วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ในบางเล่ม

ในบางเล่ม
กิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งคือ การอ่านหนังสือ แม้จะมีบ้างบางครั้งที่ละเลยการอ่านจากหนังสือจริงๆไป แต่ยังไงต้องหาอะไรอ่าน ทั้งจากในสมาร์ทโฟน บนไอแพด เพราะการอ่านทำให้เราได้เข้าสู่โลกกว้างขึ้น แต่ใช่ว่าอ่านแล้วเราจะรู้โลก รู้เรื่องราวใดๆทั้งหมด เพราะเราเป็นเพียงเศษฝุ่นละอองในจักรวาล มีอะไรอีกมากมายมหาศาลที่เราไม่อาจจะล่วงรู้และเข้าถึงได้ การอ่านหนังสือส่วนหนึ่งเป็นการปลุกปลอบจินตนาการให้ตื่นตัวอยู่เสมอ อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เราฝึกฝนการไตร่ตรอง ฝึกสมองให้คิดตามสิ่งที่ได้อ่าน แน่ล่ะเรื่องที่เราเลือกอ่านต้องเป็นเรื่องที่ตรงกับจริตเรา ต้องเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่เป็นพื้นฐาน ใช่หรือไม่ มีหนังสือไม่น้อยเล่มเลย ที่ซื้อมาแล้วอ่านไม่จบ หรือไม่ได้อ่าน ถูกวางไว้เฉยๆรอฝุ่นจับ ราขึ้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
กล่าวโดยสรุปแล้วการอ่านนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้ได้รับรู้สิ่งใหม่ๆข้อมูลใหม่ๆ และหนทางการแก้ปัญหาใหม่ๆ รวมไปถึงวิธีที่จะประสบความสำเร็จตามความต้องการใหม่ๆไปด้วย เพราะการค้นพบ มักจะเริ่มจากการอ่านและทำความเข้าใจ การอ่านยังช่วยพัฒนาตัวเอง ให้เข้าใจสภาพแวดล้อมรอบกายมากขึ้นด้วยเคล็ดลับวิธีการต่างๆ เช่น วิธีสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง วิธีที่จะวางแผนก่อนจะกระทำการใดๆ เราอาจจะค้นพบจากการอ่านบทความดีๆสักเรื่องหนึ่ง การอ่านนำมาซึ่งความเข้าใจ ยิ่งอ่านมาก ยิ่งเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น การอ่านยังช่วยเพิ่มความเข้าใจในกฎเกณฑ์การใช้ชีวิตเพื่อที่จะปรับเปลี่ยน และดำรงอยู่ในสังคมได้ด้วย
การอ่านหนังสือยังช่วยให้เราเตรียมตัวก่อนตัดสินใจกระทำเรื่องต่างๆ แม้กระทั่งการอ่านจากคอมเม้นต์ในโลกไซเบอร์ของโลกปัจจุบัน การได้อ่านคำแนะนำ ติชม หรือผลตอบรับจากผู้อื่น จะช่วยในการตัดสินใจของเราในครั้งต่อไป ในระหว่างการอ่าน เราก็จะได้รับรู้ความรู้ ประสบการณ์จากผู้อื่น เป็นบทเรียนในการดำเนินชีวิตเราได้ การอ่านเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ทำให้สื่อสารกับผู้อื่นได้ดีขึ้น ด้วยมีข้อมูลที่จะแบ่งปัน การอ่านยังก่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างสายตากับสมอง นำไปสู่การมีสมาธิ เกิดความคิดสร้างสรรค์ หนังสืออยู่เหนือจินตนาการ เป็นเหมือนโครงข่ายการเชื่อมต่อข้อมูลที่ยิ่งใหญ่ ที่จะสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆและคำตอบใหม่ๆได้ตลอดเวลา
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หากเปรียบหนังสือเป็นเหมือนผืนนาผืนหนึ่ง ที่ซ่อนความรู้ ความฉลาดอยู่ภายใน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเปิดอ่านจนพบเพ็ชรเม็ดงามและนำไปสร้างสรรค์ชีวิตให้เจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณ หนังสือนั้นมีดีทุกเล่ม แต่เด่นไปคนละเรื่อง หนังสือเล่มเดียวอ่านแล้วฉลาดทุกเรื่องนั้นไม่มี
