วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ใจที่นิ่งต้องไม่วิ่ง

ใจที่นิ่งต้องไม่วิ่ง
            ในช่วงการแข่งขันของทีวีดิจิตอลที่มีจำนวนช่องมากขึ้น ทำให้เราสามารถเลือกดูเลือกชมได้หลากหลาย การแย่งชิงกลุ่มผู้ชมและโฆษณาจึงเกิดขึ้นตามมา มีการวางกลยุทธกันมากมาย กลยุทธหนึ่งที่เห็นนำมาใช้กันอย่างยาวนานและยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ ช่วงโฆษณามักจะทำให้เกิดเสียงที่ดังกว่าในตัวเนื้อหาของรายการ แม้กระทั่งเจ้าของตัวสินค้าที่ทำโฆษณาก็มักใช้วิธีอัดเสียงให้ดัง ๆ เข้าไว้ โดยหวังว่าเสียงที่ดังนี้จะเข้าไปฝังยังโสตประสาทของผู้ชม จนกระทั่งมีการเรียกร้องและพูดถึงในกรณีนี้ว่า จะต้องมีมาตรฐานการกำหนดเสียงให้อยู่ในระดับเดียวกันในทุกช่วงเวลาของช่อง
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            การได้ยินเสียงที่ดังเกินไป บ่อยครั้งมักจะก่อให้เกิดความรำคาญมากกว่าการจดจำ เพราะในแต่ละวัน ในสังคมเมือง เรามีเสียงมากมาย ที่เข้าหู จนทำให้เรากลายเป็นคนหูทวนลม บางคนถึงขั้นหูตึงหูดับไปก็มากมี เสียงอันดังที่เกิดจากการพัฒนาความก้าวหน้าของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงกำลังช่วงชิงพื้นที่นิ่ง ๆ ของเราไปหมด ความนิ่งที่ก่อให้เกิดสมาธิ กลายเป็นว่าต้องวิ่ง ต้องตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้ลดทอนคุณภาพของจิตใจของผู้คนลงไปมาก สังเกตจากการมาร่วมพิธีมิสซาเพียงหนึ่งชั่วโมง หลายคนก็อยู่นิ่ง ๆ สำรวมไม่เป็น นิ่งปุ๊บต้องหยิบมือถือป๊าบ ไม่ค่อยฟังเสียงในพิธีกรรม แต่ชอบนั่งคุยกันในวัดอย่างสนุกสนาน จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ที่สุด ความสำคัญของพิธีกรรมถูกลดค่าให้เป็นเพียงกิจกรรมภาคบังคับเท่านั้นเอง ออกจากวัดก็มิได้อะไรออกไป
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ความนิ่งสงบของผู้คนมักไม่ค่อยมีในสังคมเมือง เราต่างชอบพูด ชอบคุย ชอบนินทา ชอบวิจารณ์ ดูจะสนุกกว่า การหาเวลาสงบจิตสงบใจเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ใช่หรือไม่ บางคนถึงขั้นกลัวที่จะอยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ เพียงลำพัง มันฟังดูวังเวง บางคนนั่งนิ่งแต่ใจกลับวิ่งไปที่โน่นที่นั่น สิ่งเหล่านี้ได้สร้างคน ให้มีจุดของความอดทนอดกลั้นต่ำลง เราทะเลาะกัน โมโหกันง่ายขึ้น ใช้ความรุนแรงเนื่องจากอารมณ์ที่รุนแรงมีมากขึ้น แล้วสังคมก็มีแต่ความเกลียดชัง พร้อมที่จะทำร้ายกันได้ในทุกกรณี
            มีเรื่องเล่าว่าเศรษฐีกับพวกไปเที่ยวฟาร์มแห่งหนึ่ง ทุกคนสนุกสนานกับธรรมชาติ และกิจกรรมในฟาร์มมาก แต่ขณะที่กำลังจะเดินออกมา เศรษฐีคนนั้นก็พบว่า “นาฬิกาพกรุ่นเก่าที่ภรรยาซื้อให้ในวันเกิดหายไปมันต้องตกอยู่ในคอกม้าอย่างแน่นอน เขากับเพื่อนช่วยกันกระจายกันเดินหา “นาฬิกา ทั่วคอกม้า ระหว่างเดินหาเพื่อนก็พยายามพูดให้กำลังใจเศรษฐีคนนี้ เดินหาเท่าไรก็ไม่พบ
            เขาไปแจ้งเจ้าของฟาร์มให้ช่วยเหลือ เจ้าของก็แสนดีเกณฑ์คนที่ว่างงานอยู่เกือบ 20 คนไปช่วยค้นหา มีทั้งคุณลุงที่ประจำอยู่คอกม้า ผู้หญิงที่ทำความสะอาด และเด็กชายคนหนึ่ง ทุกคนกระจายกันค้นหา มีการตะโกนบอกกันเป็นระยะ ๆ ว่าค้นตรงนั้นแล้วไม่เจอ ให้คนนั้นไปหาตรงนี้ ใช้เวลาค้นหาประมาณ 1 ชั่วโมงก็หาไม่เจอ เศรษฐีเริ่มสิ้นหวัง คิดว่าคงต้องสูญเสียนาฬิกาเรือนนี้ไปอย่างแน่นอน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ขณะที่พนักงานของฟาร์มจะเดินจากไป เด็กชายคนนั้นเดินย้อนกลับมาหาเศรษฐีอีกครั้งขอผมลองเข้าไปดูอีกครั้งนะครับ แต่ขอผมเข้าไปคอกม้าคนเดียวแม้จะรู้สึกว่าเสียเวลาเปล่า แต่เมื่อเด็กน้อยมีน้ำใจ เขาก็พยักหน้าทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะหาเจอ พวกเพื่อน ๆ ก็บ่นลับหลังว่าพวกเราและคนของฟาร์มตั้งเยอะยังหาไม่ได้ ไปหาคนเดียวจะเจอได้อย่างไรแต่ไม่ถึง15 นาที เด็กชายคนนี้เดินออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาชูนาฬิกา ใช่ เรือนนี้หรือเปล่าครับเศรษฐีดีใจมาก เพราะนั่นคือ “นาฬิกาพกแสนรักที่เขากำลังค้นหาอยู่เขากล่าวขอบคุณและให้สินน้ำใจกับเด็กน้อยแต่ยังคาใจเธอหาเจอได้อย่างไรเด็กน้อยยิ้มแฉ่ง บอกว่าพอเข้าไปข้างในคนเดียวเขาก็เพียงแต่นั่งเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนจุดนั่งไปเรื่อยๆ แค่จุดที่ 3 ผมก็ได้ยินเสียงติ๊กต่อก ติ๊กต่อก เขาเล่า ผมแค่เดินตามเสียงนั้นไปก็เจอนาฬิกาเรือนนี้
            ทุกคนพยายามมองหาตัว “นาฬิกาแต่ไม่ได้คิดจะฟัง “เสียงของนาฬิกา เสียงพูดคุยกลบเสียงดังของนาฬิกาไปสิ้น “เด็กคนนี้สอนเราก็คือ ในวิกฤติที่คิดว่าปัญหาหนักหนาสาหัส บางครั้งเราต้องนิ่งต้องมี “สติทำใจให้สงบ เมื่อมีสมาธิ จึงจะค้นพบ “ทางออก” (ดร. รสา คำแบน)
            สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงแนะนำว่า เวลาอยู่บ้าน คริสตชนควรสละเวลา 15 นาทีเพื่อหยิบพระวรสารขึ้นมาอ่าน แล้วรำพึงแบบเพ่งพินิจไปที่พระเยซู จินตนาการว่าถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์พระวรสารที่อ่านอยู่ พระเยซูเจ้าจะพูดอะไรกับเรา ทรงชี้ เราควรสละเวลาเพื่อภาวนาแบบนี้ เพื่อที่สายตาของเราจะได้มองที่พระเยซูบ้าง ไม่ใช่ดูแต่ละครโทรทัศน์ และหูของเราจะได้ฟังเสียงพระเจ้าบ้าง ไม่ใช่ฟังแต่เสียงนินทาชาวบ้าน ...(Pope Report)

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ไม่มีความคิดเห็น: