มึนเมือง
สภาพในเมืองการก่อสร้างมีให้เห็นทุกวัน ตึกรามบ้านช่อง คอนโดฯ
อาคารสูงใหญ่ตระหง่านมีให้เห็นทุกพื้นที่ทั่วกรุง หรือว่า คนในเมืองยังต้องการที่อยู่อาศัยกันอีกมาก
จากสถิติประชากรตามทะเบียนราษฎร์มีประชากร 5,676,765 คน
(ก.พ.2556) หากรวมประชากรแฝงกรุงเทพฯมี
8,839,022 คน หรือประมาณ 14% ของประชากรทั้งประเทศ
และหากนับรวมประชากรที่เดินทางจากปริมณฑลโดยรอบที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ และชาวต่างชาติ
จะพบว่ามีประชากรในกรุงเทพฯมากกว่า 10 ล้านคน
ที่อยู่อาศัยถูกสร้างมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้คนที่มากมาย
จะใช้เพียงแนวราบจึงไม่เพียงพอ ที่อยู่อาศัยแนวสูง (คอนโดฯ)
จึงได้รับความนิยม แล้วคนที่ไร้ที่อยู่มีจำนวนมากน้อยเท่าไร
คนที่ยังต้องเช่าที่ซุกหัวนอนมีอีกเท่าไร? เป็นสิ่งที่สถิติมิสามารถจะบอกได้
เมื่อพูดถึงจำนวนผู้คนในเมืองหลวงที่เดินกันขวักไขว่
ยิ่งไม่ต้องมองลงไปในท้องถนนเลย สภาพ "รถติด"เป็นสิ่งที่คู่กับชีวิตเมืองมาตลอด ติดไม่มีวันหยุด
เสาร์อาทิตย์ยังไม่เว้นว่าง ยิ่งช่วงนี้ ราคาน้ำมันลดลง จำนวนรถบนท้องถนนดูจะเพิ่มมากขึ้น
สถิติที่อาจสะท้อนภาพดังกล่าวได้ คือ ปริมาณการใช้รถยนต์ผ่านระบบทางด่วนที่เข้า-ออกพื้นที่กรุงเทพฯ มีมากถึง 1.6 ล้านคันต่อวัน
(ม.ค. 2556) กรุงเทพฯ
มีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนใหม่ 8 ล้านคันในปี 2557 และในปีนี้เพียงสองเดือนกว่า ๆ
ที่ผ่านมามีรถจดทะเบียนใหม่แล้ววันละ 2,954 คัน
และแล้วเมื่อมีพื้นที่ก็จำต้องสร้างแลนด์มาร์คทันที เข้าสู่โลกส่วนตัว หยิบโทรศัพท์มือถือพูดคุยแบบไร้เสียงไปยังคนที่อยู่ห่างออกไป
บ้างก็ดูหนังฟังเพลงไม่สนใจผู้คนรอบข้าง
ประชากรในกรุงเทพมหานครใช้โทรศัพท์มือถือร้อยละ 85 ซึ่งสูงกว่าภาคอื่น
ๆ ลองคิดดู หากเรามีผู้คนอาศัยในเมืองนี้เป็นตัวเลขกลม ๆ สักสิบล้าน
เกือบทุกคนต่างมีพื้นที่เล็ก ๆ ของตัวเองบนฝ่ามือ ยามเมื่อเดินทางไปไหนมาไหนมีสิ่ง
ๆ นี้เป็นเพื่อนร่วมทาง นั่งในรถยามรถติดก็หยิบก็เปิด พอไฟเขียวบางครั้งก็ยังไม่รู้ตัว
เป็นเหตุให้รถติดสะสม คนเดินทางเท้าถึงแม้ว่าจะมีการจัดระเบียบ ร้านค้าแผงลอยหายไป
แต่คนเดินมัวแต่ก้ม ๆ อ่านไลน์ ไลค์เฟส พิมพ์แชท คนเดินตามก็เดินไปไม่ได้
เกิดสะดุด เบียดเสียด เกิดอาการหมั่นไส้โมโหต่อว่าใส่กัน
เราจึงอยู่กันแบบมึน ๆ ในความเป็นเมืองได้ลดคุณค่าของความเป็นคนลงไปมาก
บนหนทางวิถีชีวิตเมืองทำให้เราคิดว่าเต็มไปด้วยความทุกข์ ผู้คนไม่ค่อยมีความสุข
แต่ทำไมผู้คนยังต้องการที่จะมีชีวิตในเมือง แน่ล่ะ เพราะในเมืองสามารถตอบสนองแสวงหาเครื่องอำนวยความสะดวกได้ง่ายกว่า
เพราะคนส่วนใหญ่ยังคิดว่าความสะดวกนำมาซึ่งความสุข แม้ว่าจะมึน ๆ กับสังคมเมือง แต่ในหัวใจของเราทุกคนมีความรักและความเมตตาต่อคนอื่นด้วยกันทั้งนั้น
เพราะด้วยปัจจัยภายนอกที่บีบรัดจึงไม่สามารถที่จะแสดงออกมาได้
ใช่หรือไม่ ความรักและเมตตาย่อมนำมาซึ่งความสุขความสงบความสามัคคีและตราบเท่าที่ทุกคนมีสิ่งเหล่านี้เป็นทุนอยู่ในหัวใจ
ความวุ่นวายการแก่งแย่งชิงดีกันลุแก่อำนาจย่อมไม่อาจจะตั้งอยู่ได้
เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่า การที่จะใช้ชีวิตในเมืองนั้นมีความยากมากขึ้น
การที่จะใช้ชีวิตในสังคมเมืองได้อย่างมีความสุขนั้น ต้องรู้จักการจัดสรรเวลาให้เป็น
ใช้จ่ายอย่างสมดุลเท่าที่จำเป็น และมองโลกในเเง่ดีอยู่เสมอ หากใช้ชีวิตถูกทางจะสร้างสุขในสังคมเมืองได้ไม่ยาก
คิดดี คิดในทางสร้างสรรค์เพื่อความสุขของตนเองและผู้อื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น