จะว่าไปแล้วการอ่านหนังสือก็คล้ายกับการเรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้คน กับคนบางคนคบหาพูดคุยกันแบบถูกใจถูกคอ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ชอบพอเหมือนๆกัน           มีทัศนะคติต่อสิ่งรอบตัวเหมือนกัน เราจึงเลือกคบเลือกคุยกับคนเหล่านั้น นับถือกันเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนร่วมสาบาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกผู้คนต่างก็มีแง่งามให้เราได้ค้นพบ แต่ละคนก็จะมีลักษณะเด่นกันไปคนละแบบ ถ้าเราใส่ใจที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก็จะนำมาซึ่งสิ่งใหม่ๆสิ่งดีๆในชีวิต ประสบการณ์ บาดแผล ความเจ็บปวด ทุกข์ระทมของคนๆหนึ่งอาจจะช่วยให้เราเข้าใจโลก เข้าใจชีวิตได้มากขึ้น และสามารถที่จะนำมาพัฒนาหนทางการดำรงอยู่ของชีวิตอย่างมีคุณค่าได้
แท้จริงแล้วเราก็เป็นเสมือนหนังสือเล่มหนึ่ง แต่จะเป็นหนังสือบางเล่มที่ถูกนำมาอ่าน ถูกนำมาแบ่งปัน ถูกนำไปก่อให้เกิดประโยชน์ หรือเป็นหนังสือที่ถูกทิ้งขว้างอยู่บนหิ้ง เป็นหนังสือที่ใครได้เห็นแล้วมองข้ามหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราได้ทำให้ชีวิตของเราน่าอ่านเพียงใด เราจะเป็นหนังสืออมตะที่มีผู้คนหยิบมาอ่านได้ตลอดเวลา หรือเป็นเพียงแผ่นกระดาษบางๆที่ถูกอ่านแล้วก็ฉีกทิ้ง มีประโยชน์เพียงใช้ห่อสิ่งของอื่นๆ เราสามารถเลือกจะเป็นได้
ในเมื่อชีวิตเราล้วนมีความดีอยู่ในตัว แล้วเหตุใดเล่า เราไม่นำความดี ความงามเหล่านั้นออกมาจรรโลงโลก สร้างสุขให้กับสังคม เราต้องไม่เป็นหนังสือที่สวยเพียงปก สวยเพียงรูปเล่ม เท่านั้น แต่เนื้อหาภายในเราจะต้องเป็นสื่อที่งดงาม เป็นเรื่องที่ทรงคุณค่าและน่าจดจำ
ในยุคที่เรามีเครื่องสื่อสารที่จะเข้าถึงเรื่องราวได้ง่าย ผ่านตัวอักษรหลากหลายมากมาย ซึ่งดูเหมือนว่าจะส่งเสริมการอ่านได้มากขึ้น จนทำให้เห็นว่าคนสมัยใหม่คงจะมีความฉลาดมากขึ้น แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเครื่องมือนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้การอ่านของเราก่อเกิดกิเลสมากขึ้น อ่านแล้วก็อยากได้อยากมีมากขึ้น การอ่านลักษณะนี้เป็นการอ่านที่ไม่ได้พัฒนาชีวิตแต่เป็นการปลุกกิเลสส่วนลึกให้ลุกโชนขึ้นมาเป็นนายเหนือเรา
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
เช่นกันในยุคนี้เรามักจะถูกกระแสสร้างคนให้เป็นข่าว สร้างคนให้เป็นฮีโร่ โดยไม่ใช้การทำความดี แต่เป็นการสร้างเปลือกและปรุงแต่งให้ดูมีสีสัน และนำมาวางขายเพื่อให้ผู้คนตกหลุมพลางเดินตาม และถึงขั้นเสพติดภาพลักษณ์เหล่านั้น ความดีเป็นสิ่งที่ขายไม่ได้ ความดีไม่มีที่ยืนให้ผู้คนได้เชยชม ความงามที่แท้จริงถูกกลบด้วยความทรามและความหยาบกระด้าง มนุษย์ยุคนี้จึงเป็นมนุษย์ที่หัวจิตหัวใจกระด้าง ไร้ความอ่อนหวานและอ่อนโยน ถูกกลบด้วยวัตถุเพียงเพื่อให้สะดวกสบาย

ใช่หรือไม่ ดูเหมือนยุคนี้จะมีคนอ่านหนังสือมากขึ้น แต่มักจะอ่านอะไรที่มันสั้นๆ อ่านแล้วก็นำไปพูดไปวิจารณ์ อ่านไม่ได้ศัพท์จับไปกระจาย ทำให้เรื่องร้ายเกิดขึ้นมีให้เห็นอยู่ทุกวัน เรื่องบางเรื่องเล็กๆก็กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นวาระแห่งโลกที่ทุกคนต่างมีความเห็น แล้วแสดงออกผ่านอักษรให้คนอื่นอ่าน คนอ่านต่อก็ใส่จริตตนเพื่อให้ทั้งโลกคล้อยตาม ใครเข้าไปเห็นต่างก็กลายเป็นเรื่องที่โต้ตอบระเบิดอารมณ์ใส่กัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนนั้นไม่ยืดยาว คบหาสมาคมแบบสั้นๆ แล้วเราควรจะเป็นหนังสือที่จารึกอักษรแบบไหนกัน เป็นเล่มที่น่าอ่านทั้งข้างนอกและข้างใน หรือเป็นเล่มที่ถูกห่อในพลาสติกที่ห้ามแกะอ่าน…..

