วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

เวลาที่หายากที่สุด

เวลาที่หายากที่สุด
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หากจะตั้งคำถามว่า ในวันนี้ชีวิตเราเวลาอะไรที่หายากที่สุด? หลายคนคงมีคำตอบว่า “ก็เวลาแห่งความสุขไง” เพราะโลกวันนี้มีแต่เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นแถบทุกนาที เรื่องดี ๆ ไม่รู้หายไปไหนหมด ยิ่งเรามีสื่อเทคโนโลยีทันสมัยเรื่องราวหลากหลายหลั่งไหล และเรื่องราวประเภทไหนเล่าที่คนเราจะสนใจ จะพูดถึง คงเป็นเรื่องของคนอื่น เรื่องของคนดัง โดยเฉพาะเรื่องในด้านมืดในด้านไม่ดี เพราะในความเป็นจริงแล้ว คนเราก็ชอบที่จะนินทา กล่าวร้ายกันอยู่แล้ว ความทันสมัยจึงเข้าทางพอดีกับจริตของคนส่วนใหญ่ แล้วเราจำเป็นหรือไม่ ที่จะตกไปอยู่ในกระแสข่าว กระแสเรื่องร้ายเหล่านั้น เรื่องดี ๆ ไม่ใช่ว่าไม่มี มี แต่คนเราไม่ชอบที่จะพูดถึงกล่าวถึง ทั้ง ๆ ที่เรื่องดีก็เกิดขึ้นในแทบทุกนาทีเช่นกัน ฉะนั้นแล้วเรามาปลูกฝังคุณลักษณะในด้านดีงาม ด้วยการแบ่งปันกันด้วยเรื่องราวอันงดงาม เช่นเรื่องของคนขับแท็กซี่ที่นำมาแบ่งปันในวันนี้

เป็นเวลาเกือบจะหมดกะรถแท็กซี่ของผมแล้ว แต่ผมก็รับคำสั่งที่ให้ไปรับผู้โดยสารรายหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ผมก็เหนื่อยล้ามาทั้งวันและใจก็คิดอยากกลับบ้านไปพักผ่อนเหลือเกิน ผมขับแท็กซี่คู่ใจไปถึงที่อยู่ของผู้โดยสาร ที่โทรเรียกบริการ และบีบแตรรถส่งสัญญาณให้ผู้โดยสารทราบว่าผมมาถึงแล้ว สองสามนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครออกมา ผมไม่รอช้ารีบบีบแตรซ้ำเพื่อเร่งผู้โดยสาร ผมเกือบจะขับรถหนีไปโดยไม่รับผู้โดยสารที่ชักช้าคนนี้ แต่ผมกลับจอดรถ เดินลงไปที่ประตูบ้านและเคาะประตูเรียก
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
รอสักครู่นะคะมันเป็นเสียงสั่นเครือ ของหญิงชรา ผมแอบได้ยินเสียงอะไรบางอย่างถูกลากมากับพื้น เสียงเงียบไปพักใหญ่ ประตูบานนั้นก็เปิดออก หญิงร่างเล็กวัยกว่า 90 ปี ยืนอยู่ตรงหน้าผม ข้างตัวเธอมีกระเป๋าเดินทางที่กรุด้วยผ้าไนล่อนใบหนึ่ง อพาร์ตเม้นท์ของเธอดูราวกับไม่มีใครอาศัยอยู่มาเป็นแรมปี เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดถูกคลุมไว้ด้วยผ้าใบ แต่ที่มุมห้องกลับมีกล่องกระดาษหลายใบที่มีภาพถ่ายเก่าและเครื่องแก้วบรรจุอยู่เต็ม
พ่อหนุ่ม เธอจะช่วยยกกระเป๋าของฉันไปที่รถหน่อยได้ไหม?” หญิงชราถาม ผมยกกระเป๋าของเธอไปแล้วเดินกลับมาช่วยประคองเธอเดินไปขึ้นรถ หญิงชราจับมือของผมและเราทั้งสองก็เดินช้า ๆ ไปที่ทางเท้า เธอเฝ้าแต่กล่าวคำขอบคุณในความกรุณาของผม มันไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตเลยครับ ผมบอกเธอ... ผมก็แค่ปฏิบัติกับผู้โดยสารของผมเหมือนกับที่ผมอยากจะให้ผู้คนปฏิบัติกับแม่ผมเท่านั้นเองครับ
โอ้ เธอช่างเป็นเด็กที่ดีจริง ๆ หญิงชราตอบ พอเราไปถึงที่รถแท็กซี่ เธอก็เอาที่อยู่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่เธอต้องการไปมาให้ผมและถามผมว่า เธอจะช่วยขับรถผ่านเข้าไปกลางเมืองสักหน่อยได้ไหมจ๊ะ พ่อหนุ่ม
แต่นั่นไม่ใช่ทางที่สั้นที่สุดนะครับผมรีบตอบ ไม่เป็นไรหรอกเธอตอบ ฉันไม่ได้รีบร้อนอะไร ฉันกำลังจะไปบ้านพักคนชรา” ผมแอบมองหน้าเธอทางกระจกมองหลัง ดวงตาหญิงชราเป็นประกาย ฉันไม่มีญาติพี่น้องหรือครอบครัวเหลืออยู่แล้วเธอพูดต่อด้วยเสียงเบาบาง หมอบอกว่าฉันคงอยู่ได้อีกไม่นานนัก ผมค่อย ๆ เอื้อมมือไปปิดมิเตอร์ค่าแท็กซี่ทิ้ง คุณอยากให้ผมขับพาคุณไปตามถนนสายไหนหรือครับผมถาม
จากนั้น เรานั่งรถผ่านกลางเมือง เธอชี้ให้ผมดูอาคารที่ครั้งหนึ่งเธอเคยทำงานเป็นคนคุมลิฟต์ เราขับผ่านละแวกบ้านที่เธอและสามีเคยอยู่อาศัยเมื่อทั้งคู่พบรักและแต่งงานกันใหม่ๆ และเธอก็ขอให้ผมจอดรถสักครู่ ที่หน้าโกดังโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานลีลาศที่เธอเคยมาเต้นรำเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กสาว บางครั้งเธอก็ขอให้ผมขับชะลอรถลงช้า ๆ เมื่อผ่านหน้าอาคารหรือมุมถนน เธอจะนั่งนิ่ง ๆ มองผ่านหน้าต่างรถออกไปยังความมืดอันว่างเปล่า โดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ เมื่อแสงตะวันอ่อนแรงลงที่ตรงปลายฟ้า เธอก็พูดขึ้นทันทีว่า ฉันเหนื่อยแล้วหล่ะ เราไปกันเถอะ” เราขับรถเงียบ ๆ ไปยังจุดหมายปลายทางที่เธอให้ไว้กับผม พนักงานบ้านพักคนชราสองคนออกมาต้อนรับเรา พวกเขาดูใส่ใจกับเธอมาก พวกเขาคงรอการมาถึงของเธออยู่ก่อนแล้ว ผมเปิดท้ายรถและเอากระเป๋าเดินทางของเธอไปที่ประตู หญิงชราได้นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแล้ว ฉันค้างจ่ายค่ารถเธอเท่าไรหญิงชราถามพร้อม ๆ กับเอื้อมมือเปิดกระเป๋าสตางค์ของเธอ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยครับผมตอบ แต่เธอก็ต้องอยู่ต้องกินนะหญิงชรากล่าว ผมยังมีผู้โดยสารรายอื่น ๆ อีกครับผมตอบ โดยแทบไม่ได้คิดอะไรเลย ผมก้มตัวลงและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน หญิงชรากอดผมไว้แน่น เธอได้มอบเวลาแห่งความสุขเล็ก ๆ  ให้กับคนแก่คนหนึ่ง เธอพูด ขอบใจมากนะ ผมบีบมือเธอแน่นเป็นการร่ำลาและเดินกลับออกไป เสียงประตูถูกปิดลง มันเป็นเสียงปิดลงของชีวิตชีวิตหนึ่ง ผมไม่ได้รับผู้โดยสารอื่นอีกเลยในกะนั้น ผมขับแท็กซี่ของผมไปอย่างไร้เป้าหมาย ล่องลอยอยู่ในความคิดของตัวเอง วันนั้นทั้งวันผมแทบพูดอะไรไม่ถูก มันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหญิงชราคนนั้นต้องพบกับคนขับรถแท็กซี่ขี้โมโห หรือคนขับที่คิดแต่จะส่งรถให้ทันกะ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผมปฏิเสธที่จะรับงานนั้น เพราะมันเกือบจะหมดกะของผมเหมือนกัน หรือถ้าผมแค่กดแตรเรียกเพียงครั้งเดียว พอไม่มีใครขานตอบผมก็ขับหนีออกไปทันที ผมทบทวนเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา ผมคิดไม่ออกว่าผมเคยได้ทำอะไรที่สำคัญกว่านี้มาบ้างหรือเปล่าในชีวิต เราถูกทำให้เชื่อว่าชีวิตของเราได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์สำคัญที่ยิ่งใหญ่ แต่บ่อยครั้งเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่ว่านั้น มันกลับมาปรากฏต่อหน้าเราอย่างที่เราไม่ทันตั้งตัว และมาปรากฏตัวในรูปที่ถูกห่อไว้อย่างหมดจดงดงามโดยที่คนอื่น ๆ อาจไม่คิดว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย   (แปลโดย :โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์)

