วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รอคลื่นลมในใจสงบ

รอคลื่นลมในใจสงบ
            ในบางครั้งบางช่วงเวลาเรามักใช้ทิฐิตัวเองเป็นใหญ่ พยายามหาเหตุและผลเข้าข้างตัวเอง เพื่อให้รอดพ้นจากคำติฉิน ติเตียน ทั้งๆที่ในใจเราก็รู้การกระทำของเราในเวลานั้น ไม่เหมาะไม่ควร ที่ต้องเถียงเพราะความกลัว กลัวเสียหน้า กลัวเสียฟอร์ม แม้กระทั่งที่เรียกว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่เรามักยึดโยงอย่างเหนี่ยวแน่น มิให้ใครหน้าไหนมาทำให้สั่นคลอน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความคิดนั้นไม่ใช่สิ่งถูกต้องทั้งหมด หรือในเรื่องที่เรารู้มา แต่ชอบทำเป็นรู้มาก ทั้ง ๆ ที่ความรู้นั้นอาจจะมีเพียงแค่หางอึง กลับคิดไปว่าเป็นหางกระเบน หากใครเข้ามาตอแหย ความรู้นั้นพร้อมใช้ให้เป็นอาวุธฟาดฟัน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ในบางช่วงบางทีของชีวิตเรามักไม่นิ่งสงบพอ จึงวิ่งวุ่น ทุรนทุรายหาสิ่งเติมเต็มลงไปในทะเลทรายแห่งชีวิตผืนนี้ เรามักสร้างคลื่นลมแรงให้เกิดขึ้นในวิถีชีวิต สร้างขึ้นโดยคิดว่าเป็นกำแพงแข็งแกร่ง ที่ไหนได้มันคือเกลียวคลื่นที่ซัดสาดหัวใจให้แตกกระเจิง เรามักสร้างพายุทะเลแห่งความโลภด้วยการไม่รู้จักพอ กอบโกยเก็บเกี่ยวเอาไว้เพียงผู้เดียว ไม่ยอมแบ่งปันให้ใคร ท่ามกลางกองเงินกองทองมีใครบ้างไหมที่พบความสงบ เราต้องการมีให้เยอะเพราะเรากลัว กลัวไม่มีใครเลี้ยงยามชรา กลัวคนดูถูกว่ายากจน กลัวคนไม่นับถือ กลัวไร้ซึ่งอำนาจ เราจึงพยายามแสวงหา เราจึงพบเจอกับพายุในใจอย่างไม่มีวันสิ้นสุด แล้วเมื่อไรเล่าเราจึงจะพบเจอสันติสุขในชีวิต  ดิ้นรนเพื่อเพิ่มยอดเงินในบัญชีเพื่อสิ่งใดเล่า การหาเงินเป็นสิ่งดีต่อเมื่อมั่งมีแล้วเผื่อแผ่ การได้มาซึ่งทรัพย์สินเป็นสิ่งที่สอนให้เราต้องมีเมตตากรุณาต่อผู้อื่นมากขึ้น การใช้พระพรพิเศษในการงานแล้วได้ผลตอบแทนเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้เราเคารพต่อความสามารถที่ได้รับมาจากพระผู้สร้าง
            ในโลกนี้มีหลายต่อหลายคนได้คำนึงถึงภารกิจแห่งเมตตารัก เมื่อได้มามากก็ให้สิ่งนั้นกลับคืนสู่สังคมมากเช่นกัน เพราะที่สุดของความเป็นมนุษย์นั้น ก็คือความสงบสุขและความเปรมปรีดิ์แห่งจิตใจในวันที่คลื่นลมสงบนั่นเอง ใช่หรือไม่บุคคลเหล่านั้นล้วนก้าวข้ามผ่านความกลัว ผ่านคลื่นลมแรงแห่งใจมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น อาทิเช่น โจวเหวินฟะ นักแสดงฮ่องกงชื่อดัง วัย 58 ปี ประกาศว่าจะอุทิศสมบัติของตนอันได้มาจากการทำงาน รวมมูลค่า 5,248 ล้านบาท (164 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นสัดส่วนร้อยละ 99 ของทรัพย์สินที่ตนเองมีทั้งหมด ให้แก่หน่วยงานการกุศลเมื่อตนเสียชีวิต
            โจวเหวินฟะ ซึ่งใช้ชีวิตเรียบง่าย เก็บตัว มักได้รับคำชมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินวิถีชีวิตแบบปกติคนทั่วไป ขึ้นรถโดยสารสาธารณะ หรือแม้จะเป็นนายแบบเสื้อสูทแบรนด์หรู แต่ชีวิตส่วนตัว เขาบอกว่ายังสวมสูทออกงานใหญ่ต่าง ๆ ด้วยชุดที่ซื้อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยตัดชุดใหม่ แถมยังคงใช้โทรศัพท์มือถือที่ตกรุ่น อีกต่างหาก
           