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บางอย่างผ่านไป บางสิ่งกำลังเริ่มต้น

บางอย่างผ่านไป บางสิ่งกำลังเริ่มต้น
ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลจบลงไปแล้ว ด้วยชัยชนะของทีมชาติเยอรมัน ในฐานะเป็นคนที่ชอบดูกีฬาฟุตบอลคนหนึ่ง ได้ติดตามการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้มาอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในทีมโปรดที่เชียร์ ชื่นชมมาตลอดก็คือ ทีมจากชาติเยอรมันนี่แหละ เพราะประทับใจในการเล่นเป็นทีม เป็นระบบ นักฟุตบอลทุกคนมีความมุ่งมั่นและช่วยกันเล่นตามแผนของผู้จัดการทีม โดยไม่แย่งกันดังแย่งกันเด่น เหมือนกับหลายๆทีมที่มีนักกีฬาที่เก่ง ที่ดังเพียงคนสองคน และทุกๆคนมักฝากความหวังไว้กับคนเหล่านั้น แต่แล้วก็ไปไม่รอด ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะกีฬาฟุตบอลนั้นต้องเล่นเป็นทีม
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ทำไมประเทศเยอรมันประสบผลสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งนี้ ทีมเยอรมันมีวิธีการเตรียมความพร้อมที่แตกต่างจากชาติอื่นอย่างมาก เบื้องหลังความสำเร็จอย่างหนึ่งของทีมชาติเยอรมันในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ คือ การเตรียมทีมมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเข้ามาในถิ่นบราซิลแทนที่จะเข้าพักในโรงแรมที่ตั้งอยู่ในย่านจราจรคับคั่ง ทีมอินทรีเหล็กโดยโค้ช โยอาคิม เลิฟ และผู้จัดการทีม โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ ( อดีต 2 ผู้เล่นทีมชาติ) เข้ามาสร้างแคมป์ที่จะกลายเป็นรีสอร์ตให้กับคนในท้องถิ่นหลังการแข่งขัน แคมป์ดังกล่าวอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงซานโต้ อังเดร ซึ่งมีชาวบ้านอยู่ราว 900 คน มีชื่อว่า แคมป์บาเฮีย ใช้สำหรับเก็บตัวนักเตะให้มีความพร้อมทั้งกายและใจสำหรับการแข่งขัน ด้วยการจัดสรรห้องพัก อาหารการกิน ทำให้นักฟุตบอลมีร่างกายและจิตใจที่พร้อมจะลงแข่งขัน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

และนอกจากชัยชนะในการแข่งขันฟุตบอลโลกแล้ว ปัจจุบันประเทศเยอรมันยังมีความแข็งแกร่งในทุกๆด้าน  เพราะมีวิธีการสร้างคนในชาติให้มีวินัย มีจิตอาสา รักส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว นำพามาซึ่งความสำเร็จในหลายๆด้าน ได้มีการวิจัยสรุปออกมาเป็นข้อๆ ขอยกตัวอย่างบางข้อว่าประเทศเขาปลูกฝังกันอย่างไร
- ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต
- คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่นๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า
- การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
- เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน อีเมล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน
- ชีวิตในที่ทำงานที่นี่เขาจริงจังกันมาก ไม่มีการพูดคุย นินทา ไม่อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร ใครจะไปออกเดทกับใคร ไม่แม้แต่จะเล่าเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อคืน เลิกงานแล้วจะไปไหน จะไปทานดินเนอร์กับใคร ก็ไม่มีการพูดคุยกัน
- การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพเพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์กร
- ในวันอาทิตย์ ร้านรวงทั่วไปตามแหล่งช้อปปิ้ง จะปิดเงียบ เพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เมื่อสถาบันครอบครัวแข็งแรงประเทศชาติก็จะแข็งแรง
- ในยามยากของเศรษฐกิจ บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการไล่พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกระทันหัน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท
- อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้วที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอดของพนักงานก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด
- การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ประหยัด จริงจังในหน้าที่ มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบสูง รักครอบครัว รักพวกพ้อง รักชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมันได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา
นี่เป็นการสร้างชาติที่เราได้เห็นจากประเทศที่มีชัยชนะในสนามแข่งขัน แม้จะผ่านไปแล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาสร้างวินัย สร้างค่านิยมที่ดีงามให้กับคนในชาติของเขานั้นจะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ในขณะที่ประเทศเยอรมันกำลังฉลองชัยชนะท่ามกลางประชาชนเรือนแสนที่ออกมาต้อนรับทีมนักฟุตบอล อีกฝากฝั่งหนึ่งก็กำลังเกิดสงครามยิงจรวดใส่กันเป็นร้อยๆพันๆลูก ทำร้ายทำลายกันให้ตายกันไปข้าง ท่ามกลางความทุกข์ระทมของผู้คน โดยการนำเอาหลักความเชื่อ เผ่าพันธุ์ สัญชาติ มาเป็นเครื่องต่อรอง ยึดมั่นในศักดิ์ศรีโดยเข้าไปลบศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น ในนามสงคราม ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วมีการนำเด็กและสตรี มาเป็นเหยื่อ ต่างฝ่ายต่างใช้สื่อสมัยใหม่ ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม สร้างข้อมูลเท็จ ใช้ข่าวลือ ข่าวลวงเพื่อให้ฝ่ายตัวเองได้รับความเป็นธรรม และไม่ว่าใครจะเริ่มก่อน ใครผิดใครถูก หากสงครามครั้งนั้นได้ทำร้ายเด็ก ทำร้ายสตรี ฝ่ายนั้นย่อมต้องถูกประมาณทั้งนั้น

สงครามครั้งใหม่กำลังเริ่มต้น ท่ามกลางความทันสมัยของอาวุธ แต่หัวจิตหัวใจคนไม่อาจจะลดความโหดร้ายลงได้ หลายคนยังไร้วินัยในการดำเนินชีวิต เห็นข่าวเสพข่าวก็แสดงความหยาบกระด้างด้วยการด่าทอออกมาให้ผู้อื่นในโลกเสมือนจริงได้รู้ได้เห็น ดูแล้วยิ่งเพิ่มความเกลียดชังกดทับให้กับโลกใบนี้ แน่ล่ะ เราไม่สามารถจะไปทำให้สงครามชนชาติยุติลงได้ การสวดภาวนาวอนขอจากเบื้องบนต่างหากที่จะช่วยชำระบรรเทาใจเราให้อ่อนโยนลงบ้าง ให้จิตใจมีวินัยบ้าง เพื่อให้สังคมโลกอันร้อนระอุได้บรรเทาลง เรามาเริ่มสันติสุขในใจเราก่อนนะครับ…..

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รังนกน้อยๆนั้น

รังนกน้อยๆนั้น
เมื่อย่างเข้าฤดูฝน ต้นไม้ใหญ่หลังบ้านก็จะงอกงามเต็มที่ สูงขึ้นเรื่อยๆ กิ่งก้านมักจะแผ่ขยายสาขาออกมาจนถึงระเบียงหลังบ้าน ครั้นจะให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ก็กลัวว่าสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา งูเงี้ยวเคี้ยวขอ แมลงสัตว์กัดต่อยที่มีพิษจะเข้ามาเยี่ยมถึงในบ้าน ก่อเกิดอันตรายได้ คนในบ้านจึงต้องมีหน้าที่ช่วยกันตัดแต่งริดกิ่งก้านให้เข้าที่เข้าทาง และในวันหนึ่งขณะที่กำลังจะตัดกิ่งไม้ที่ยื่นยาวออกมานั้น พลันมองไปเห็นรังนกเล็กๆที่ซุกซ่อนเกาะเกี่ยวอยู่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ในรังเห็นลูกนกน้อยๆอยู่สองตัว ดังนั้นแล้วจึงต้องปล่อยกิ่งนั้นไว้ เพื่อให้นกน้อยใช้เป็นที่พักพิง เลี้ยงลูกน้อยให้เติบใหญ่ สิ่งมีชีวิตเล็กๆหลังบ้านจึงกลายเป็นสมาชิกของบ้านไปโดยปริยาย 


ในเวลายามว่างๆ ชอบที่จะไปนั่งมอง ยืนมอง ดูชีวิตน้อยๆนั้น บางครั้งเห็นแม่นกกำลังนำอาหารมาป้อนลูกๆในรัง ลูกน้อยอ้าปากรอรับอาหาร ป้อนจากปากสู่ปาก ป้อนเสร็จแม่นกก็บินไปหาอาหารมาให้ใหม่ เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา ครั้นเมื่อฝนตกกลัวว่าใบไม้ที่ริดรอนหายไปนั้นจะทำให้รังนกนั้นต้องเปียกปอน แต่ทึ่งในความอัศจรรย์ตามธรรมชาติ รังนกนั้นถูกก่อร่างใต้ใบไม้ที่พอจะปกคลุมไม่ให้เปียกฝน นกน้อยครอบครัวนี้เป็นนกสายพันธุ์อะไรไม่รู้ แต่สิ่งที่เรียนรู้ ได้มองเห็นเป็นสิ่งที่งดงาม สวยงามเหลือเกิน การรักชีวิตของสรรพสิ่ง การพึ่งพาอาศัยกันตามธรรมชาติ ความรักของแม่นก ที่มีต่อลูกนก ทำให้คนในบ้านได้เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น
ในขณะที่กำลังสังเกตและมีความสุขกับชีวิตนกน้อยๆนี้ ในโลกเสมือนจริงกลับมีเรื่องจริงที่โหดร้าย ที่คนกับคนทำกัน นั่นคือ ข่าวการข่มขืนเด็กหญิง 13 ปี บนรถไฟ และโยนร่างของเธอทิ้งจากรถไฟ นำมาซึ่งการเรียกร้องเพื่อให้มีการ “ประหารชีวิต” ทันที และมีการรวมตัวกัน มีการปลุกกระแสบนโลกออนไลน์ในประเด็นนี้มากมาย รวมไปถึงคดีความข่มขืนทุกรูปแบบให้ประหารชีวิตผู้ก่อการกระทำทั้งหมด มีการสร้างกลุ่มก้อน มีการนำเสนอเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจสนองตอบโดยด่วน เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยอักษรจนเต็มโลกเสมือนจริง ตรงนี้แหละที่บางครั้งก็เกินเลย จากบาปหนึ่งทำให้เกิดบาปแห่งความโกรธ เกลียด แค้นเคือง แล้วก็เผยโฉมความหยาบของจิตใจของผู้คนหลายผู้คน ใช่หรือไม่ บางครั้งจริตเราก็ถูกจริตสังคมชักนำไปได้เหมือนกัน จนทำให้เราแสดงจริตตนออกมาแบบไร้ทิศไร้ทาง บางคนแสดงความคิดที่น่าขยะแขยง บางคนแสดงเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง มีไม่น้อยที่แสดงความคิดจากความรู้สึกลึกๆของตัวเอง แต่ความคิดเห็นเหล่านั้น แท้จริง ความจริง เรารู้มามากน้อยเพียงใด และในส่วนลึกแล้วบอกเราว่าอะไร(เสียงมโนธรรม)  นั่งคิดกันก่อน ไตร่ตรองกรองความคิดกันก่อน แล้วจึงนำมาประมวลหาทางแก้ไข อย่าปล่อยให้อารมณ์พาไป เพราะไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ อาจจะมีเรื่องร้ายๆเรื่องใหม่เกิดขึ้น แล้วทุกคนก็เฮโลกันไปเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็เงียบหายไปตามลม  นี่คือ สิ่งแรกที่เราต้องทำก่อน
แน่นอน คุณค่าของทุกชีวิตย่อมมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด แม่รักลูกสาวมากเพียงใด พี่สาวรักน้องสาวมากเพียงใด ใยใครก็ไม่รู้ อยู่ๆก็มาพลัดพรากคนรักจากไป เหมือนกระชากร่างนั้นจากไปอย่างไม่ทันตั้งตัว นกน้อยนั้นรักลูกมันฉันใด เรามนุษย์ย่อมรักลูกหลานตัวเองมากมายฉันนั้น ความรักชนิดนี้มีอยู่ในทุกสรรพสิ่งสร้าง ยิ่งถ้าเป็นสิ่งสร้างที่แสนประเสริฐเราต้องเห็นคุณค่าความรักนี้ให้สูงส่ง สิ่งที่ต้องปลูกฝังในจิตใจทุกผู้คนคือการเคารพในความรัก เคารพในคุณค่าของทุกผู้คน
เหตุการณ์ครั้งนี้หลายฝ่ายต่างออกมาแก้ต่าง แก้ตัวให้พ้นผิดให้พ้นความรับผิดชอบเพียงเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเป็นคนผิด โดยอ้างถึงระบบที่ผิดพลาด อ้างกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนด้อย แล้วใยเรามัวแต่เฝ้าโทษระบบ โทษกฎหมาย ใยเราไม่หวนกลับมาคิดกันว่า เพราะอะไร สังคมเราก้าวถลำลงลึกถึงเพียงนี้เล่า???  หรือเพราะเราอยู่ในระบบวัตถุนิยมมากเกินไป ไม่ได้ไม่ดีเราจึงพูดกันถึงแต่เรื่องทางด้านวัตถุและเปลือกนอกเท่านั้น ระบบจิตใจ ระบบศีลธรรม ที่เป็นสิ่งสำคัญกลับขาดหายไป มนุษย์ยุคเราขาดความเป็นมนุษย์ ไม่มีคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ จนสู้นกตัวเล็กๆหลังบ้านไม่ได้เลย ที่เติบโตใต้อ้อมกอดของแม่ ที่เฝ้าดูแลอยู่ไม่เคยห่าง รังใต้ร่มใบไม้ ต่างพึ่งพากัน เห็นแล้วน่าอาย 
รังนกน้อยที่แม่นกสร้าง แม้เพียงแค่หลบแดดกันฝนได้ แต่ก็ไม่อาจจะทำให้ลูกนกปลอดภัยจากสิ่งภายนอกได้มากนัก สิ่งสำคัญ คือ นกที่มี “หัวใจแห่งการเป็นแม่” ต่างหากที่เฝ้าระวัง เฝ้าถนอม ลูกนกน้อยในรังให้ปลอดภัย นี่เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่จะทำให้ลูกนกน้อยเติบโตขึ้น
บ้านที่ดีมิใช่มีเพียงรั้วที่แข็งแรงเท่านั้น สิ่งสำคัญ คือ คนในบ้านต้องได้รับการปลูกฝังอบรม ให้มีความรัก ให้มีเมตตา อ่อนโยนต่อกัน ช่วยเหลือปกป้องซึ่งกันและกัน บ้านจึงเป็นเพียงสิ่งสร้างเพื่อให้เป็นครอบครัวที่มั่นคง


สังคมโดยรวมมิใช่มีเพียงกฎหมายเท่านั้น แต่คนในสังคมต้องเป็นคนที่มีคุณภาพ ต้องเป็นคนที่มีหัวใจมนุษย์ ที่จะไม่คิดทำร้ายทำลายกัน ต้องเคารพสิทธิความเป็นคนของผู้อื่น เคารพในเพศตรงข้ามให้เกียรติกัน เรียนรู้ที่จะมีเมตตาต่อกัน ต้องมีการสร้างระบบคุณธรรมของคนในสังคมให้เข้มแข็ง สร้างพื้นที่สังคมให้เป็นพื้นที่ที่ดี ที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมที่จะรับเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่จะถูกปลูกฝัง เพื่อที่จะให้ความร่มรื่นแก่กันและกัน 


สิ่งเล็กๆหลังบ้านกำลังเติบโตขึ้นทุกๆวัน และไม่นาน เมื่อลูกนกเติบกล้าโบยบินได้ รังนกนี้ก็จะเป็นเพียงเศษซากบนกิ่งไม้ สิ่งที่เหลือไว้คือความอัศจรรย์ของสิ่งสร้างที่มีชีวิต ที่ทำให้ชีวิตได้ข้อคิด ได้เห็น ได้ช่วยเหลือพึ่งพากันและกัน  โลก สังคม บ้าน โรงเรียน ที่ทำงาน ควรเป็นพื้นที่เล็กๆในการสร้างความงามในนามของความเมตตาต่อกัน ใช่หรือไม่ สิ่งนี้ถ้าเริ่มทำกันอย่างต่อเนื่อง จะเป็นกำแพงที่ปกป้องคุ้มกันทุกชีวิตให้รอดปลอดภัย และที่สุดไม่ต้องมาสร้างมายาจริตว่า “ใครล่ะ” จะเป็นคนเริ่ม เราเริ่มจากตัวเราเลยในวันนี้ เพื่อเราจะไม่ต้องมาเสียใจกับความโหดร้ายอย่างเช่นวันนี้อีก...

