วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อภัยคือศิลาฐานราก

อภัยคือศิลาฐานราก
ใครบ้างเล่าเกิดมาไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้งเดียว!!!  นักเดินทางคนไหนบ้างเล่า!!! ที่มิเคยหลงทาง นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ วีรบุรุษ วีรสตรีชื่อก้องโลกต่างล้วนเคยผ่านทางความผิด หลงผิด มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น แต่...ที่ทุกคนสามารถไปถึงซึ่งเป้าหมายสูงสุดได้นั้น เพราะพวกท่านเหล่านั้นรู้จักที่จะให้อภัยตนเอง อภัยคนรอบข้างแล้วเริ่มต้นใหม่ ในขณะเดียวกัน มีบ้างบางครั้งต้องน้อมรับการอภัยจากผู้อื่นด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ เหรียญมีสองด้านฉันใด ฟากฝั่งของการอภัยย่อมต้องมีสองด้านฉันนั้น ให้อภัยเขา และต้องน้อมรับให้เขาอภัยเรา นี่คือ หนทางที่ยั่งยืน นี่คือสันติสุขอย่างแท้จริงที่โลกยังต้องการ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ในวันนี้โลกเราเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว และเต็มไปด้วยข้อเรียกร้อง ยึดหลักโลภครองชีพ ต่างคนต่างสร้างบาดแผลให้กับสังคมรอบด้านด้วยความริษยา และถึงที่สุดแล้ว ผู้คนวันนี้ไม่รู้จักหน้าที่ จริตตนเอง แต่กลับไปคัดค้าน ไปบีบบังคับให้ผู้อื่นทำตามหน้าที่ พยายามดีดเด้งตัวเอง ให้โด่งดัง ให้ดีเด่น แต่ไม่เคยเด่นในเรื่องดีๆ เรากำลังก้าวสู่สังคมที่เห็นคนผิดแล้วซ้ำเติมด้วยการวิจารณ์ถากถาง ต่อว่าด่าทอ เอามานินทากล่าวหา เรียกว่า “ฆ่ากัน” โดยปราศจากอาวุธ ลับหลังแทงทะลุถึงหัวใจให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ปลูกฝังรอยแค้น รอยเคียดเกลียดชังเป็นเข็มทิศชีวิต มองโลกด้วยมุมมองด้านเดียว แล้วบอกว่าทั้งโลกก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น จริงแหละหรือ ใช่หรือไม่ มนุษย์ยุคนี้ขาดสำนึกของการกลับใจและการให้อภัย เราจึงเห็นความสับสนอลหม่านในทุกซอกทุกมุมเมืองทั่วโลก 

ใช่หรือไม่ มนุษย์เราทุกวันนี้มักคิดว่าเรายิ่งใหญ่ ใหญ่โตเกินสรรพสิ่งสร้าง อวดเบ่งอวดเก่ง ไว้วางใจในตัวเองมากกว่าไว้วางใจในมโนธรรม พยายามผลักดันความคิดเห็นส่วนตัวมาเป็นความคิดสาธารณะ แท้จริงแล้ว เราเป็นเพียงเศษธุลีในจักรวาล แล้วไฉน เรายังยึดติดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่งอีกเล่า ในโลกนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายให้เรียนรู้ มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นบทเรียน ใยจึงเวียนๆวนๆระคนอยู่กับความเป็นตัวเองกันอย่างนี้หนอ หากวันใดเราหลุดพ้นจากตัวเองได้ วันนั้นจะเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หลายปีก่อนมีคดีหนึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา วัยรุ่นอายุ 14 ปี ยิงเด็กหนุ่มคนหนึ่งถึงแก่ความตาย เพียงเพราะต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เพื่อนๆ ในแก๊งค์ได้เห็นว่า “ข้าก็แน่” ทุกการนัดหมายสืบพยานในศาล แม่ของผู้ตายจะมานั่งฟังการพิจารณาอย่างนิ่งเงียบ หลังจากที่ศาลตัดสินจำคุกวัยรุ่นผู้นั้น แม่ของผู้ตายเดินเข้าไปหาเขา จ้องหน้าและพูดว่า
"ฉันจะฆ่าเธอ"
ผ่านไปครึ่งปี หญิงผู้นั้นก็ยังไปเยี่ยมคนที่ฆ่าลูกชายของเธอ เธอเป็นคนแรกและคนเดียวที่ไปเยี่ยมเขา เพราะเขาเป็นเด็กข้างถนน ไม่มีญาติพี่น้อง ก่อนที่จะจากกัน เธอก็จะให้เงินเขาเป็นค่าใช้จ่าย  แล้วเธอก็เริ่มไปเยี่ยมเขาบ่อยขึ้น ในแต่ละครั้งก็ยังเอาอาหารและของฝากไปให้ เมื่อใกล้ครบกำหนดจำคุกสามปี หญิงผู้นั้นก็ถามเขาว่า
“จะทำอะไรเมื่อพ้นโทษ” เขาตอบว่า “ไม่รู้”
เธอจึงหางานให้เขาทำในบริษัทของเพื่อน ครั้นถามว่าเขามีที่พักไหม ก็ได้คำตอบว่าไม่มี เธอจึงชวนเขามาพักในบ้านของเธอ บ้านของเด็กที่เขาฆ่ากับมือ
ตลอดแปดเดือนเขาพักที่บ้านของเธอ กินอาหารที่เธอทำ แล้วเย็นวันหนึ่งเธอก็เรียกเขาไปคุยในห้อง เธอนั่งประจันหน้าเขา นิ่งเงียบพักใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า
“เธอจำได้ไหมตอนที่อยู่ในศาล ฉันพูดว่า จะฆ่าเธอ?
“จำได้ครับ”
“ฉันไม่ต้องการเห็นคนที่ฆ่าลูกฉันยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ฉันต้องการให้เขาตาย เพราะเหตุนั้นแหละ...ฉันจึงไปเยี่ยมเธอและเอาของไปให้ เพราะเหตุนี้แหละ...ฉันจึงหางานให้เธอและให้เธออยู่บ้านฉัน”
ถึงตรงนี้ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
แล้วแม่ของผู้ตายก็พูดต่อไปว่า
“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเธอ ตอนนี้เจ้าวัยรุ่นคนนั้นก็จากไปแล้ว ฉันจะถามเธอล่ะทีนี้ว่า ลูกของฉันจากไปแล้ว เจ้าฆาตกรก็จากไปแล้วเช่นกัน เธอยังจะอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่า ฉันอยากรับเธอเป็นลูกหากเธอไม่ว่าอะไร”
ในที่สุดเธอได้กลายเป็นแม่ของคนที่ฆ่าลูกเธอ ส่วนฆาตกรผู้หลงผิดก็ได้แม่ ซึ่งเขาไม่มีมาก่อนในชีวิต….
นักบุญเปโตรและเปาโล
การให้อภัยต้องเริ่มต้นจากการให้อภัยตัวเอง ต้องหลุดพ้นความเป็นตัวเอง หลุดพ้นจากความโกรธ เกลียด ในหัวใจ แล้วเราก็จะได้หัวใจจากคนอื่นตามมา นักบุญเปโตรผู้ห้าวหาญ ผู้เคยปฏิเสธพระเยซูเจ้าในวันที่พระองค์ทุกข์ทรมานมากที่สุด พระองค์ให้อภัยท่านนักบุญเปโตรตั้งแต่ครั้งที่เคยถามว่า “ท่านรักเราไหม” เปโตรตอบว่า “รักครับพระอาจารย์” พระองค์จะเจ็บปวดเพียงใด เพราะรู้ว่าอีกไม่นานคนๆนี้ คนที่พระองค์รักและไว้ใจมากที่สุด ที่ตอบว่า “รักพระองค์” กำลังจะหันหลังให้ แต่รู้ล่วงหน้าว่าแท้จริงแล้ว คนๆนี้เมื่อกลับใจ จะมั่นคงและเข้มแข็งตลอดไป ซึ่งไม่ต่างกับท่านนักบุญเปาโล ผู้ที่เคยเต็มไปด้วยอำนาจ บริวาล มีความรอบรู้ รอบจัด แต่กลับต้องมาพ่ายแพ้แสงสว่างแห่งความจริง จนต้องตกม้า(เกือบ)ตาย เมื่อท่านได้ปฎิบัติตามเสียงเรียกนั้น และเมื่อเกิดการกลับใจ ได้รับการให้อภัย จนทำให้ท่านนักบุญเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความเชื่อและความศรัทธา การกลับใจของท่านนักบุญทั้ง 2 ท่าน ล้วนมาจากใจที่ยอมรับการให้อภัย นำมาซึ่งฐานรากอันแข็งแกร่งของพระศาสนจักร แล้วหัวใจของเราในวันนี้ ได้พบสิ่งเหล่านี้บ้างหรือยัง หรือเป็นเพราะเราไม่รู้จัก ยังไม่เคยเห็น การอภัยและการกลับใจเลยสักครั้งในชีวิต....

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กินเพื่อ...

กินเพื่อ...
ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล เริ่มต้นแข่งขันมาได้ 2 สัปดาห์แล้ว และก่อนหน้าที่จะเริ่มแข่งขัน ดูเหมือนไม่ค่อยจะคึกคักเหมือนกับในทุกๆครั้งที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะสถานการณ์บ้านเมืองช่วงนั้นไม่เอื้ออำนวย อาจจะเป็นเพราะเรื่องของลิขสิทธิ์ว่าจะถ่ายทอดกันอย่างไง ช่องไหน จะดูจะชมกันอย่างไร หรือเป็นเพราะการประท้วงของชาวบราซิลหลายหมื่นคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่นำเงินก้อนมหาศาลไปลงทุนในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งนี้  แต่เมื่อวันเวลาเปิดการแข่งขันมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มคลี่คลาย แม้จะยังไม่เรียบร้อยหมดสิ้นเสียเลยทีเดียว

ภาพ : อินเตอร์เน็ต


ฟุตบอล คือ กีฬาที่คน 22 คนวิ่งแย่งลูกกลมใบเดียว เป็นสิ่งที่สร้างสีสันให้กับโลกขึ้นมาได้บ้างในช่วงเวลานี้ และเนื่องจากเวลาในประเทศไทยต่างกันกับประเทศบราซิลมาก การถ่ายทอดสดจึงตรงกับช่วงดึกๆ เลยไปจนถึงรุ่งเช้า ทำให้หลายคนอดหลับอดนอนเพื่อตื่นมาดูกีฬาแห่งมนุษยชาตินี้ นำมาซึ่งข่าวเศร้า มีชายชาวจีนอย่างน้อย 3 คนเสียชีวิตอันเนื่องจากอดนอนจากการดูฟุตบอลโลกตลอดคืนเป็นเวลาหลายๆวันติดต่อกัน เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนคอกีฬาให้เลือกคู่ที่ใช่ดูคู่ที่ชอบที่เชียร์ก็คงพอกระมัง แล้วที่สำคัญ อย่าทำให้เกมแย่งลูกกลมๆนี้มีผลทำให้เสียการเสียงานกันนะครับ
เมื่อพูดถึงการดูฟุตบอลโลกในช่วงเวลาดึกๆ ทำให้คิดถึงคำพูดของหลายคนที่บอกว่า “เพื่อไม่ให้หลับในการรอชมนั้น ต้องเตรียมหาของกินเอาไว้ด้วย” เรียกได้ว่าดูบอลไปกินขนม กินน้ำอัดลม กินเบียร์ กินอะไรต่อมิอะไรไป พอจบเทศกาลบอลโลก สู่เทศกาลบวมโรคแทน ถ้าเป็นแบบนี้เราต้องพึงระมัดระวังเอาไว้ เพราะความจริงในเวลากลางคืนกระเพาะอาหารก็ต้องการเวลาหยุดพัก ลำไส้ อวัยวะต่างๆที่ใช้ย่อยอาหารก็ควรจะพัก ใช่หรือไม่ พอเรากินเข้าไปในช่วงดึกๆเหมือนเป็นการบังคับให้อวัยวะเหล่านั้นตื่นมาทำ OT เมื่อทำแล้วก็ทำต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนย่อมมีผลเสียต่อร่างกาย 
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
การกินของเราแต่ละคนโดยปกติแล้วก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเราเป็นคนอย่างไร ดังมีสำนวนว่า You Are What You Eat ที่นิยมพูดติดปากของคนทั่วโลกมานานกว่าทศวรรษ แต่เหมือนรู้ทั้งรู้ว่าการกินดีช่วยสร้างประโยชน์ให้มีสุขภาพแข็งแรงได้อย่างไร แต่คนทั่วไปก็ยังกินตามใจปากอยู่นั่นเอง นับเป็นอันตราย เป็นผลร้ายต่อสุขภาพ ที่ทำให้ยอดผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคไขมันในเลือด เบาหวาน ฯลฯไม่ลดลงเสียที 
“You are what you eat” หรือแปลเป็นไทยแบบง่ายๆ ว่า คุณกินอะไรเข้าไป คุณก็เป็นอย่างนั้น เมื่อสังคมมนุษย์ให้ความสำคัญกับการกินเป็นอย่างมาก การตลาดเพื่อส่งเสริมการกินจึงตามมา มีประโยคใหม่ที่ว่า “You eat what you see!” มีความหมายว่า คุณ เห็น แค่ไหน คุณก็กินเข้าไปเท่าที่คุณเห็นนั่นแหละ!มีการทำห่อผลิตภัณฑ์ให้สวยงาม เพิ่มปริมาณให้เยอะขึ้นแต่ลดคุณภาพลง พวกขนมขบเคี้ยวและน้ำอัดลมที่วางขายกันทั่วๆไป ที่ตอนนี้ต่างก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าใหญ่ไปพร้อมๆ กับคนกิน (พุงใหญ่) โดยคนกินไม่รู้ตัว!
สำหรับในประเทศไทยแล้ว กระทรวงสาธารณสุขเผยผลสำรวจมาว่า ปัจจุบันประชากรไทย 1 ใน 4 คนเป็นโรคอ้วน และส่วนมากคนเหล่านี้มักจะอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองใหญ่ๆมากกว่าในชนบท ทั้งนี้ ความอ้วนดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการเลือกรับประทาน โดยคำนึงถึงความอร่อยมากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ เรียกว่าดูที่หน้าตามากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ
การกินอาหารของแต่ละคนก็มีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป บางคนกินเพื่อมีชีวิตอยู่ กินเพื่อประทังความหิว กินเพื่อต่อลมหายใจ มีไม่น้อยอยู่เพื่อกิน กินแบบโลภ กินเพื่อความเอร็ดอร่อย กินบ่อยๆเพราะสนุกปาก เราไม่ได้คำนึงถึงแล้วว่ากินอะไรเข้าไปก็เป็นอย่างนั้น เรากินเพื่อกิน กินเพื่อเสพ โดยหลงลืมเป้าหมายหลักของการกิน
เราต้องลองหันกลับมาให้ความสำคัญว่าเรากินอะไร และมีสำนึกคิดว่าสิ่งที่กินนี้เพื่ออะไร เรากินสิ่งดีๆเพื่อตัวเองมากเกินไปมั๊ย เราควรเลือกกินสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เราควรกินเพื่อดูแลร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อจะได้มีพละกำลังในการทำหน้าที่การงาน การกินจึงมีความหมายต่อเราทุกคน
การปลูกฝังการกินอย่างเน้นคุณค่า เป็นการพัฒนาชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการเคารพต่อร่างกาย อันเป็นที่ประทับของพระเจ้า หากเราบ่มเพาะนิสัยการกินไม่เลือก กินไม่รู้เวลา เราก็จะกลายเป็นคนไร้วินัยในหลายๆเรื่อง

