วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กว่าจะถึงซึ่งเส้นชัย

กว่าจะถึงซึ่งเส้นชัย

            กระแสหลักของโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้ปลูกฝังค่านิยมเรื่องการมุ่งสู่ความสำเร็จของชีวิตด้วยความรวดเร็ว เร่งรัด รีบเร่ง โดยใช้ตรรกะของการแข่งขันเป็นตัวช่วย และใช้ระดับของทรัพย์สินเป็นเกณฑ์ชี้วัด ทำให้ชีวิตของผู้คนทุกคนตื่นมาพร้อมกับความเร่งรีบ เพื่อแย่งชิง วิ่งลงแข่งขัน จนลืมมองดูว่าเรารีบวิ่ง แข่งขันกับใครและเพื่ออะไรกันแน่...

            ทุกชีวิตเกิดมาบนโลกย่อมต้องมีหนทางและเส้นชัยเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่ในระหว่างทางอาจจะไปวิ่งบนทางของคนอื่นบ้าง อาจจะล้มบ้าง อาจจะทุกข์ท้อบ้าง แต่หากว่าเรามีจุดหมายปลายทางเส้นชัยอยู่ที่ความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์แล้วไซร้ ทุกวันเวลา ย่อมคือพระพร เป็นหน้าที่เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เรามิได้ถูกสร้างมาเพื่อความพ่ายแพ้ แท้จริงเราถูกสร้างมาเพื่อสู่ชัยชนะกันทุกคน แน่ล่ะ...ความสำเร็จบางครั้งก็ต้องแลกมาด้วยน้ำตา หยาดเหงื่อ แรงใจ แรงกาย และอื่น ๆ อีกหลายอย่างในชีวิต บนหนทางนี้มีอุปสรรคมากมาย แต่ก็คงไม่เท่ากับอุปสรรคที่เกิดจากตัวเราเอง หากเราเอาชนะจิตใจของตนเองได้ เราย่อมภาคภูมิใจในความสำเร็จในวันที่เราไปถึงซึ่งเส้นชัย แม้ว่าในสายตาคนอื่น เราอาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตามมาตรฐานจริตกระแสโลกก็ตาม
            เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2511 ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศเม็กซิโกอัควารี ลงแข่งขันในประเภทวิ่งมาราธอนระยะทางกว่า 40 กิโลเมตร ซึ่งจะเริ่มสตาร์ทจากในสนามกีฬา และจากนั้นก็วิ่งออกไปตามเส้นทางนอกสนาม ก่อนที่จะวิ่งรอบสุดท้ายในสนามกีฬาอีกครั้งหนึ่ง
            หลังการแข่งขันสิ้นสุดลงมีการมอบเหรียญให้กับคนที่ได้ เหรียญทอง เหรียญเงินและเหรียญทองแดง ผู้ชมเริ่มทยอยเดินออกจากสนามไม่มีใครรู้ว่าการแข่งขันนั้นยังไม่สิ้นสุด เพราะนักกรีฑาคนสุดท้ายเพิ่งเข้าสู่สนาม เวลาตอนนั้น 1ทุ่มตรง
            “อัควารีวิ่งฝ่าความมืดอย่างกระโผลกกระเผลก ขาข้างขวาโชกเลือด ต้องพันด้วยผ้าพันแผล เขาวิ่งด้วยอาการเหนื่อยหอบ ความเร็วของเขาช้ากว่าการเดิน
            แต่ อัควารีก็ยังวิ่ง..วิ่ง และวิ่งจนถึงเส้นชัยเขาได้รับเสียงปรบมือดังลั่นจากผู้คนน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ในสนาม
            ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถาม อัควารีหลังจากที่เขาเข้าเส้นชัย
            “ทำไมคุณถึงไม่เลิกวิ่ง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีโอกาสชนะ
            คำตอบของ อัควารีกลายเป็นประโยคอมตะที่มีคนกล่าวถึงจนทุกวันนี้    
            ประเทศของผมไม่ได้ส่งผมมาแค่ให้ออกวิ่ง แต่ส่งผมมาเพื่อวิ่งให้สำเร็จ