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รูดแล้วหลุดลอย

รูดแล้วหลุดลอย
วันเวลาเดินทางมาเรื่อยๆตามครรลองอย่างเที่ยงตรงและซื่อสัตย์ มีแต่ความรู้สึกและจริตของเราที่อิงแอบแนบชิด ทำให้เกิดความรู้สึกว่าช้า ว่าเร็ว สำหรับคนที่มีเรื่องราวให้ครุ่นคิด ให้ทำ ให้ดิ้นรนค้นหา ก็จะเห็นว่าวันเวลาช่างเดินเร็วเหลือเกิน เผลอแป๊บเดียวล่วงเลยมาถึงครึ่งปีแล้ว หันกลับไปเหลียวหลังแลดูก็เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายในทุกๆด้าน เด็กๆลูกๆหลานๆสูงขึ้นโตขึ้น เป็นหนุ่มเป็นสาว ก็อดทำให้คิดถึงตัวเองไม่ได้ว่า “แล้วเราจะมีวันเวลาให้เหลือใช้อีกนานเท่าไหร่ แล้วเราจะใช้ให้คุ้มค่า เห็นคุณค่ากับผู้คนคุ้นเคย ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้มาพึ่งพาเราได้อย่างไร”
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
พูดก็พูดเถอะ เวลาที่เราสูญเสียไป ไม่น้อยเราหมดไปกับเรื่องไร้สาระก็มาก เราสวดภาวนาน้อยลง เพราะเสพติดกับข่าวสารบนหน้าจอมากขึ้น ข่าวที่หลั่งไหลพรั่งพรูมาอย่างไม่หยุดหย่อน ข่าวจากทั่วสารทิศ ข่าวฉาว ข่าวดารารักๆเลิกๆ ข่าวสร้างกระแส ข่าวลือ ข่าวคนที่อยากโด่งดัง ก็ทำให้กลายเป็นที่พูดกันทั่วเมืองด้วยการเปลือยตัวเปลืองตัว ทำเพียงเพื่อให้ดังสนั่นเมือง เรียกว่าขอยึดพื้นที่ออนไลน์ได้สักครึ่งค่อนวันก็ถือว่าคุ้มค่าแบบไร้ค่าราคาคนก็ชั่ง ใช่หรือไม่ วันนี้เราอ่านหนังสือน้อยลง โดยเฉพาะหนังสือที่บำรุงจิตวิญญาณแทบไม่เคยผ่านสายตา เพราะเราเสียเวลาไปกับการอ่านข่าว อ่านเรื่องราวสั้นๆบนโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา เราทำงานได้น้อยลง ทำเพียงไม่กี่นาทีก็ต้องหันกลับไปโหยหา เปิดโทรศัพท์รูดไปมาดูความเคลื่อนไหวของสังคม คนออนไลน์นั้น ใจร้อน สมาธิสั้น จะไม่อดทนรออะไรเลย วิ่งไปหาสิ่งที่น่าสนใจกว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ใช่หรือไม่ โลกในวันนี้เป็นโลกแห่งการสื่อสารเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ผู้คนเชื่อมต่อกันได้สะดวก แต่ทว่า...ยิ่งสื่อสารเร็วขึ้น ก็ดูเหมือนว่าผู้คนสื่อสารกับคนใกล้ตัวน้อยลง หันไปคุยกับคนแปลกหน้ามากขึ้น คนจำนวนมากชอบฝังตัวอยู่ในโลกเสมือนจริง เพราะไม่ชอบความจริง โลกที่มีเทคโนโลยีสูงความเหงาก็สูงเป็นเงาตามกันมา ชีวิตที่เหงาจึงหาเพื่อนคุย ชีวิตว้าวุ่น จึงผ่อนคลายด้วยการคุย คุยอะไรก็ได้ คุยไว้ก่อน สาระไม่ค่อยมี คุยกันแบบเรื่อยเปื่อย คุยเหมือนสนิทสนมกันมามากกว่าสิบปี ทั้งๆที่ไม่เคยเจอหน้ากันเลยก็มี เป็นความสนิทสนมเสมือนจริง สิ่งเหล่านี้ได้ดึงความจริงแห่งชีวิตให้หลุดลอย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตเราให้หายเหนื่อย เป็นเพียงสิ่งลวงหลอกที่มีวันหลุดลอยหายไปได้เสมอ แต่วันนี้ดูเหมือนเรากำลังเสพติดการใช้นิ้วรูดไปรูดมาได้ตลอดทั้งวัน น่าเสียดายไหมกับวันเวลาที่หมดไปกับสิ่งเหล่านี้ และถ้าหากเราเลิกพฤติกรรมแนวใหม่นี้ไม่ได้ เราต้องหาทางใช้มันให้เกิดคุณค่า เพราะจริงๆแล้วเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนมีคุณประโยชน์มหาศาลหากเรารู้จักใช้
