ใจที่นิ่งต้องไม่วิ่ง
ในช่วงการแข่งขันของทีวีดิจิตอลที่มีจำนวนช่องมากขึ้น
ทำให้เราสามารถเลือกดูเลือกชมได้หลากหลาย การแย่งชิงกลุ่มผู้ชมและโฆษณาจึงเกิดขึ้นตามมา
มีการวางกลยุทธกันมากมาย กลยุทธหนึ่งที่เห็นนำมาใช้กันอย่างยาวนานและยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ
ช่วงโฆษณามักจะทำให้เกิดเสียงที่ดังกว่าในตัวเนื้อหาของรายการ แม้กระทั่งเจ้าของตัวสินค้าที่ทำโฆษณาก็มักใช้วิธีอัดเสียงให้ดัง
ๆ เข้าไว้ โดยหวังว่าเสียงที่ดังนี้จะเข้าไปฝังยังโสตประสาทของผู้ชม จนกระทั่งมีการเรียกร้องและพูดถึงในกรณีนี้ว่า
จะต้องมีมาตรฐานการกำหนดเสียงให้อยู่ในระดับเดียวกันในทุกช่วงเวลาของช่อง
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
การได้ยินเสียงที่ดังเกินไป
บ่อยครั้งมักจะก่อให้เกิดความรำคาญมากกว่าการจดจำ เพราะในแต่ละวัน
ในสังคมเมือง เรามีเสียงมากมาย ที่เข้าหู จนทำให้เรากลายเป็นคนหูทวนลม บางคนถึงขั้นหูตึงหูดับไปก็มากมี
เสียงอันดังที่เกิดจากการพัฒนาความก้าวหน้าของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงกำลังช่วงชิงพื้นที่นิ่ง
ๆ ของเราไปหมด ความนิ่งที่ก่อให้เกิดสมาธิ กลายเป็นว่าต้องวิ่ง ต้องตื่นตัวตลอดเวลา
ทำให้ลดทอนคุณภาพของจิตใจของผู้คนลงไปมาก สังเกตจากการมาร่วมพิธีมิสซาเพียงหนึ่งชั่วโมง
หลายคนก็อยู่นิ่ง ๆ สำรวมไม่เป็น นิ่งปุ๊บต้องหยิบมือถือป๊าบ ไม่ค่อยฟังเสียงในพิธีกรรม
แต่ชอบนั่งคุยกันในวัดอย่างสนุกสนาน จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ที่สุด ความสำคัญของพิธีกรรมถูกลดค่าให้เป็นเพียงกิจกรรมภาคบังคับเท่านั้นเอง
ออกจากวัดก็มิได้อะไรออกไป
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ความนิ่งสงบของผู้คนมักไม่ค่อยมีในสังคมเมือง
เราต่างชอบพูด ชอบคุย ชอบนินทา ชอบวิจารณ์ ดูจะสนุกกว่า การหาเวลาสงบจิตสงบใจเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า
ใช่หรือไม่ บางคนถึงขั้นกลัวที่จะอยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ เพียงลำพัง มันฟังดูวังเวง
บางคนนั่งนิ่งแต่ใจกลับวิ่งไปที่โน่นที่นั่น สิ่งเหล่านี้ได้สร้างคน ให้มีจุดของความอดทนอดกลั้นต่ำลง
เราทะเลาะกัน โมโหกันง่ายขึ้น ใช้ความรุนแรงเนื่องจากอารมณ์ที่รุนแรงมีมากขึ้น แล้วสังคมก็มีแต่ความเกลียดชัง
พร้อมที่จะทำร้ายกันได้ในทุกกรณี
มีเรื่องเล่าว่าเศรษฐีกับพวกไปเที่ยวฟาร์มแห่งหนึ่ง
ทุกคนสนุกสนานกับธรรมชาติ และกิจกรรมในฟาร์มมาก แต่ขณะที่กำลังจะเดินออกมา เศรษฐีคนนั้นก็พบว่า
“นาฬิกาพก”
รุ่นเก่าที่ภรรยาซื้อให้ในวันเกิดหายไปมันต้องตกอยู่ในคอกม้าอย่างแน่นอน
เขากับเพื่อนช่วยกันกระจายกันเดินหา “นาฬิกา” ทั่วคอกม้า ระหว่างเดินหาเพื่อนก็พยายามพูดให้กำลังใจเศรษฐีคนนี้
เดินหาเท่าไรก็ไม่พบ
เขาไปแจ้งเจ้าของฟาร์มให้ช่วยเหลือ
เจ้าของก็แสนดีเกณฑ์คนที่ว่างงานอยู่เกือบ 20 คนไปช่วยค้นหา มีทั้งคุณลุงที่ประจำอยู่คอกม้า
ผู้หญิงที่ทำความสะอาด และเด็กชายคนหนึ่ง ทุกคนกระจายกันค้นหา มีการตะโกนบอกกันเป็นระยะ
ๆ ว่าค้นตรงนั้นแล้วไม่เจอ ให้คนนั้นไปหาตรงนี้ ใช้เวลาค้นหาประมาณ 1 ชั่วโมงก็หาไม่เจอ เศรษฐีเริ่มสิ้นหวัง คิดว่าคงต้องสูญเสียนาฬิกาเรือนนี้ไปอย่างแน่นอน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ขณะที่พนักงานของฟาร์มจะเดินจากไป
เด็กชายคนนั้นเดินย้อนกลับมาหาเศรษฐีอีกครั้ง“ขอผมลองเข้าไปดูอีกครั้งนะครับ
แต่ขอผมเข้าไปคอกม้าคนเดียว” แม้จะรู้สึกว่าเสียเวลาเปล่า แต่เมื่อเด็กน้อยมีน้ำใจ
เขาก็พยักหน้าทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะหาเจอ พวกเพื่อน ๆ ก็บ่นลับหลังว่าพวกเราและคนของฟาร์มตั้งเยอะยังหาไม่ได้
“ไปหาคนเดียวจะเจอได้อย่างไร” แต่ไม่ถึง15
นาที เด็กชายคนนี้เดินออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาชูนาฬิกา “ใช่ เรือนนี้หรือเปล่าครับ” เศรษฐีดีใจมาก เพราะนั่นคือ
“นาฬิกาพก” แสนรักที่เขากำลังค้นหาอยู่เขากล่าวขอบคุณและให้สินน้ำใจกับเด็กน้อยแต่ยังคาใจ“เธอหาเจอได้อย่างไร”เด็กน้อยยิ้มแฉ่ง บอกว่าพอเข้าไปข้างในคนเดียวเขาก็เพียงแต่นั่งเงียบ
ๆ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนจุดนั่งไปเรื่อยๆ “แค่จุดที่ 3 ผมก็ได้ยินเสียงติ๊กต่อก ติ๊กต่อก” เขาเล่า “ผมแค่เดินตามเสียงนั้นไปก็เจอนาฬิกาเรือนนี้”
ทุกคนพยายามมองหาตัว “นาฬิกา”แต่ไม่ได้คิดจะฟัง “เสียง”ของนาฬิกา เสียงพูดคุยกลบเสียงดังของนาฬิกาไปสิ้น
“เด็ก”คนนี้สอนเราก็คือ ในวิกฤติที่คิดว่าปัญหาหนักหนาสาหัส บางครั้งเราต้องนิ่งต้องมี
“สติ” ทำใจให้สงบ เมื่อมีสมาธิ จึงจะค้นพบ “ทางออก” (ดร. รสา คำแบน)
สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส
ทรงแนะนำว่า เวลาอยู่บ้าน คริสตชนควรสละเวลา 15 นาทีเพื่อหยิบพระวรสารขึ้นมาอ่าน
แล้วรำพึงแบบเพ่งพินิจไปที่พระเยซู จินตนาการว่าถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์พระวรสารที่อ่านอยู่
พระเยซูเจ้าจะพูดอะไรกับเรา ทรงชี้ เราควรสละเวลาเพื่อภาวนาแบบนี้ เพื่อที่สายตาของเราจะได้มองที่พระเยซูบ้าง
ไม่ใช่ดูแต่ละครโทรทัศน์ และหูของเราจะได้ฟังเสียงพระเจ้าบ้าง ไม่ใช่ฟังแต่เสียงนินทาชาวบ้าน
...(Pope Report)
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น