            ทุกก้าวของ อัควารีนอกจากความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ขา อัควารีก็คงรู้อยู่แล้วว่าเขาโดนคู่แข่งทิ้งห่างไกลเพียงใด และคงมีคำถามในใจมากมายว่าเขาจะทนเหนื่อยและเจ็บต่อไปเพื่ออะไร เพื่อพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ ???
            บางครั้งความทุกข์ ความยากลำบากในชีวิต อาจจะทำให้เราถึงความสำเร็จช้าลงไปบ้าง แต่ที่สุดแล้วมักจะมีผลดี เพราะว่าความอดทนต่อความยากลำบากจะทำให้เกิดความเข้มแข็ง      นักบุญเปาโลบอกว่า “ความทุกข์ยากเล็ก ๆ น้อย ๆ ในโลกนี้ ไม่อาจจะเปรียบเทียบกับศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ในสวรรค์ได้เลย”
            นักบุญเปโตรกว่าจะตั้งพระศาสนจักรให้มั่นคงได้ ท่านต้องผ่านความทุกข์ ความเหนื่อย การท้อแท้ และความตายอย่างทรมาน ซึ่งดูเหมือนว่าพ่ายแพ้แล้ว แต่ที่ไหนได้ พระศาสนจักรกลับเจริญเติบโตมั่นคงจวบจนถึงทุกวันนี้ จากบุรุษผู้ไล่ล่าหาความสำเร็จต้องมาตกม้าเกือบตาย ทุรนทุรายต่อสู้ในวันที่ตาบอด และรอดพ้นด้วยความเมตตารักอันยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสตเจ้า ท่านนักบุญเปาโลจึงเลือกเดินทางของตนโดยไม่สนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ออกไปทุกที่เพื่อสอนให้หัวใจผู้คนเต็มเปี่ยมไปด้วยรัก แม้จนตัวตาย


            ท่านทั้งสองมิได้เคยคิดถึงความมีชื่อเสียงเกรียงไกรอันใด ทำตามสิ่งที่ท่านได้รับมอบหมายด้วยหัวใจ สำคัญสุด พวกท่านนั้นชนะตัวเองได้ก่อน จากนั้นจึงพยายามพาทุกคนให้สู่ทางสำเร็จโดยมุ่งสู่องค์พระคริสตเจ้าด้วยจิตใจที่งดงาม วิถีชีวิตของท่านทั้งสอง สอนให้เรารู้ว่าขอเพียงแค่ว่าเรามีความยึดมั่นในความดี ความพยายาม และความถูกต้อง เราจะมีความสุขในความพยายามนั้นแล้ว ปัญหาและอุปสรรคที่เราต้องผ่านพบต้องเจออยู่ทุกครั้ง มันย่อมเป็นเพียงอุปสรรคเล็ก ๆ ของชีวิต เราไม่ได้ถูกส่งมาให้ออกมาเดินเล่นบนโลก หากแต่เราต้องออกเดินไปสู่ความสุขให้ได้บนโลกนี้พร้อมๆกับคนรอบข้าง

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รอคลื่นลมในใจสงบ

รอคลื่นลมในใจสงบ
            ในบางครั้งบางช่วงเวลาเรามักใช้ทิฐิตัวเองเป็นใหญ่ พยายามหาเหตุและผลเข้าข้างตัวเอง เพื่อให้รอดพ้นจากคำติฉิน ติเตียน ทั้งๆที่ในใจเราก็รู้การกระทำของเราในเวลานั้น ไม่เหมาะไม่ควร ที่ต้องเถียงเพราะความกลัว กลัวเสียหน้า กลัวเสียฟอร์ม แม้กระทั่งที่เรียกว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่เรามักยึดโยงอย่างเหนี่ยวแน่น มิให้ใครหน้าไหนมาทำให้สั่นคลอน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความคิดนั้นไม่ใช่สิ่งถูกต้องทั้งหมด หรือในเรื่องที่เรารู้มา แต่ชอบทำเป็นรู้มาก ทั้ง ๆ ที่ความรู้นั้นอาจจะมีเพียงแค่หางอึง กลับคิดไปว่าเป็นหางกระเบน หากใครเข้ามาตอแหย ความรู้นั้นพร้อมใช้ให้เป็นอาวุธฟาดฟัน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ในบางช่วงบางทีของชีวิตเรามักไม่นิ่งสงบพอ จึงวิ่งวุ่น ทุรนทุรายหาสิ่งเติมเต็มลงไปในทะเลทรายแห่งชีวิตผืนนี้ เรามักสร้างคลื่นลมแรงให้เกิดขึ้นในวิถีชีวิต สร้างขึ้นโดยคิดว่าเป็นกำแพงแข็งแกร่ง ที่ไหนได้มันคือเกลียวคลื่นที่ซัดสาดหัวใจให้แตกกระเจิง เรามักสร้างพายุทะเลแห่งความโลภด้วยการไม่รู้จักพอ กอบโกยเก็บเกี่ยวเอาไว้เพียงผู้เดียว ไม่ยอมแบ่งปันให้ใคร ท่ามกลางกองเงินกองทองมีใครบ้างไหมที่พบความสงบ เราต้องการมีให้เยอะเพราะเรากลัว กลัวไม่มีใครเลี้ยงยามชรา กลัวคนดูถูกว่ายากจน กลัวคนไม่นับถือ กลัวไร้ซึ่งอำนาจ เราจึงพยายามแสวงหา เราจึงพบเจอกับพายุในใจอย่างไม่มีวันสิ้นสุด แล้วเมื่อไรเล่าเราจึงจะพบเจอสันติสุขในชีวิต  ดิ้นรนเพื่อเพิ่มยอดเงินในบัญชีเพื่อสิ่งใดเล่า การหาเงินเป็นสิ่งดีต่อเมื่อมั่งมีแล้วเผื่อแผ่ การได้มาซึ่งทรัพย์สินเป็นสิ่งที่สอนให้เราต้องมีเมตตากรุณาต่อผู้อื่นมากขึ้น การใช้พระพรพิเศษในการงานแล้วได้ผลตอบแทนเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้เราเคารพต่อความสามารถที่ได้รับมาจากพระผู้สร้าง
            ในโลกนี้มีหลายต่อหลายคนได้คำนึงถึงภารกิจแห่งเมตตารัก เมื่อได้มามากก็ให้สิ่งนั้นกลับคืนสู่สังคมมากเช่นกัน เพราะที่สุดของความเป็นมนุษย์นั้น ก็คือความสงบสุขและความเปรมปรีดิ์แห่งจิตใจในวันที่คลื่นลมสงบนั่นเอง ใช่หรือไม่บุคคลเหล่านั้นล้วนก้าวข้ามผ่านความกลัว ผ่านคลื่นลมแรงแห่งใจมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น อาทิเช่น โจวเหวินฟะ นักแสดงฮ่องกงชื่อดัง วัย 58 ปี ประกาศว่าจะอุทิศสมบัติของตนอันได้มาจากการทำงาน รวมมูลค่า 5,248 ล้านบาท (164 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นสัดส่วนร้อยละ 99 ของทรัพย์สินที่ตนเองมีทั้งหมด ให้แก่หน่วยงานการกุศลเมื่อตนเสียชีวิต
            โจวเหวินฟะ ซึ่งใช้ชีวิตเรียบง่าย เก็บตัว มักได้รับคำชมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินวิถีชีวิตแบบปกติคนทั่วไป ขึ้นรถโดยสารสาธารณะ หรือแม้จะเป็นนายแบบเสื้อสูทแบรนด์หรู แต่ชีวิตส่วนตัว เขาบอกว่ายังสวมสูทออกงานใหญ่ต่าง ๆ ด้วยชุดที่ซื้อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยตัดชุดใหม่ แถมยังคงใช้โทรศัพท์มือถือที่ตกรุ่น อีกต่างหาก
           
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
โจวเหวินฟะ พูดถึงการใช้พาหนะเดินทางโดยสารสาธารณะเป็นประจำของตนว่า "รู้สึกมานานแล้วว่า ไม่ค่อยมีความจำเป็น และการใช้รถสาธารณะก็สะดวกดี นอกจากนี้ ยังพบว่า กว่าร้อยละ 90 ของคนใช้รถโดยสารเดี๋ยวนี้ มักก้มหน้าดูโทรศัพท์ ไม่สนใจใคร นี่ยิ่งสบายใหญ่ ไม่มีใครรู้จักตนเลย"
            "คิดดู ถ้าผมต้องจ้างคนขับรถ ผมสะดวกแต่ก็ไม่รู้สึกสบายด้วยเหมือนต้องให้ใครคนหนึ่งมาคอยผมทั้งวัน จะไปไหนเขาก็คอยเรา ผมรู้สึกเกรงใจเขา" โจวเหวินฟะ อธิบายความรู้สึกที่ไม่เคยชอบจ้างคนขับรถส่วนตัว และว่าเขาเรียนรู้หลายเรื่องจากแม่ โดยเฉพาะเรื่องความประหยัดมัธยัสถ์ "ตอนนี้ตนเองล่วงเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว ไม่ได้ใช้เงินอะไร ไม่ได้มีบุตรหลานให้ดูแล จึงต้องการมอบสมบัติที่ตนเก็บหอมรอมริบ ได้รับมาจากสังคม คืนกลับให้สังคมที่มีบุญคุณต่อผม"
            "ผมรู้สึกตลอดว่า เงินทอง เป็นของนอกกาย ไม่ใช่สมบัติที่แท้จริงของผม ผมแค่ครอบครองมันชั่วคราว ผมประสงค์จะส่งผ่านมอบคืนเพื่อกิจการกุศลทั้งหมดที่มีความจำเป็น" โจวเหวินฟะ กล่าว

            นี่เป็นตัวอย่างที่ใกล้ตัวเรา ตัวอย่างของการใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่า ที่รู้จักความพอเพียง และไม่ยึดติดกับสิ่งที่จะก่อให้เกิดคลื่นลม ในวันนี้ ใช่หรือไม่ เรากำลังอยู่ท่ามกลางพายุที่เต็มไปด้วยคลื่นลมแรง เต็มไปด้วยความกลัว แต่เรามักสร้างสิ่งที่เปราะบางมาเป็นเรือกลน้อย ๆ แล้วกอดเกาะไว้อย่างแน่นหนาโดยมินำพา หลับหูหลับตา คิดว่าอีกไม่นานพายุจะผ่านไปเอง แต่ก็ไม่เคยหมดไปจากหัวใจเรา ทุกวันนี้ยังสาละวนกังวล เสาะหาอยู่ร่ำไป หาได้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะหามาเพื่ออะไร แต่ก็ยังหาอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าใครหามาได้มากแล้วนำไปให้คนอื่นที่ยังไม่มี แสดงว่าผู้นั้นรู้วิธีจัดการกับคลื่นลมในชีวิตให้สงบว่าต้องทำเช่นไร ย้อนกลับมาถามตัวเราเองบ้าง เรารู้จักและจัดการคลื่นลมในชีวิตหรือไม่ เราต้องทำให้คลื่นลมในชีวิตสยบแล้วความสงบสุขจะคืนกลับมา 

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทาส “ยึดติด”

ทาส “ยึดติด”
            ฝนตกหนักกลางดึกถล่มกรุง ทำเอากรุงเทพฯอ่วมและท่วมนองเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเช่นนี้ คือส่วนเกินที่เหลือกินเหลือใช้และความเห็นแก่ตัว ในรูปของขยะที่ทิ้งกันเกลื่อนเมือง จนไปปิดท่อปิดทางระบาย ระบบจึงเกิดการขัดข้อง โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปกล่าวโทษใคร ไม่ต้องไปหาคนผิดมารับผิด สิ่งนี้มันสะท้อนว่า หากเราไม่สร้างวินัยในการเสพ สร้างวินัยที่จะเห็นค่าและใช้ทุกอย่างให้เต็มที่ตามมูลค่าที่ควรเป็
           
ภาพ: อินเตอร์เน็ต
เมื่อกล่าวถึงการใช้ทุกอย่างให้รู้ค่า ทำให้นึกถึงว่าคนเรานี่ก็แปลก เรามักจะชอบตีค่าประเมินค่าทุกอย่างออกมาให้เป็นผลกำไรเสียทุกเรื่อง โดยไม่สามารถแยกแยะให้ออกว่าสิ่งไหนควรประเมินหาค่าหากำไร เรากลับไปใช้ในทุกเรื่อง ชีวิตจึงถูกลดทอน และไปยึดติด เสพติด กลายเป็นทาสค่านิยมแบบนี้อย่างไม่รู้สึกตัว เรามักคิดว่าทำทุกอย่างต้องหวังผลสูงสุด หารู้ไม่บางทีชีวิตเรานั้นไม่สามารถจะประเมินค่าได้เลย หรือถ้าพูดให้เห็นภาพ แค่เราตื่นมามีลมหายใจ ไม่ว่าจะร้อน หนาว สุข ทุกข์ ก็เกินเกณฑ์ของคำว่ากำไรแล้ว
            สิ่งหนึ่งที่เรากำลังเห็นการแชร์บนโลกออนไลน์กันอย่างมากมาย คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่นำบ้านหลังใหญ่ รถยนต์ ทองคำ โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดัง มาเป็นตัวหลอก ให้ร่วมเชียร์ กดไลค์ กดแชร์ เพื่อสร้างแบรนด์ให้กับสินค้านั้น ให้ติดหู เพียงใช้ความอยากได้ใคร่มีของคนที่คิดว่า แค่กดเล่นๆขำๆแต่ในใจก็ปรารถนาว่า ให้โชคเข้าข้าง เพียงกดแค่นี้ ถ้าได้มาก็แสนจะคุ้มค่า ใช่หรือไม่  เรื่องแบบนี้ค่อย ๆ ซึมลึกลงในจิตใจ มันพลอยทำให้เรามักคาดหวังกำไรเกินไปในทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องทำบุญให้ทาน เราทำเพียงแค่นี้แต่หวังจะได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าทวีคูณ หากเราคิดเช่นนี้เรากำลังกลายเป็นทาสของการยึดติด
            หนุ่มคนหนึ่งโทรศัพท์ไปปรับทุกข์กับพระอาจารย์ที่เคารพนับถือว่า
            “พระอาจารย์ครับ ผมก็ไหว้พระสวดมนต์ไปทำบุญทำทานตลอด ทำไมชีวิตผมไม่ดีขึ้นเลยละครับ?”
            “งั้นพระอาจารย์จะฝากเงินไปให้พ่อหนุ่มสัก 500 ดีไหม?”
            “โธ่พระอาจารย์ เงินของท่านกระผมจะรับมาได้ยังไง ไม่เอาๆ
            ชายหนุ่มตอบพระอาจารย์ไป
            “เดี๋ยวก่อน ฟังให้จบก่อน พระอาจารย์มีเรื่องจะขอรบกวนให้พ่อหนุ่มช่วยเป็นธุระสักนิดหน่อยนะ!”
            พระอาจารย์กล่าวตอบ
            “อ๋อครับ พระอาจารย์ว่ามาเลยครับ จะให้ผมช่วยอะไรท่านบอกมาเลย ผมยินดีรับใช้ครับ
            “ช่วยจัดการเป็นธุระซื้อรถยนต์ให้พระอาจารย์สักคันนะ!”
            ชายหนุ่มฟังเสร็จก็อึ้ง ไปต่อไม่เป็น ได้แต่กล้อมแกล้มพูดออกไปว่า
            “พระอาจารย์ เงิน 500 บาทจะซื้อรถยนต์ได้ยังไงครับ? ล้อคู่หนึ่งยังไม่พอซื้อเลยครับ!”
            “อ้าว พ่อหนุ่มก็รู้นี่ว่าเงิน 500 บาท ซื้อรถยนต์ไม่ได้ แต่คนมากมายในโลกนี้ที่พยายามทำในสิ่งนี้ ลงทุนนิดหน่อยแล้วอยากได้กำไรมากมาย ไหว้พระไหว้เจ้านิดๆหน่อย ๆ ถวายส้ม 3 ผลปักธูป 3 ดอก แล้วก็ขอเหมือนธูปคือตะเกียงวิเศษ อันนี้มันค้ากำไรเกินควรไหมล่ะ?”
            “เอ่อ คือว่า คือ...
            ชายหนุ่มได้แต่เอ้ออ้า พูดอะไรไม่ออก
            ทำบุญบุญย่อมเกิด แต่บุญที่ทำนั้นอัศจรรย์หรือไม่? ทำบุญด้อยกว่ากำลัง เมื่อผลบุญตอบสนองก็แคระแกนดั่งกำลังที่ทำ ทำบุญตามกำลัง เมื่อผลบุญตอบสนองก็สมเหตุสมผล ทำบุญเกินกำลัง เมื่อผลบุญตอบสนองก็อัศจรรย์มหาศาล โปรดจำไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ ไม่ปลูกเหตุแล้วจะได้รับผลอย่างไรกัน? (ดัดแปลงมาจากส่วนหนึ่งในเนื้อหาในหนังสือเกร็ดธรรมนำชีวิต 3)

           
ภาพ: อินเตอร์เน็ต
ใช่หรือไม่ บ่อยครั้งไปที่เรายึดติดเอาค่านิยมทางเศรษฐกิจมาเกี่ยวกับเรื่องของจิตวิญญาณ เราทำบุญเพื่อหวังผล เราสวดขอมากกว่าสวดขอบคุณพระเจ้า เราค้าขายศรัทธามากกว่าปลูกฝังแรงศรัทธา เรามาวัดเพื่อสะสมเพียงสถิติ เท่านั้นหรือ? เราเมตตาต่อคนอื่นเพียงเพิ่มบารมีหรือ? เราช่วยเหลือคนอื่นเพียงแค่รับโล่ห์หรือ? เราทำดีเพื่อคำสรรเสริญหรือ? หากว่าเรายังมีทัศนะคติอย่างนี้ เราก็เป็นทาสที่ยึดติด ตกอยู่สภาพทาสโดยไม่ยอมหลุดพ้น เราปล่อยให้ค่านิยมเหล่านี้งอกเงยในจิตใจเราทุกวัน ๆ แล้วมันกำลังเติบใหญ่ขึ้น สิ่งใดเล่าควรงอกเงยในจิตใจเรา เลิกเป็นทาส ลดละการยึดติด ชีวิตจิตวิญญาณเราก็จะได้รับการฟื้นฟู

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทานทนเพื่อทนทาน

ทานทนเพื่อทนทาน
ผู้หญิงสูงอายุนอนอยู่ในเปลญวน ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ในวันว่างที่แวะเวียนไปเยี่ยมเยียน ด้วยว่าวันเวลาที่มากขึ้นกอปรกับความทุกข์ยากนานาประการที่ผ่านมามากล้น “แม่” จึงดูโรยรา เรี่ยวแรงเริ่มลดลง สมองและร่างกายออกอาการเชื่องช้าอย่างเห็นได้ชัด เรื่องราวความลำบากจากปากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเลี้ยงลูกร่วม ๆ สิบคนจนได้ดิบได้ดีพอสมควร ย่อมเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจของคนเป็นแม่เสมอ 
เรื่องหนึ่งที่พูดคุยกัน คือ การผ่านความยากลำบากท่ามกลางความขยันของแม่ ที่เล่าถึงเรื่องการไปรับจ้างทำ “อิฐ” ทำให้ความทรงจำครั้งนั้นย้อนกลับมา จำได้ว่าครั้นเมื่อยังเป็นเด็กหน้าที่หลัก คือ การต้องเลี้ยงดูแลน้องชาย 2 คน เพราะแม่กับพ่อต้องออกไปรับจ้างทำอิฐ มีบ้างบางเวลาที่ต้องพาน้อง ๆ ไปหาแม่ ไปวิ่งเล่นแถวนั้น จึงพอมีโอกาสที่จะช่วยทำอิฐ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความลำบากในครั้งกระโน้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ในสมัยก่อนการทำ “อิฐแดงก้อน” นั้น ไม่มีเครื่องช่วยใด ๆ ทั้งสิ้น ต้องใช้แรงงานคนในทุกขั้นตอน เมื่อแม่ไปขอรับจ้างทำอิฐ ก็จะได้บ่อดิน มีบริเวณให้แต่ละบ้านได้ทำ ขั้นตอนที่หนักสุด คือ การนำดินผสมน้ำในบ่อ แล้วต้องย่ำดินให้เข้ากัน เหยียบย่ำกันไปในบ่อ เพื่อให้ดินจับตัวกันจนเหนียวแน่น สร้างความเมื่อยล้าอย่างที่สุด ยิ่งใกล้เสร็จ ดินยิ่งเหนียวแน่น การยกเท้าเพื่อเหยียบย่ำลงไปนั้นยิ่งแสนจะลำบาก ต้องฝืนตัวเองไม่ให้ล้มจมลงในบ่อดินนั้น บ่อหนึ่งต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวัน จะหยุดพักนานไปก็ไม่ได้ เดี๋ยวดินจะแห้ง จะใส่น้ำมากเกินก็ไม่ดี ทุกจังหวะต้องใช้ความเพียรอย่างถึงที่สุด
จากนั้นเมื่อได้ดินเหนียวแน่นได้ที่แล้วก็ต้องนำแกลบมาผสม แล้วนำไปเทลงบล็อก ตากแดดให้แห้งพอประมาณ ถ้าฝนตกก็ต้องหาแผ่นพลาสติกมาช่วยกันคลุม ถ้าเสียหายก็หมายความว่าต้องนำดินลงบ่อ แล้วเหยียบย่ำใหม่อีกรอบ จากนั้นต้องนำมาตัดแต่งให้เป็นก้อนที่สวยงาม แล้วจึงนำไปเข้าเตาเผา ที่ต้องควบคุมความร้อนอย่างดี ส่วนใหญ่ขั้นตอนนี้เจ้าของจะเป็นคนจัดการ เผาจนได้อิฐที่มีสีส้ม ๆ แดง ๆ รมแล้วรมอีก ปล่อยให้ฟางที่เผาไหม้หมดความร้อน รอให้ก้อนอิฐเย็น ช่วยกันขนออกมากอง มาเรียงซ้อน รอนำขึ้นรถ พยายามอย่าให้ตกแตกหัก เพราะแต่ละก้อน คือ ค่าแรงที่ต้องสูญเสียไป นี่เป็นขั้นตอนคร่าว ๆ ที่พอจะจำได้ แต่มันก็ทำให้เรารู้ซึ้งถึงความลำบากของพ่อแม่ที่กว่าจะได้เงินแต่ละบาทให้ลูกได้กินได้ใช้ ได้เล่าเรียนเขียนอ่าน ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ความทานทนของพ่อแม่เพื่อสร้างลูกให้ทนทานคือความรักอันยิ่งใหญ่ที่พิสูจน์ได้ ความรักที่ยอมทนทุกอย่างเพื่อให้คนที่ตัวเองรักอย่างไม่มีเงื่อนไข
จากการที่นั่งร่วมแบ่งปันฟังความลำบากของผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้มีมุมมองถึงความเสียสละมากขึ้น ความอดทนของคนเป็นพ่อเป็นแม่มากยิ่งขึ้น คนเราถ้าไม่เสียสละตัวเองเพื่อคนที่เรารัก ชีวิตย่อมไร้คุณค่า เหมือนกับเรื่องราวที่เกี่ยวกับก้อนอิฐ ที่ต้องยอมเผาไหม้ตัวเอง เพื่อให้งดงาม เพื่อให้แข็งแกร่ง เพื่อจะได้เป็นฐานรากของบ้านเรือน  
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ช่างทำอิฐคนหนึ่ง กำลังใส่อิฐลงไปในเตาเผาทีละก้อน อิฐก้อนหนึ่งเริ่มตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เมื่อคิดว่ากำลังจะถูกไฟที่ลุกโชนเผาไหม้เกรียมในไม่ช้า
อย่ากลัวไปเลยน้องชาย อิฐก้อนอื่น ๆ พากันปลอบมัน
นี่เป็นโอกาสที่หายากนะ เพราะการเผาไฟจะทำให้เราเป็นประโยชน์
แต่อิฐขี้กลัวก้อนนั้นไม่ยอมเชื่อ มันพยายามหลบหลีกให้พ้นมือของช่างทำอิฐ ในที่สุดก็เข้าไปแอบอยู่ในกองฟาง และสามารถหลบเลี่ยงการถูกเผาได้สำเร็จ
ต่อมา อิฐก้อนนี้ได้พบกับบรรดาอิฐที่ถูกเผาไฟแล้วอีกครั้งหนึ่ง อิฐเหล่านั้นต่างรู้สึกเสียดายที่อิฐก้อนนั้นไม่ถูกเผาไฟ แต่อิฐก้อนนั้นก็ไม่สนใจ มันเห็นว่าเพื่อน ๆ ของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากนัก เพียงแต่มีสีน้ำตาลเข้มขึ้นกว่าเดิม แถมยังดูเข้มแข็งมากขึ้นด้วย ในไม่ช้าคนงานก็มาขนอิฐทั้งหลายออกไป คนงานคนหนึ่งสังเกตเห็นอิฐก้อนที่ไม่ได้ถูกเผาไฟอยู่ในกอง
ข้าสงสัยว่ามันรอดจากการถูกเผาไฟไปได้ยังไง
เขาพูดพลางถอนใจ แล้วหยิบมันขว้างทิ้งไป อิฐที่ไม่ได้ถูกเผาไฟเริ่มเสียใจในการกระทำของมัน เมื่อเห็นเพื่อนของมันถูกลำเลียงออกไปจากที่นั่นด้วยความร่าเริงเบิกบาน แล้วมันก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวเพียงก้อนเดียวที่นั่น และเมื่อลมพัดกระหน่ำและฝนตกลงมา มันก็ค่อย ๆ เสียรูปร่างไป จนกลายเป็นเพียงโคลนตมในที่สุด
ใช่หรือไม่ สภาวะที่กดดันและการต่อสู้กับอุปสรรคหลาย ๆ อย่างในชีวิต เป็นเพียงแค่ขั้นตอน “เผาอิฐ” ของเราเท่านั้นเอง ถ้าเราสามารถผ่านมาได้แล้ว จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น สามารถที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างเข้มแข็งและน่าภูมิใจ และในที่สุดถ้าเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต “อุปสรรคที่ทานทน จะหลอมคนให้ทนทาน” Top of Formจาก  Facebook : Mozzsocute Socute

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ในยุคสมัยที่ชีวิตผู้คนเต็มไปด้วยความเปราะบาง และไร้แก่นสาร เนื่องเพราะเราไม่ชอบที่จะอดทน สู้ทน ต่ออุปสรรค ต่อความทุกข์ยากในชีวิต เนื่องเพราะเราชอบที่จะหาทางลัด หาทางสบายให้กับชีวิต โดยคิดว่าแนวทางนี้จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต แท้จริงแล้ว ไม่มีความสำเร็จรูปในชีวิต ความอดทน ความทานทนของคนนั้น เป็นสิ่งที่สร้างความเข้มแข็งของจิตใจ ไม่ใช่มีไว้เพื่อความสบายฝ่ายกาย แล้วถ้าจิตใจ จิตวิญญาณไม่แข็งแกร่ง ไม่ว่าใครที่ไหนก็ย่อมพ่ายแพ้ทางร่างกายไปด้วย ความทานทนของคน ๆ หนึ่ง มิได้เป็นผลดีเพียงแค่คน ๆ นั้นเพียงคนเดียว แต่สิ่งนี้จะนำมาซึ่งความผาสุก ความงดงามของอีกหลากหลายผู้คน แล้วเราจะไม่เป็นคนที่จะนำความสุข ความสันติ มาสู่ผู้อื่นด้วยหรือ คน ๆ หนึ่ง ยอมพลีตนเพื่อคนอื่น เขาย่อมได้รับการสรรเสริญทั้งจากโลกนี้ และในโลกหน้า...