ณ วัดแห่งหนึ่ง คุณพ่อเจ้าอาวาสเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของสัตบุรุษที่มาเข้าวัดร่วมมิสซาทุกวันอาทิตย์ ไม่ค่อยมีสมาธิกันสักเท่าไหร่ และนับวันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่คุณพ่อผู้ประกอบพิธีเริ่มเทศน์ ผู้คนต่างดึงเอาสมาร์ทโฟน หรือไม่ก็แท็บเล็ตขึ้นมาเปิดและก็เริ่มสไลด์รูดซ้ายรูดขวา เข้าสู่โลกเสมือนจริง เช็คเฟสบุ๊ค ดูไลน์ แชทออนไลน์ มีบ้างบางคนยกมือถือที่มีกล้อง (ทุกยี่ห้อก็มีหมดแล้ว) ขึ้นมาถ่ายภาพในวัด แล้วก็โพสต์ว่าตัวเองกำลังมาเข้าวัด หาคนที่ตั้งใจฟังเทศน์แทบไม่มีเลย ทั้งๆที่คุณพ่อพยายามเตรียมการเทศน์มาเป็นอย่างดี เทศน์สั้นกระชับ แต่ก็ยังไม่สามารถดึงดูดให้สัตบุรุษมีใจหันเหเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวในพิธีกรรม
จนกระทั่งวันหนึ่งคุณพ่อคิดได้ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้ทุกคนที่มาร่วมมิสซาวันอาทิตย์มีส่วนร่วมและได้รับข้อคิดอะไรกลับไปได้บ้าง เมื่ออ่านบทพระวรสารจบ ทุกคนเริ่มนั่ง คุณพ่อเริ่มด้วยบทเทศน์ว่า “สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้พ่ออยากจะเชิญชวนให้พวกเราทุกคนช่วยกันแบ่งปันพระวาจาที่ได้รับฟังไปเมื่อสักครู่ แต่พ่อรู้ว่าคงมีไม่กี่คนที่จำได้ เอาอย่างนี้นะครับ พ่ออยากให้ทุกคนนำมือถือสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตขึ้นมา (หลายคนถืออยู่ในมือแล้ว) แล้วให้เราเข้าไปในเฟสบุ๊ค หรือไลน์ หรือแชท อะไรก็ได้ที่เราใช้เป็นประจำ แล้วก็ให้พิมพ์ตามที่พ่อจะบอกต่อไปนี้นะครับ”
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ทุกคนในวัดเริ่มอาการงงๆ แต่ดูเหมือนยินดีและกระตือรือร้นที่จะทำตาม คุณพ่อจึงนำคำในพระวรสารที่ว่า “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน ให้ทุกคนพิมพ์ไปพร้อมๆกัน จากนั้น ก็ให้ทุกคนส่ง แชร์ ข้อความนั้นขึ้นไปอยู่บนโลกออนไลน์ สุดท้าย คุณพ่อก็จบด้วยการบอกว่า “วันนี้พี่น้องได้มีส่วนร่วมที่จะทำให้ข่าวดีของพระเจ้าแพร่ออกไป แล้วจากนี้ขอให้เรามีสมาธิอีกสักครึ่งชั่วโมง ร่วมกันในภาคถวายและรับศีลมหาสนิทอย่างดี หลังจากจบพิธีพี่น้องก็ลองเช็คดูนะครับว่า ข่าวดี ของเราวันนี้ออกไปสู่เพื่อนพี่น้องสักกี่คน แล้วถ้าเราทำแบบนี้บ่อยๆพระวาจาของพระเจ้าก็สามารถที่จะอยู่บนโลกนี้ได้ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร มากมายสักเพียงใด ข่าวดี ก็จะยังอยู่”

วันนั้นดูเหมือนว่าคนที่มาเข้าวัดต่างก็ได้รับสิ่งดีๆกลับไป เหมือนกับวันนี้ที่เราต้องได้สิ่งดีๆกลับไปเหมือนกัน