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
โจวเหวินฟะ พูดถึงการใช้พาหนะเดินทางโดยสารสาธารณะเป็นประจำของตนว่า "รู้สึกมานานแล้วว่า ไม่ค่อยมีความจำเป็น และการใช้รถสาธารณะก็สะดวกดี นอกจากนี้ ยังพบว่า กว่าร้อยละ 90 ของคนใช้รถโดยสารเดี๋ยวนี้ มักก้มหน้าดูโทรศัพท์ ไม่สนใจใคร นี่ยิ่งสบายใหญ่ ไม่มีใครรู้จักตนเลย"
            "คิดดู ถ้าผมต้องจ้างคนขับรถ ผมสะดวกแต่ก็ไม่รู้สึกสบายด้วยเหมือนต้องให้ใครคนหนึ่งมาคอยผมทั้งวัน จะไปไหนเขาก็คอยเรา ผมรู้สึกเกรงใจเขา" โจวเหวินฟะ อธิบายความรู้สึกที่ไม่เคยชอบจ้างคนขับรถส่วนตัว และว่าเขาเรียนรู้หลายเรื่องจากแม่ โดยเฉพาะเรื่องความประหยัดมัธยัสถ์ "ตอนนี้ตนเองล่วงเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว ไม่ได้ใช้เงินอะไร ไม่ได้มีบุตรหลานให้ดูแล จึงต้องการมอบสมบัติที่ตนเก็บหอมรอมริบ ได้รับมาจากสังคม คืนกลับให้สังคมที่มีบุญคุณต่อผม"
            "ผมรู้สึกตลอดว่า เงินทอง เป็นของนอกกาย ไม่ใช่สมบัติที่แท้จริงของผม ผมแค่ครอบครองมันชั่วคราว ผมประสงค์จะส่งผ่านมอบคืนเพื่อกิจการกุศลทั้งหมดที่มีความจำเป็น" โจวเหวินฟะ กล่าว

            นี่เป็นตัวอย่างที่ใกล้ตัวเรา ตัวอย่างของการใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่า ที่รู้จักความพอเพียง และไม่ยึดติดกับสิ่งที่จะก่อให้เกิดคลื่นลม ในวันนี้ ใช่หรือไม่ เรากำลังอยู่ท่ามกลางพายุที่เต็มไปด้วยคลื่นลมแรง เต็มไปด้วยความกลัว แต่เรามักสร้างสิ่งที่เปราะบางมาเป็นเรือกลน้อย ๆ แล้วกอดเกาะไว้อย่างแน่นหนาโดยมินำพา หลับหูหลับตา คิดว่าอีกไม่นานพายุจะผ่านไปเอง แต่ก็ไม่เคยหมดไปจากหัวใจเรา ทุกวันนี้ยังสาละวนกังวล เสาะหาอยู่ร่ำไป หาได้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะหามาเพื่ออะไร แต่ก็ยังหาอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าใครหามาได้มากแล้วนำไปให้คนอื่นที่ยังไม่มี แสดงว่าผู้นั้นรู้วิธีจัดการกับคลื่นลมในชีวิตให้สงบว่าต้องทำเช่นไร ย้อนกลับมาถามตัวเราเองบ้าง เรารู้จักและจัดการคลื่นลมในชีวิตหรือไม่ เราต้องทำให้คลื่นลมในชีวิตสยบแล้วความสงบสุขจะคืนกลับมา 

ไม่มีความคิดเห็น: