพร้อม แต่โลกยังคงให้ราคากับสงคราม โลกยังไม่เข้าใจทางแห่งสันติ....ดังนั้น ขอให้เราวอนขอพระหรรษทานแห่งการร่ำไห้เพื่อตัวเราเอง และเพื่อโลกที่ไม่สนใจหนทางแห่งสันติภาพ ขอพระหรรษทานเพื่อโลกที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในสงคราม ขอให้เราภาวนาเพื่อการกลับใจ เพื่อโลกจะได้พบกับความสามารถที่จะร้องไห้ให้กับอาชญากรรมเหล่านี้” ( Pope Report) เริ่มต้นเทศกาลเตรียมรับเสด็จด้วยหัวใจแห่งสันติภาพ ด้วยความเมตตาอาทรต่อกัน และให้สิ่งนี้ดำรงอยู่ในชีวิตเราในทุกวันเวลา...สันติสุขจงมีแด่โลกนี้และผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ด้วยเทอญ...

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บางทีต้องยอมรับกันบ้าง

บางทีต้องยอมรับกันบ้าง
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่อยู่หลายข่าวที่ทำให้เราต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ เหตุร้ายแรงเกิดขึ้นในกรุงปารีสที่ฝรั่งเศส มีการสูญเสียชีวิตผู้คนไปร้อยกว่าราย ก่อนหน้านั้นก็มีเหตุการณ์คล้าย ๆ กัน ระเบิดพลีชีพกลางตลาดในกรุงเบรุต เลบานอน มีผู้สูญเสียไปอีกสี่สิบกว่าราย ในขณะที่โลกกำลังตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว เริ่มเห็นเคล้าลางของสงครามใหญ่ใกล้เข้ามา...อีกข่าวหนึ่งคือดาราดังป่วยหนักเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการไข้เลือดออกชนิดร้ายแรง หลายคนต่างส่งกำลังใจให้เขาต่อสู้กับโรคร้ายนี้ให้ได้ ต่างเฝ้ารอแถลงการณ์ประจำวันอย่างใจจดใจจ่อ นอกจากนี้ยังมีเรื่องไฟป่าครั้งใหญ่ในอินโดนีเซีย แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ฯ ทำให้อดที่จะนึกถึงเรื่องความดับสลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้ โดยมีผู้รู้เคยกล่าวไว้ว่ามีสี่อย่างที่จะนำมวลมนุษย์ไปถึงจุดนั้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หนึ่งนั้นคือ สงคราม
สงครามล้างเผ่าพันธุ์ สงครามไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดไม่เคยหมดสิ้นไปจากโลกนี้ เพราะมนุษย์มีสติปัญญามากเกินไปหรือเปล่า ที่สามารถคิดค้นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายยิ่งทียิ่งสูง คิดมาเพื่อ... เพื่อขาย เพื่อปกป้องตัวเอง (ตัวใคร?) เพื่อความยิ่งใหญ่ของชนชาติว่าเป็นชนชาติที่พิเศษเก่งกว่าใคร เพื่อแสดงอำนาจ เพื่อเข้ายึดครอง และที่ดูเท่ห์มาดแมนมากก็คือ เพื่อสันติภาพของโลก สงครามทางสื่อสมัยใหม่ ที่มีข้อมูลมากมาย ใช่หรือไม่ เราก็มักจะเลือกเข้าข้างและอ่านเฉพาะสื่อที่เราชอบและเราชื่นชม ข้อมูลจากสื่อตรงข้ามที่มีมาเราไม่เคยอ่าน เกิดสงครามในความรู้สึกภายใน และอาจจะนำมาซึ่งความเกลียดชังกัน ในความสัมพันธ์มิตรภาพ เมื่อเพื่อนหรือคนรอบข้างเกิดเห็นต่าง ความสงบและการยอมรับกัน เป็นหนทางที่แท้จริง ยอมรับฟังกันแลกเปลี่ยนความคิดโดยมิต้องใส่จริตมโนตนจากข้อมูลฝ่ายเดียว แม้ว่าสงครามระดับโลก เรามิอาจจะหยุดยั้งรั้งได้ แต่สงครามภายในเราต้องสงบ ยอมน้อมรับทุกอย่างก่อน เมื่อทุกคนมีจิตใจนิ่งสงบ ไม่นานสงครามก็ย่อมลดความรุนแรงลง เพราะทุกภาคส่วนในสากลโลกย่อมเป็นหนึ่งเดียว ผู้ชนะที่แท้จริงมิใช่ราชาแห่งความรุนแรง หากแต่เป็นราชาแห่งความรัก อาทร เราต้องการโลกแบบไหนเราต้องเป็นแบบนั้น
หนึ่งนั้นคือ โรคระบาด
โรคระบาดร้าย ที่ไม่ว่าเราจะสามารถคิดค้นวิธีรักษาได้อย่างไร เชื้อโรคก็ฉลาดล้ำดิ้นรนหาทางปรับตัว ปรับสภาพกลายก่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ อย่างไม่มีวันหายไปจากโลกนี้ ถึงแม้เราจะมีเทคโนโลยีขั้นสูงล้ำ แต่ก็มิอาจจะเอาชนะสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ได้เลย ไม่ต้องอื่นไกล แม้ประเทศเราจะมีโรงพยาบาล มีการสาธารณสุขที่ทันสมัยมากขึ้น แต่เรากลับมาพ่ายแพ้ต่อยุงลายตัวเล็ก ๆ ผ่านมากี่ปีกี่สมัยก็ไม่มีทางที่จะทำให้เชื้อไข้เลือดออกหายไปจากประเทศไทยเราได้ ใช่หรือไม่ เราต้องยอมรับให้ได้ ในบางสิ่งก็เกินกว่ามนุษย์เราจะเข้าใจ โรคระบาดวายร้ายเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากความโลภระบาดของเราทั้งนั้น ทำงานจนร่างกายอ่อนแอ เชื้อโรคจึงเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ไร้ภูมิต้านทาน เราหาเงินมาเพื่อนอนรักษาตัวเองเท่านั้นหรือ เราละโมบในการรับประทานอาหารแบบไม่เลือก ผลของการผลิตอาหารจากสารเร่งโต ก็น่าแปลกโลกมนุษย์เรานี้ ที่ฝ่ายหนึ่งก็คิดค้นยารักษาโรค อีกฝั่งหนึ่งก็มุ่งผลิตอาหารจากสารเคมี หากเรายอมลดความโลภ ใส่ความเห็นใจต่อผู้อื่นบ้าง บางทีเชื้อโรคอาจจะลดน้อยลง และที่สุดร่างกายเป็นของประทานที่ล้ำค่า เราต้องดูแลรักษาเป็นลำดับต้น ๆ  เมื่อร่างกายมีภูมิต้านเชื้อโรคได้ จิตใจย่อมเบิกบาน ความร่มเย็นย่อมเกิดขึ้นในสังคม
อีกหนึ่งนั้นคือ อุบัติเหตุ
อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ อุบัติเหตุใหญ่ ๆ มักนำมาซึ่งความสูญเสียชีวิตของมวลมนุษย์ และส่วนใหญ่มักเป็นอุบัติเหตุมาจากเรื่องการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องบิน รถยนต์ รถไฟ และเรือ ประเทศไทยของเราก็ติดอันดับต้น ๆ ของเมืองที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะช่วงวันหยุดปีใหม่หรือวันหยุดติดต่อกันหลาย ๆ วัน ทุกคนต่างมุ่งหน้าออกจากเมืองกรุงมุ่งสู่ต่างจังหวัด (หนีกรุง) อุบัติเหตุมักมาพร้อมกับความเร็ว ความเร่ง ที่มีความเห็นแก่ตัวผสมโรงอยู่ด้วย ยิ่งเราพัฒนาความเร็วมากขึ้นเท่าใด เรายิ่งเพิ่มความประมาทมากขึ้นเท่านั้น เราติดนิสัยที่เร่ง ที่ต้องแข่งขันในทุกที่ทุกทาง ไม่ได้ยอมน้อมรับผ่อนคลายหลังจากพ้นผ่านจากการงานแล้วลงนั่งบนเบาะขับรถ เราคิดหรือว่าพาหนะที่เราใช้มีความปลอดภัยสูงดังที่โฆษณา เราคิดหรือว่าเราจะไม่พบกับคนอื่นที่ประมาทและเห็นแก่ตัว ที่กลัวไม่ทันคนอื่น อุบัติเหตุลดลงได้ถ้าเรารอบคอบ ลดเร่งลดเร็ว ลดความเห็นแก่ตัว และมีน้ำใจต่อกัน ที่สุดต้องรู้จักหวงแหนผู้ที่อยู่ภายใต้ความดูแลของเรา ยอมที่จะเพิ่มความรักความเห็นอกเห็นใจ เอื้ออาทรต่อกัน หยุดรอเพื่อให้คนอื่นผ่านไปก่อน รู้จักที่จะอดทนต่อแถวต่อคิว ไม่ใช่ คิดแต่จะลัดเลาะเกาะขอบทางไปแซงข้างหน้าคนอื่นอยู่ร่ำไป คนที่มีหัวใจแห่งความนิ่งยอมรับความเป็นจริงย่อมนำมาซึ่งการมีชีวิตที่ยาวนาน และมีความสุขในวันเวลา ไม่ตกม้าตายก่อนวัยอันควร
ภาพ :http://upic.me/i/my/image02827.jpg
อีกหนึ่งสุดท้าย นั่นคือ ภัยพิบัติ

ภัยพิบัติ คือสิ่งหนึ่งที่เกิดมาจากน้ำมือมนุษย์ที่เห็นเป็นรูปธรรมน้อยกว่าสามสิ่งที่ผ่านมา แต่เป็นผลที่ได้รับ ค่อนข้างรุนแรง ภัยธรรมชาติมาจากน้ำมือเรา โดยที่บางครั้งเราทำไปแบบไม่รู้ตัว ทุกการกระทำของเราส่งผลกระทบต่อธรรมชาติทั้งนั้น แม้ว่ามนุษย์เราพยายามคิดค้นเครื่องมือเพื่อรับมือต่อภัยพิบัติแต่ก็ไม่อาจจะรับรู้ก่อนได้ การคาดคำนวณการเกิดพายุ แผ่นดินไหว ดินถล่ม ฟ้าทลายทำได้น้อยมาก และมักเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว...ทั้ง ๆ ที่เราได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กให้ช่วยกันรักษ์โลก แต่เราก็มักจะหลงลืม มักคิดว่าภัยพิบัติไกลเกินตัวพวกเรา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเขียนไว้ในสมณสาส์น “ขอคำสรรเสริญ จงมีแด่พระเจ้า” (Laudato Si’) ตอนหนึ่งว่า “ความเป็นเลิศในความคิดสร้างสรรค์และมีใจกว้างของปัจเจกชนและกลุ่มคน ย่อมมีผลกระทบต่อธรรมชาติ การละเว้นการกระทำบางอย่างจะส่งผลร้ายให้กับธรรมชาติ เราต้องเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตอย่างเป็นผู้สร้างสรรค์ท่ามกลางความไม่มีระเบียบและความไม่แน่นอน” บางทีเพื่อลดความสูญเสียของชีวิตมนุษย์ เราต้องยอมรับ ลดความเห็นแก่ตัว ลดอคติ ลดความโลภ เพราะโลกนี้จะอยู่ได้ด้วยรักและเมตตาอาทร...

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปลายฝัน วันคืนที่กลืนหาย

ปลายฝัน วันคืนที่กลืนหาย
ยามเย็นความมืดเข้าปกคลุมไปทั่วในช่วงเวลานี้ นี่คงจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าฤดูหนาวกำลังจะมา แต่ความหนาวเย็นก็ไม่เห็นจะมาตรงตามเวลากำหนดของฤดูกาล ที่นับวันยิ่งจะเกิดการเปลี่ยนไป บางวันยังคงแดดจัดร้อนจ้า แต่ความมืดก็ยังมาเยือนเราเร็วขึ้นอยู่ดี นั่นคงมิได้หมายถึงการแจ้งเตือนของฤดูกาลอย่างเดียว การมาของความมืดที่มาเร็วและจากลาอย่างอ้อยอิ่งนิ่งนานนี้ เป็นเครื่องเตือนให้เราได้รู้ว่า จวนจะครบรอบวนของวงปีแล้ว เป็นช่วงเวลาที่เราควรใช้เวลาในความมืดของสนธยาเวลาค่ำคืน ได้ไตร่ตรองถึงหนึ่งรอบปีที่ผ่านมา

ในหลายครั้งต้นปีเรามักมีความตั้งใจจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตั้งใจจะปรับจะเปลี่ยนพฤติกรรมนี่นั่น จะสร้างคุณงามความดี เป็นเหมือนความฝันใฝ่ในขวบปี มาวันนี้วันที่ใกล้ลาลับนับรอบปี เราได้ทำตามสิ่งที่ตั้งใจ สิ่งที่ฝันไว้ได้บ้างหรือเปล่า เรากำลังมาถึงซึ่งปลายฝัน วันคืนที่ผ่านมาความฝันนั้นพลันกลืนหายไปในเส้นทางชีวิตเราหรือไม่ เวลาเช่นนี้ที่มีกลางคืนยาวกว่ากลางวัน เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะพลิกฟื้นคืนความฝันและมุ่งมั่นทำให้เป็นจริง แม้แค่อีกเดือนกว่า ๆ สำหรับความฝันที่ดีที่งดงาม ย่อมไม่เป็นเชลยต่อวันเวลา แต่กลับเป็นความอิสระที่จะกระทำได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ขอเพียงแค่เราต้องไม่ละทิ้งความฝันอันสูงสุดในความงามของชีวิตเรานี้ ดังเช่นทากน้อยในนิทานเรื่องนี้

ฉันคือทากน้อยที่มีความสุขที่สุด ทุกเช้า ฉันจะได้ลิ้มรสน้ำค้างอันหอมหวานบนยอดหญ้า นี่คือของขวัญอันยอดเยี่ยมที่พระเจ้าได้มอบให้แก่ฉัน คุณว่าฉันสมควรมีความสุขไหมล่ะ?และแล้ววันหนึ่ง พระเจ้าก็ทรงบอกแก่ฉันว่า
ณ ดินแดนไกลโพ้นมีทะเล แต่ไม่เคยมีทากตัวใดเคยเห็นทะเลมาก่อนแม้แต่เพียงสักตัวเดียว การได้เห็นทะเลคือความฝันของทากทุกตัว
ฉันถามพระเจ้าว่า ในเมื่อทากตัวอื่น ๆ ต่างก็ไม่เคยเห็นและไม่เคยทำได้ แล้วลูกจะทำได้อย่างไร? แล้วลูกจะได้เห็นทะเลไหม?”
พระเจ้าตรัสตอบฉันว่า ทากน้อยเอ๋ย มหาสมุทรอยู่ไกลเกินไป ไม่มีทากตัวใดทำได้หรอก
ลูกไม่เชื่อ ในเมื่อทะเลมีอยู่จริง ทะเลคือความฝันของลูก ลูกจะขอเดินตามความฝัน
พระเจ้าผู้ทรงเมตตาได้กำชับฉันว่า การตัดสินใจทำว่ายาก การยืนหยัดในสิ่งที่ทำยากยิ่งกว่า และที่ยากยิ่งกว่าการยืนหยัดก็คือการบรรลุสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ ทากน้อยเอ๋ย ข้าอวยพรให้เจ้าสำเร็จดั่งใจเจ้าหวังเถิด
ในวันที่ฉันตัดสินใจออกเดินทาง ฉันได้พบเจอกับเพื่อนทากจำนวนมากที่กำลังหันหลังกลับจากการเดินทางตามหาความฝัน พวกเขาบอกฉันว่า มันเป็นเพียงความฝัน มันไม่อาจเป็นจริง เราคือทาก!
และแล้วฉันก็ได้พบกับเต่าชราผู้อารี ท่านผู้เฒ่าเต่าได้บอกกับฉันว่า เจ้าทากน้อยเอ๋ย เจ้าจงกลับไปยังถิ่นที่เจ้ามาเถิด ต่อให้เจ้าเดินทางทั้งชาติเจ้าก็ไม่อาจได้พบเห็นทะเลดอก เจ้าจะเอาชีวิตไปทิ้งขว้างเปล่า ๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าทำฝันให้เป็นจริงได้ นั่นคือ อย่าละทิ้งความตั้งใจของเจ้า
ฉันเพิ่งเข้าใจว่าอุปสรรคที่กีดขวางไม่ให้ฉันไปถึงจุดหมายนั้นมิได้มีเพียงหนทางที่แสนยาวไกล มันยังมีคำพูดของคนหวังดีที่อยู่รอบข้างที่ฉันได้พบเจอ พวกเขามักจะบอกกับฉันว่า อย่าเลย มันยากเกินไปสำหรับเธอ!
แต่ฉันตัดสินใจเลือกแล้ว ฉันขอเรียนรู้ที่จะยืนหยัดในความฝันของฉัน ฉันจะมุ่งหน้าต่อไปในสิ่งที่ฉันเลือก หากเพราะคำพูดเหล่านี้แล้วฉันก็เลิกล้มความตั้งใจ ละทิ้งความฝันของฉันไป ทากอย่างฉันจะทำอะไรได้อีกเล่า?
ฉัน เดิน เดิน เดิน แล้วก็เดินไป ณ บัดนี้ บนทางเส้นนี้เหลือฉันเพียงลำพังแล้วสินะ มันช่างเงียบเหงาเสียนี่กระไร! ทุกค่ำคืนฉันได้แต่แอบร้องไห้ บางครั้งคำถามก็ผุดขึ้นในห้วงความคิด เธอกำลังทำอะไรอยู่ มันคุ้มค่าแล้วเหรอ? มันไม่มีใครทำได้มาก่อนนะ!
ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเอง นี่คือเกมเกียรติยศ ทากน้อยเอ๋ย เธอทำได้! ฉันรู้ ฉันคือทาก ฉันคือฉัน กลัวไปใยกับความทุกข์ในเมื่อฉันก้าวผ่านมาตั้งมากมายแล้วนี่นา ฉันจะถอยไปทำไม มีพี่น้องทากที่เฝ้าดูในสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ ฉันจำคำพูดของผู้เฒ่าเต่าที่บอกกับฉันก่อนจากกันในครั้งนั้น อย่าลืมความตั้งใจเดิม
เอาน่า ลองอีกสักตั้งจะเป็นไรไป เมื่อนึกได้อย่างนี้ ฉันก็มีกำลังฮึกเหิมที่จะสู้ต่อ จุดหมายยังรอฉันอยู่ข้างหน้า ทากเอ๋ย เธอออกเดินทางต่อได้แล้ว
เสียงหัวใจของฉันบอกกับตัวเองเบา ๆ จนค่ำคืนของวันหนึ่ง ฉันเห็นแสงจันทร์สาดแสงทาบทับอะไรก็ไม่รู้สักอย่างสีฟ้าระยิบระยับไปไกลสุดลูกหูลูกตา กระรอกน้อยที่อยู่บนต้นมะพร้าวบอกกับฉันว่า นั่นคือทะเล!  (ที่มา https://www.facebook.com/NusonBooks)


ในความฝัน ในความตั้งใจของเรา หลายครั้งก็มักพังราบสูญหายไปกับคำพูด กับความคิดเห็นของผู้อื่น แน่ละ เราจำต้องฟัง และนำมากลั่นกรองเพื่อเป็นเครื่องมือส่งเสริมชีวิตเราให้มุ่งสู่เป้าหมายอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่นำมาเป็นสิ่งที่บั่นทอน ลดทอน ความเข้มแข็งของเรา ในการสู่เป้าหมายตามฝัน ตามความตั้งใจของแต่ละคนย่อมใช้วันเวลา ย่อมใช้ความบากบั่นไม่เท่ากัน บางคนเข้มแข็งก็ใช้เวลาไม่นาน บางคนอ่อนแอก็ล้มเลิกไปเสียดื้อ ๆ แล้วในชีวิตจริงของเราเล่า? ผ่านมาจะครบรอบอีกหนึ่งปี เราใกล้ถึงฝั่งฝันปลายทางแห่งความสำเร็จ ใกล้พบกับความงดงามในนามของความดีบ้างหรือยัง? เราเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านั้นในระหว่างทางเดินมามากน้อยเพียงใด? หรือปล่อยมันกลืนหายไปกับสายลมที่พัดผ่านมาเป็นระลอก ๆ ขอให้เราแต่ละคนมีความเข้มแข็งในจิตวิญญาณมากยิ่งขึ้น และอย่าลืมความตั้งใจเดิมเมื่อต้นปี เพื่อว่าเราจะได้เห็นความงามอันเป็นนิรันดร์ไปพร้อม ๆ กัน ....

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สิ่งใดในวันเวลา

สิ่งใดในวันเวลา
ช่วงที่กำลังตรวจเช็ควันเดือนปีในปฏิทินบนสมาร์ทโฟน มองเห็นว่าวันนี้ได้ล่วงเลยมาสู่เดือนรองสุดท้ายของปีแล้ว ทำให้หวนรำลึกถึงการฉีกปฏิทินทีละแผ่น ๆ ที่บัดนี้แทบไม่มีใช้และโดยส่วนตัวก็ไม่ได้ใช้แบบนั้นมาหลายปีแล้ว อารมณ์การฉีกปฏิทินเมื่อครั้งกระโน้น อยู่ ๆ ก็กลับมาให้โหยหา ในขณะที่กำลังไล่เรียงจดบันทึกตารางเวลางาน และกำหนดนัดหมายใส่ในปฏิทินสมัยใหม่อยู่นั้น ก็เกิดความสงสัยว่า ในเครื่องมือสมัยใหม่นี้เขาใส่ปฏิทินไว้กี่ปีกัน???  เลยลองรูดไล่เรื่อย ๆ โอ้...ไม่มีที่สิ้นสุด ลองย้อนกลับไปหาวันเก่าเดือนปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน มันเหมือนกับว่าวันเวลาไม่มีที่สิ้นสุด ทุกอย่างเกิดขึ้นมาถูกบันทึกไว้บ้าง หล่นหาย ดับสูญ แล้วก็ล่วงเลยผ่านไป นี่มันเป็นแค่เครื่องมือที่บอกถึงวันเวลาที่แน่นอนตายตัว หาได้บอกถึงคุณค่าที่ผ่านมาของวันเวลาไม่ และหาได้เป็นเครื่องยืนยันที่บอกว่าวันเวลาของแต่ละคนจะสิ้นสุดลงตรงไหน ใช่...ไม่มีใครที่ไม่มีวันสิ้นสุด มีแต่ต้องสุดสิ้นลมหายใจด้วยกันทุกคน
เมื่อไล่ดูวันเวลาที่ผ่านมา หลายเหตุการณ์ก็ย้อนให้เรารำลึกถึง จะลองนั่งคำนวณดูว่าในวันเวลาที่ผ่านมานั้นพบความสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน ก็ไม่กล้าทำเพราะกลัวว่าจะขาดทุนความสุขในรอบปีที่ผ่านมา (ล้อเล่นกับตัวเอง ฮา ๆ ) จริง ๆ แล้ว ความสุขเกิดกับเราทุกวันเวลา เพียงแต่ว่าบางทีบางครั้งเราไม่ได้เกี่ยวเก็บไว้ อาจจะเป็นความสุขเพียงชั่วสั้น ๆ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้อยู่ในบรรยากาศที่อบอวน อบอุ่นด้วยไอแห่งความรักและเอื้ออาทร เอาเข้าจริงเรากลับพบว่า สิ่งที่ผ่านมากับวันเวลานั้นช่างสวยงาม ความสุขเกิดขึ้นได้เสมอ แม้ในวันที่ไม่มีความสุข ดังผู้สันทัดกรณีกล่าวไว้ว่า “ในวันที่คุณไม่มีความสุข ขออย่ามัวคิดจะหาความสุข มาให้ตัวเองได้อย่างไร แต่จงแบ่งปันความสุขให้แก่คนอื่น การแบ่งปันความสุขออกไปนั่นแหละ จะทำให้คุณได้รับความสุขกลับมาอย่างแน่นอน” นี่ไงที่ผ่านมาเรา ๆ ท่าน ๆ ได้มองข้ามสิ่งนี้ไป
แน่ละ ความสุขของเราในวันเวลาที่ผ่านมามักจะไปยึดโยงกับสิ่งอื่น มักจะยึดโยงกับการถูกมอง กังวลอยู่กับการเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ จึงพยายามทำให้ตัวเองดูดีโดยอาศัยภาพลักษณ์  จึงเป็นที่มาของการดิ้นรนให้ได้มา เกิดการแข่งขัน ช่วงชิง แก่งแย่ง ด้วยเหตุผลเพื่อการพัฒนาตนเอง เราหลงไปกับการถือครองสิ่งภายนอก มากกว่าการพัฒนาชีวิตภายใน เช่นนี้แล้วความสุขเล็กๆ จึงหายไปในอากาศ สลายไปกับวันเวลา เราไม่ได้ทำความสุขให้เกิดขึ้นตามสิ่งที่เรามี เราเป็น เราพยายามสร้างสุขจากที่เราอยากมี อยากได้ อยากเป็นมากกว่า เมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับเรื่องตัวเองมากเกินไป กลัวตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่นเกินเหตุ ชีวิตเราจึงไม่สามารถแบ่งปันความสุขที่เรามีให้กับผู้อื่นได้ แถมยังไม่สามารถพบกับความสุขภายในได้เลย มีเพียงความสุขจอมปลอม ความสุขที่ทุกคนพยายามมาสวมใส่ให้เราโดยปราศจากความจริงใจต่อกัน
แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า หมาป่าจะกินแพะ แพะจึงสู้ ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อน ๆ ช่วย
วัว มองมาเห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป
ม้า มองมาเห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว
ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบ ๆ
หมู ผ่านมาเห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป
กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อน ๆ ไปทุกตัว
หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามาจะสู้กับหมาป่า
หมาป่าเห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป แพะรอดตายกลับมาถึงบ้าน เพื่อน ๆ มาทุก ตัว”
วัวบอก ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า แทงทะลุท้องมัน
ม้า ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้ากระทืบมัน
ลา ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดัง ๆ ให้หมาป่าตกใจตาย
หมู ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ่งชนให้มันตกเขาไป
กระต่าย ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าวขอความช่วยเหลือในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้ ขาดอยู่ “ตัวเดียว คือ หมา
บางทีความสุขอยู่ตรงนี้ ตรงที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นแบบเงียบ ๆ ช่วยด้วยหัวใจ ช่วยเหลือสุดความสามารถที่เรามี ใช้พระพรเพื่อผู้อื่นเท่าที่เราเป็น ในสังคมที่เต็มไปด้วยคำพูดสวยหรู คำพูดหวาน ๆ คำพูดโอ้อวด ล้วนแต่เป็นเพียงมายาที่สร้างกันขึ้นมาเพื่อชดเชยความสุขที่สูญหาย บางคนชอบสวมใส่สิ่งภายนอกให้ดูดีมีราคา แต่ก็เป็นได้แค่เพียงราคาคุย ฉะนั้นแล้วเราไม่จำเป็นต้องแสดงหรือกระทำอะไรที่เกินขอบเขตของตัวเองเลย เพราะยิ่งทำไปอย่างนั้นความสุขยิ่งหลุดลอย มีแค่ไหนก็ทำเท่าที่มี เป็นคนเยี่ยงไรก็ปฏิบัติตนเยี่ยงนั้น จริงใจซื่อสัตย์ต่อวิถีชีวิตของตน พยายามหาตัวตนที่พระเจ้าสร้างเรามาให้พบ แล้วใช้สิ่งนั้นสร้างสุข แบ่งสุขปันสันติเพื่อคนรอบข้าง


นอกจากความสุขที่เราหวนหาแล้ว มิตรภาพที่สร้างความสุขในชีวิตที่ผ่านมาเล่า!!! เราพบบ้างไหม??? เรามีเพื่อนแท้สักกี่คนที่ยังคงคบหาสมาคมและคอยช่วยเหลือกันอย่างจริงใจ เพื่อนที่ไม่เคยทอดทิ้งเราในวันที่ชีวิตเดินสู่หนทางคับขัน เพื่อนที่เดินเคียงข้าง ช่วยเหลือแบบเงียบ ๆ เป็นห่วงใส่ใจเราโดยไม่หวังสิ่งใด ถ้าเราพบคนเช่นนี้ เราควรเก็บมิตรภาพนี้ไว้ตราบเท่าลมหายใจสุดท้าย และเช่นกันหากเราจริงใจในมิตรภาพต่อผู้อื่น เราย่อมได้รับมิตรภาพนั้นกลับคืนมาเสมอ และที่สุด มิตรแท้ที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ ช่วยเหลือเราอย่างเงียบ ๆ เป็นตัวอย่างที่แสนจะงดงามในทุกวันเวลาของชีวิตเรา นั่นคือ องค์พระเยซูผู้แสนดีและเป็นผู้ที่มอบ ที่สอนให้เรารู้จักกับความสุขกับสิ่งที่เรามี เราเป็น วันเวลาที่ผ่านมา เราลองหวนกลับไปดูสิว่า เราได้พบกับพระองค์มากน้อยแค่ไหน หรือเพียงปล่อยให้พระองค์คอยเราอยู่อย่างเงียบเชียบ ผ่านมาวันแล้ววันเล่า....