อ่านจบแล้วอย่าลืมให้เวลาทุกนาทีเป็นเวลาแห่งความสุข คืนความสุขให้ทั้งต่อตัวเองและกับผู้อื่นด้วย

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

มาสร้างแลนด์มาร์คกัน

มาสร้างแลนด์มาร์คกัน
ถ้าพูดถึงการใช้สมาร์ทโฟนในการติดต่อกัน App หนึ่งที่นิยมกันมากสำหรับประเทศไทยคงหนีไม่พ้น Line นอกจากจะเป็นการใช้เพื่อแชทพูดคุยผ่านตัวอักษร ผ่านทางสติ๊กเกอร์แล้ว ยังมีการนำเกมต่างๆมาเชื่อมโยง เล่นร่วมกันได้ในกลุ่มเพื่อน เช่น เกมคุกกี้รัน ที่วิ่งกันเต็มบ้านเต็มเมือง สุขภาพ (นิ้ว) ดีกันทั่วหล้ามหานคร พอวิ่งกันเยอะมากเข้า เที่ยววิ่งไปรบกวน ขอให้คนนั้นคนนี้ช่วย เด้ง ดัง กันทั้งวันทั้งคืน ทำให้เพื่อนฝูงเหนื่อยหน่าย ยกเลิกการเป็นเพื่อนกันก็มากมี
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ต่อมาก็มีคำว่า สร้างแลนด์มาร์ค คำนี้ฮิต เพราะเกม LINE Let’s Get Rich (เกมเศรษฐี) ที่ให้ผู้เล่นทอยลูกเต๋าและซื้อบ้าน ที่ดิน สำหรับการสร้างแลนด์มาร์คในเกมก็คือการแสดงความเป็นเจ้าของ หากเราสร้างแลนด์มาร์คแล้ว ฝ่ายตรงข้ามจะไม่สามารถซื้อขายเมืองของเราได้ ถือว่าเป็นการครอบครองเมืองโดยสมบูรณ์แบบ
ต่อมามีการนำคำว่า สร้างแลนด์มาร์คไปใช้ในความหมายอื่นๆ เพื่อใช้แสดงการจับจองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แม้แต่เรื่องการแสดงความรัก ฉันอยากจะสร้างแลนด์มาร์คกับเธอ หรือ เคยเห็นเด็กหนุ่มบางคนที่แอบอู้งานด้วยการบอกเพื่อนๆว่าขอตัวไปสร้างแลนด์มาร์คสักงีบนะ แลนด์มาร์คที่ถูกสร้างเพื่อตัวเอง สร้างสุขให้ตัวเอง แต่เป็นสุขที่ไม่จีรังยั่งยืนเลย และความสุขที่แท้จริงที่ยั่งยืนนั้นควรเป็นเช่นไร วันนี้จึงขอนำคำแนะนำของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ที่ทรงเผยเคล็ดลับ 10 ข้อที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข 
1. ใช้ชีวิตและปล่อยวางกับชีวิต มีคำกล่าวของชาวโรม พูดไว้ว่า แค่ดำเนินชีวิตต่อไปก็เท่านั้น ทุกคนควรจะได้รับการชี้แนะด้วยแนวคิดนี้ แนวคิดที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ใช้ชีวิตต่อไป จงดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้า 
2. จงอุทิศตนเพื่อผู้อื่น คนเราจำเป็นต้องเปิดตัวเองและมีความใจกว้างให้กับคนอื่น เพราะถ้าเราถอนตัวจากผู้อื่นและหมกมุ่นกับตัวเอง เราก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นพวกอีโก้จัด และน้ำนิ่งก็จะกลายเป็นน้ำเน่าทันที
3. จงดำเนินชีวิตด้วยความสุขุมรอบคอบ มีนิยายเรื่องหนึ่งของอาร์เจนตินา เขียนโดย ริการ์โด้ กุยรัลเดส เขาได้ถ่ายทอดการใช้ชีวิตวัยเด็กของตัวเองว่าเป็นเหมือนสายน้ำที่เชี่ยวกราด พุ่งชนโขดหินทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่เมื่อโตขึ้น สายน้ำนี้เปลี่ยนเป็นสายน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ แต่ยังไหลเร็ว พอแก่ตัวลง สายน้ำนี้กลายเป็นน้ำในสระ นิ่ง เฉื่อยๆ  เขาสะท้อนข้อคิดว่า ชีวิตเราก็เหมือนสายน้ำ เราต้องพร้อมเสมอที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่มันต้องเป็นการก้าวแบบสุภาพ เอื้อเฟื้อผู้อื่น และใช้ชีวิตแบบสุขุม
4. รู้จักหยุดพักหาเวลาว่างบ้าง จงรู้จักมีอารมณ์ศิลป์ เพลิดเพลินกับวรรณกรรม ที่สำคัญ หาเวลาเล่นกับลูกๆของตัวเองบ้าง เพราะพ่อสังเกตเห็นว่า พ่อแม่หลายคนเริ่มไม่สนใจการเล่นกับลูกๆแล้ว ที่สุดแล้ว เขาก็จะไม่รู้เลยว่า วิธีการเล่นกับลูกต้องทำอย่างไร ดังนั้น พ่อแม่ที่ทำงานมาทั้งวัน ควรหาเวลาเล่นกับลูกๆบ้าง ทุกวันนี้ ลัทธิบริโภคนิยมมีแต่จะนำความกระวนกระวายมาให้เรา มันนำพาความเครียดและทำให้ผู้คนต้องสูญเสียวัฒนธรรมแห่งการหยุดพักไป เวลากินข้าวในครอบครัว ควรจะปิดโทรทัศน์และหันหน้ามาพูดจากัน แม้ว่าโทรทัศน์จะนำเสนอข่าวสารและมีประโยชน์ต่อเราเวลาเรากินข้าว แต่อย่าลืมว่า นี่คือเวลาสำคัญ ฉะนั้น อย่าให้ใครมาแย่งการพูดคุยสื่อสารในครอบครัวไปจากเราเด็ดขาด
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
5. วันอาทิตย์คือวันหยุด คนทำงานควรหยุดงานในวันอาทิตย์ เพราะนี่คือวันครอบครัว
6. ค้นหาวิธีการใหม่ๆที่จะสร้างงานที่มีเกียรติให้กับเยาวชน เราจำเป็นต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้กับเยาวชน ถ้าพวกเขาขาดโอกาส พวกเขาก็จะหันไปหายาเสพติดและมีสิทธิ์จะฆ่าตัวตาย มันไม่เพียงพอนะที่จะให้อาหารแก่เขาเท่านั้น เพราะงานที่มีเกียรติที่ท่านจะให้เขาต่างหาก ที่จะช่วยเขาให้หาอาหารประจำวันได้
7. จงเคารพและดูแลธรรมชาติ ตอนนี้ ธรรมชาติถูกทำลายและลดคุณค่าลงไปมาก นี่คือความท้าทายสำคัญของเรา
8. หยุดคิดร้าย หยุดให้ร้าย มันจำเป็นมากๆที่จะต้องหยุดนิสัยพวกนี้ การทำแบบนี้คือการแสดงให้เห็นว่าเราไม่ให้เกียรติตัวเองเลย มันสะท้อนว่า เราดูแย่มากๆ เราจึงต้องยกตัวเองให้สูงขึ้นด้วยการกดคนอื่นให้ต่ำลง
9. อย่าบังคับคนอื่นเปลี่ยนศาสนา แต่จงเคารพความเชื่อของผู้อื่น เราสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นได้โดยผ่านทางการเป็นประจักษ์พยาน เมื่อมีการเป็นตัวอย่างที่ดี การพูดคุยสื่อสารก็จะเกิดขึ้น สิ่งเลวร้ายที่สุดคือการบังคับคนอื่นเปลี่ยนศาสนา จำไว้ว่า พระศาสนจักรไม่ได้เติบโตด้วยการบังคับคนอื่นเปลี่ยนศาสนา แต่เราโตด้วยการเป็นประจักษ์พยาน
10. จงทำงานเพื่อสันติภาพ ตอนนี้ เราอยู่ในยุคของสงครามมากมาย เสียงเรียกเพื่อสันติภาพต้องถูกตะโกนออกมา! สงครามมีแต่ทำลาย มันควรพอได้แล้ว (จาก Pope Report)

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
นี่เป็นวิธีที่จะช่วยกันสร้างแลนด์มาร์คให้เป็นแฮปปี้แลนด์ ดินแดนที่เราต้องร่วมมือกันสร้างขึ้น อย่ามัวแต่สร้างแลนด์มาร์คของตัวเอง เพราะหากต่างคนต่างยึด จ้อง จอง ที่จะมีพื้นที่ของตัวเองมากขึ้นเท่าใดพื้นที่เพื่อส่วนรวมก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ แล้วแลนด์มาร์คที่เรายึดครองก็จะหายไป เหลือไว้แต่แดนทุกข์ทรมาน เรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อสร้างพื้นที่ดินแดนแห่งโลกให้น่าอยู่ และสงบสุข หากผู้ใดไม่ทำภารกิจนี้ผู้นั้นก็เป็นคนที่ไม่คู่ควรกับความสวยงามของโลกนี้ 

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

สูงสุดคือเมตตา

สูงสุดคือเมตตา
ท่ามกลางความขัดแย้งขององค์กรกำกับสื่อกับสื่อช่องหนึ่ง ที่ต่างชิงไหวชิงพริบกันแบบไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้กำกับ กำหนดกฎเกณฑ์ แต่ไม่รอบคอบและไร้ความเป็นหนึ่งเดียว ฝ่ายหนึ่งหวังเพียงผลกำไรในทางด้านธุรกิจและมีชั้นเชิงแย่งชิงพื้นที่ สร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ยิ่งสำรวจตรวจข้อเท็จจริง พูดได้เลยว่าต่างฝ่ายต่างก็มีส่วนถูกส่วนผิดด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักถึง อะไรเล่า คือ สิ่งสำคัญสูงสุด เป็นประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด ก็ควรจะกระทำ และทุกฝ่ายควรจะต้องลดราวาศอกกันบ้าง ไม่ใช่ต่างคิดต่างยึดติดพื้นที่ของตน ยืนบนยอดสูงสุดแล้วเที่ยวกวักมือเรียกให้ผู้อื่นมายืนอยู่บนพื้นที่ตน และประกาศว่านี่คือ การทำเพื่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของสังคม พูดให้ฟังดูง่ายขึ้นสักหน่อย วันนี้ทุกคนต่างสร้างพื้นที่ของตัวเองให้แข็งแกร่งบนพื้นที่ส่วนรวม เป็นความเห็นแก่ตัวที่เกิดจากจริตที่คิดว่าสิ่งนี้ คือ การทำเพื่อผู้อื่น
ในขณะที่กำลังติดตามข่าวและความเคลื่อนไหวของเรื่องดังกล่าวอยู่ ทำให้นึกถึงเรื่องราวในหนังสือ สามก๊ก ที่แต่ละก๊กต่างตั้งตัวเป็นใหญ่ ภายในก๊กก็มีการทรยศหักหลังกันไปกันมา รบราฆ่าฟันกัน ตายซ้ำตายซ้อน ดูๆแล้วโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน และดูเหมือนว่าความขัดแย้งนี้มีระบาดทั่วไปยิ่งกว่าเชื้อ อีโบล่า เสียอีก  
และเป็นจังหวะเวลาเดียวกันที่ได้รับ DVD เรื่อง Son of God (บุตรพระเจ้า) เป็นภาพยนตร์ที่ยาวเรื่องหนึ่ง ที่สร้างขึ้นจากมินิซีรี่ย์ชื่อดังอย่าง The Bible ที่เคยถูกเสนอเข้าชิงรางวัล Emmy Award ถึง 3 ปีซ้อน จากผลงานการกำกับของ Christopher Spencer นอกจากนี้ยังได้พระเอกชาวโปรตุเกสชื่อ Diogo Morgado มารับบทเป็นพระเยซู ซึ่งในมินิซีรีย์ The Bible Diogo Morgado ก็รับบทเป็นพระเยซูเช่นกัน  Son of God เข้าฉายในอเมริกาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2014 แต่ไม่แน่ใจว่าในเมืองไทยเราได้มีการฉายหรือเปล่า ซึ่งเป็นเรื่องราวของพระเยซูเจ้า ตามพระวรสารของนักบุญยอห์น อัครสาวก ที่ได้เสียชีวิตเป็นคนสุดท้ายในบรรดาอัครสาวก  และได้เขียนบันทึกนี้ไว้ในระหว่างถูกเนรเทศ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้จะยาวสักหน่อยแต่ก็เป็นการเล่าเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้าแบบย่อๆ สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ตรงที่พระเยซูเจ้าทรงย้ำเสมอๆว่าพระองค์คือ บุตรของพระเจ้า ซึ่งคำนี้เองทำให้พวกฟาริสี ที่อิจฉาที่เห็นประชาชนมาติดตามพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆจึงหาช่องทางตามกฎหมาย กฎศาสนา เมื่อได้ยินคำนี้ พวกเขาจึงนำมากล่าวหา และใส่ความพระองค์ว่าจะตั้งตัวเป็นใหญ่เทียบเท่าพระเจ้า คนมันจะหาเรื่องก็ต้องหาเรื่องจนได้ ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ผู้มีอคติ ขนาดชนชาติเดียวกันแท้ๆยังยอมที่จะให้คนชาติอื่นมาบงการกล่าวโทษ เพียงเพื่อหวังยึดครองพื้นที่เล็กๆของตัวเอง
ในขณะที่ปิลาต คนของโรมันที่ถูกส่งมาปกครองแคว้นยูเดียนี้ ก็มิใคร่เต็มใจที่จะเป็นผู้สั่งการลงโทษประหารพระเยซู ด้วยว่าภรรยาของปิลาตเอง ขอร้องเอาไว้ ด้วยนางฝันถึงความยิ่งใหญ่ ความเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ แต่ก็อีกนั่นแหละ เพื่อความมั่นคงในอำนาจ ปิลาตจำใจต้องทำตามเสียงเรียกของมวลมหาชนผู้ถูกชักจูงด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อ 
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่นั่งดูหนังแล้วน้ำตาไหล ทั้งๆที่เรารับรู้มาตลอดถึงความทุกข์ทรมานของพระเยซูเจ้า ที่ทรงเลือกรับผิดเพียงผู้เดียว เพื่อไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง ความเป็นมนุษย์ของพระเยซูผู้น่าสงสาร ที่ถูกทรยศหักหลัง ที่ไม่ยอมสู้ตามวิถีทางการเมืองและการใช้กำลัง แต่เลือกทางแห่ง รักและเมตตา ยิ่งเห็นความเหี้ยมโหดที่คนเราทำต่อกันในทุกยุคทุกสมัย ยิ่งเพิ่มความหดหู่ต่อสันติภาพในโลกนี้ ยิ่งเห็นหัวใจอันยิ่งใหญ่ของแม่พระที่ต้องระทมทุกข์ตั้งแต่แรกที่รู้ว่าจุดจบของลูกชาย บุตรของพระคนนี้จะเป็นเยี่ยงไร เป็นความทรมานอย่างแสนสาหัส แม้จะมีเวลาให้ทำใจอย่างยาวนาน มันก็มิอาจจะทำใจต่อภาพที่เห็นต่อหน้าต่อตาได้เลย
ยิ่งความทรมานใจของพระเยซูเจ้า ในภาพยนตร์ฉายให้เห็นหลายครั้งหลายหน ในขณะที่พระเยซูเจ้าอยู่ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของผู้คน พระองค์ก็ทรงเห็นภาพที่อีกไม่นานพระองค์ต้องถูกทรมาน ยิ่งทำให้พระองค์เจ็บปวดมากขึ้น และไม่หลงระเริงไปกับการเป็นที่ชื่นชอบของมหาชน ใช่หรือไม่ บางครั้งการได้มองเห็นอนาคตของตัวเอง รังแต่จะนำความเจ็บปวดมาให้ แต่ทำไมคนเราหลายคนยังต้องการจะเห็นอนาคตของตัวเอง โดยผ่านทางหมอดูดวง หรือเชื่อคำทำนายแบบลมๆแล้งๆ สู้เราทำวันนี้ ทุกเวลาด้วยความมีเมตตาต่อกันจะไม่ดีกว่าหรือ
จากเหตุการณ์ในปัจจุบัน ย้อนกลับไปในอดีต สิ่งที่มนุษย์เรายังคงมีเสมอมา คือ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความอิจฉา มนุษย์คนหนึ่งที่ถูกทรมานเพียงเพื่อจะประกาศว่า หนทางแห่งรักและสันติ นั้นมิใช่ได้มาด้วยการทำสงครามต่อกัน หากแต่ คือ ความมี เมตตา ต่อกัน ใช่หรือไม่ บางคนต้องการให้พระเยซูต่อสู้กับอำนาจที่กดขี่ แต่พระองค์บอกนั่นไม่ใช่หนทาง อีกฝ่ายหนึ่งมีจิตอคติ คิดกลัวว่าผู้อื่นจะมาแย่งชิงพื้นที่ตน จึงแอบอ้าง กฎเกณฑ์เข้ากดขี่ เอาเปรียบ เพื่อเอาชัย แต่หารู้ไม่ผลของความเห็นแก่ตัวเพื่อครองพื้นที่แบบนั้นเป็นชัยชนะแบบชั่วคราว ไม่เหมือนกับคนที่มีสันติในใจ มีความรักและเมตตาเป็นสิ่งนำชีวิต ชัยชนะแม้จะไม่เห็นทันทีทันใด แต่ผลลัพธ์นั้นกว้างไกลและยาวนาน  เฉกเช่น กางเขน เครื่องทรมานและประหาร วันหนึ่งความชอบธรรมและความเมตตาถูกแขวนถูกตรึงอยู่บนนั้น บัดนี้ กลับกลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้โลกนี้บรรเทาทุกข์มากว่าสองพันปี ใช่หรือไม่ บนกางเขน พระเยซูเจ้าถูกตรึงรับความตายเพื่อกางแขนแผ่เมตตามาสู่โลกของเรา นี่คือ ความสูงสุดแห่งชัยชนะ 

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

โลกกว้างขึ้น แค่....

โลกกว้างขึ้น แค่....
เมื่อพูดถึงการเห็นโลกกว้าง โดยทั่วไปแล้วจะมองเห็นว่ามาจาก2-3 วิธี นั่น คือ ได้จากการอ่านหนังสือ การออกท่องเที่ยว การได้พูดคุยร่วมวงสนทนากับผู้คน ใช่หรือไม่ ชาวนาผู้หนึ่งที่อยู่ไกลจากเมืองหลวง เมืองเศรษฐกิจ  แต่เขาสามารถรู้หลายๆสิ่งหลายๆอย่าง เกี่ยวกับเมืองหลวงของเขา  หากเขาได้อ่านได้ศึกษาหนังสือเกี่ยวกับมหานครแห่งนั้น  หนังสือคือประตูสู่โลกกว้าง เป็นนิยามแห่งสัจจะในยุคโลกาภิวัฒน์  โบราณท่านเคยอบรมสั่งสอนลูกหลานไว้ว่า ถ้าอยากมีความรู้ ต้องหมั่นอ่านหนังสือหนังหา ถ้าอยากมีวิชาให้หมั่นร่ำหมั่นเรียน
ยิ่งในยุคสมัยปัจจุบัน เทคโนโลยีครองเมือง เพียงปลายนิ้วเคลื่อนไหว ความรู้ก็ไหลพรั่งพรู ประตูสู่โลกกว้างยิ่งเปิดพร้อมแทบทุกวินาที ความรู้อยู่คู่เทคโนโลยี แต่จะมีสักกี่คนที่เลือกรับ เลือกใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
แต่ก็อีกนั่นแหละ การศึกษาบางครั้งก็ทำให้เราเห็นแก่ตัวได้เหมือนกัน หากเราใช้ความรู้ที่ได้อ่านได้หามานั้น เพียงเพื่อตัวเองฝ่ายเดียว สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการศึกษา คือ การได้เห็นโลกที่เป็นจริง โลกที่สวยงาม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญและยิ่งใหญ่ต่อการใช้ชีวิต ถ้าเราได้เห็นชีวิตอย่างที่เห็นว่าไม่มีส่วนไหนยิ่งใหญ่กว่าส่วนรวม เราจะได้รู้ว่าชีวิตของเราสำคัญแค่ไหน
อีกประการหนึ่งก็คือ การท่องเที่ยวที่จะช่วยเปิดโลกกว้างได้ เปิดโลกเพื่อการเรียนรู้สิ่งที่เรายังไม่เคยรู้ หรือรู้แค่เพียงปลายๆให้ได้รู้อย่างลึกซึ้ง  การท่องเที่ยวไปในโลกกว้างของแต่ละคน ก็จะมีแง่งาม ความทรงจำและความประทับใจที่แตกต่างกันออกไป การเข้าไปท่องเที่ยวในแต่ละสถานที่ก็จะมีความรู้ที่แตกต่างกันเช่นกัน สิ่งสำคัญในการท่องเที่ยวอีกประการหนึ่งคือการได้เรียนรู้ความเป็นอยู่ของผู้คนในต่างแดน เรียนรู้วัฒนธรรมและประเพณีค่านิยม เพียงแต่ว่า หลายต่อหลายครั้งเราก็หลงลืมที่จะเก็บนำความรู้เหล่านั้นกลับมาใช้ และกลับมาอยู่ในโลกส่วนตัวเหมือนเดิม การท่องเที่ยวก็เป็นแค่เพียงได้เก็บความทรงจำไว้เพียงภาพถ่าย
นี่เป็นลักษณะที่เห็นการเปิดโลกกว้างทางด้านกายภาพ จริงๆแล้วการที่ทำให้โลกกว้างขึ้นยังมีมิติที่ลึกซึ้ง นั่นคือ การได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การได้ศึกษาเรียนรู้ชีวิตผู้คน การปรับตัวให้เข้าใจโลก ก็ทำให้โลกเรากว้างขึ้น จริงหรือไม่ ถ้าเราทำตัวให้เล็กลง ถ่อมตัว โน้มกายลงบ้างโลกก็กว้างขึ้น กว้างในมิติของสันติสุข ในขณะที่เรากำลังอยู่ในโลกของการสะสมและแข่งขัน และมีการวัดค่าคนด้วยวัตถุ บางคนจึงใช้โอกาสการที่ได้ไปเห็นโลกกว้าง ทำตัวให้พองใหญ่ มีข้อมูลมีโอกาสมากกว่าผู้อื่น กลับใช้มันเพื่อสะสมความเย่อหยิ่ง โลกจึงเต็มไปด้วยคนที่รู้โลกกว้าง แต่กลับมีจิตใจแคบลงเรื่อยๆ
ณ อาณาจักรขุนเขาป่าไม้สมบูรณ์แห่งหนึ่ง มีสัตว์เพื่อนรักต่างขนาด ต่างสภาพอยู่คู่หนึ่ง อีกตัวใหญ่โตดุจขุนเขา อีกตัวกระจี๊ดริด ต้องเพ่งพิศจึงจะมองเห็น เพื่อนรักคู่นี้คือ ช้างกับมด คู่หูผู้ท่องไปในดงป่าด้วยกันทุกวี่วัน เจ้าช้างร่างใหญ่จะคอยปกป้องเจ้ามดตัวน้อยให้พ้นจากอันตรายเสมอ ซึ่งดูตามสภาพความเป็นจริงต้องเป็นเยี่ยงนั้นอยู่แล้ว
แต่วันนี้มิได้เป็นเยี่ยงนั้น แต่เป็นเยี่ยงนี้ เพราะเกิดพายุฝนฟ้าคะนองขนาดใหญ่ ทำให้ทั้งสองตกใจ จึงรีบวิ่งไปหาที่หลบภัย จริงๆแล้วเจ้ามดนั้นมันใช้เพียงใบไม้ใหญ่ใบหนึ่งก็เพียงพอต่อการหลบพ้นอันตราย แต่ด้วยความห่วงใยเจ้าช้างเพื่อนยากที่ต้องหาสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวมัน ต้องหาต้นไม้ใหญ่ หรือ ผาถ้ำในการซุกซ่อนกาย ทั้งสองจึงพากันวิ่งไปข้างหน้า โดยที่เจ้ามดเกาะขาหน้าเพื่อนช้างไป ในขณะที่วิ่งไปนั้นเจ้ามดตะโกนเสียงดังเพื่อให้เพื่อนช้างรีบหยุดวิ่ง เพื่อนช้างถามด้วยสงสัยว่า
เกิดอะไรขึ้นเพื่อนยาก เราต้องรีบไปนะ ให้ข้าหยุดทำไม
เพื่อนมดก็ตอบเพื่อนช้างว่า
ข้างหน้านั้นมีกับดักแฝงอยู่ หากเจ้าวิ่งไปอีกเพียง 2-3 ก้าว เจ้าจะติดกับดักนั้นทันที
เพื่อนช้างพยายามก้มลงมองหาอยู่เป็นนานสองนาน และกว่าจะเห็นเส้นเชือกเล็กที่ขึงไว้สำหรับดักล่าสัตว์ของนายพราน เพื่อนช้างกล่าวขอบคุณเพื่อนมด แล้วช่วยกันหาทางหลบพายุร้ายไปทางด้านอื่น
เพื่อนช้างกล่าวขึ้นระหว่างนั้นว่า
หากข้าไม่มีสิ่งเล็กๆอย่างเจ้า ข้าคงมองไม่เห็นอันตรายข้างหน้า เพราะข้ามัวแต่มองกว้างออกไปข้างหน้า
เหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งทำให้เพื่อนรักต่างขนาดรักกันมากขึ้น ต่างก็ช่วยเหลือปกป้องกันและกันตลอดไป

โลกเราทุกวันนี้มีแต่คนที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จนไม่มีการฟังกันและกัน และมักจะดูถูกดูแคลนความคิดของผู้อื่น ดูเหมือนว่าในยุคสมัยนี้เรามีสิ่งที่ช่วยให้โลกกว้างขึ้นง่ายดาย แต่น่าเสียดายที่เรากลับใช้สิ่งเหล่านี้เพียงเพื่อตัวเอง ไม่ต้องกล่าวถึงว่า วันนี้จะมีสักกี่คนที่น้อมรับคำตักเตือนของผู้อื่น เพราะจริตตนบังตา ในโลกกว้างวันนี้แต่หนทางแสนจะคับแคบ ความเก่งกาจ ความสามารถของเรานั้นแท้จริงจะต้องเป็นสิ่งที่เกื้อเอื้อให้กันและกัน ไม่มีใครในโลกที่อ่านหนังสือแล้วรู้ทุกเรื่อง ไม่มีใครที่ท่องไปทั่วโลกแล้วไม่เคยหลงทาง ไม่ยากเลยใช่ไหมถ้าเราจะยอมลดตัวให้เล็กลงบ้าง เพื่อจะได้เห็นโลกมุมสวยงามที่กว้างขึ้น อ่อนน้อม รับฟัง รับเตือน ด้วยใจสุภาพ สันติสุขก็จะบังเกิดขึ้นในจิตใจเรา...