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
วันนี้พระเยซูคริสตเจ้าเชื้อเชิญเรา ให้เข้ามารับพระวรกายและพระโลหิตของพระองค์ เพื่อให้สองสิ่งนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพระองค์ผู้สละเลือดเนื้อเพื่อผู้อื่น ในสังคมที่ทุกคนกินเพื่อตัวเอง เสพสุขเพียงลำพังฝ่ายเดียว ไร้การเหลียวแลผู้อื่น บริโภคจนอ้วนจนล้นเช่นนี้ การมารับศีลมหาสนิทอันเป็นเครื่องหมายถึงการรับพระคริสตเจ้าให้สนิทอยู่กับเรานั้นก็น่าจะทำให้เราได้ข้อคิดว่า ศีลแผ่นเล็กๆนี้มีพลังก่อให้ใจเราเข้มแข็ง เมื่อเรารับประทานเข้าไปแล้ว เราต้องแสดงพระคริสตเจ้าในตัวเราออกมาด้วย ก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเรา ทำประโยชน์แก่ผู้คนรอบข้าง “จงรับเอานี่ไปกินให้ทั่วกัน” คำนี้ควรจะสะท้อนอยู่ในชีวิตจริงของเรา “จงรับไปแบ่งปันให้ทั่วๆกัน” เป็นการบ่งชี้ให้เห็นถึงพระวรกายของพระคริสตเจ้าผ่านทางตัวเรา อย่าได้คิด “รับ” และ “เก็บ” ไว้เพียงคนเดียวเลย โลกยังกระหายการแบ่งปันอยู่เสมอๆ

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หนึ่งเดียวคือคำตอบ

หนึ่งเดียวคือคำตอบ
ในทุกย่างก้าวของชีวิต มีสิ่งต่างๆให้เจอะเจอมากมาย จนบางครั้งกลายเป็นความวุ่นวายสับสน บางครั้งดิ้นรนจนแทบตัวมลายหายใจไม่ออก ก็ยังไม่พบหนทางแก้ ทางออกกลับมืดมน เหมือนยิ่งดิ้นก็ยิ่งติด ยิ่งแก้ก็ยิ่งเจ็บยิ่งทุกข์
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หลายคนคงเคยพบเจอเรื่องที่ทำให้น่าแปลกใจมิใช่น้อย ในบางช่วงเวลาเดียวกันเราต้องพบกับสิ่งแย่ๆหลายๆเรื่องมารุมเร้าพร้อมๆกัน เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องนี้  คล้ายกับพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกจนมึนงงทำอะไรไม่ถูก ใจที่นิ่งเท่านั้นจึงจะสามารถพ้นผ่านไปได้ แน่ล่ะ!!! ใครที่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้อย่างน้อยต้องมีท้อ มีบ่น มีทุกข์กันบ้าง หรือหากใครเชื่อเรื่องของดวง โชคลาง คงบอกว่าดวงไม่ดี ต้องไปทำบุญ ทำกุศล ไปสะเดาะเคราะห์ล้างซวย แท้จริง นั่นก็เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง เพื่อทำให้ใจของเราได้สงบลง เพื่อจะได้มีช่องว่าง ช่องพัก ให้สมองและจิตวิญญาณปรับสมดุลเข้าหากัน   เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งของชีวิตในการดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์
บางครั้งบางช่วงในชีวิตเรารู้สึกตระหงิดๆอย่างบอกไม่ถูก พยายามหาคำตอบในสิ่งที่เราทำ ซึ่งคิดดีแล้ว ใช่แล้ว แต่...พอเมื่อทำไปทำมา เกิดมีอุปสรรค มีความขัดแย้งในจริตตนเอง ก็เกิดคำถาม เกิดความไม่เข้าใจในชีวิต ละเลยในการหาคำตอบและการปรับสมดุลให้เกิดความเป็นเอกภาพ ให้เกิดความเป็นหนึ่งของชีวิต จนสมองไปทาง ร่างกายไปทาง จิตใจเตลิด จิตวิญญาณสูญหาย แล้วก็เที่ยวตั้งคำถามอยู่ร่ำไป มีคำถามในทุกเรื่อง ในทุกเหตุการณ์ ส่วนใหญ่เป็นคำถามที่ต้องการโยนความผิดให้คนอื่นเสียด้วย ประเภทว่ามีแต่บ่น ต่อว่าโน่นนั่นนี่ตลอด ไม่เคยมีคำตอบ คำแนะนำให้ใคร ไม่สนใจความคิดเห็นของผู้อื่น ชอบคิดเองเออเอง แล้วยึดมั่นในสิ่งนั้นคิดว่านั่นเป็นคำตอบ แต่ที่ไหนได้มันเป็นเพียงเหตุผลที่แอบอ้างเพื่อเลี่ยงหลีกมโนสำนึกของเราต่างหาก 
ในสังคมที่มีความสันสบ เนื่องเพราะมีแต่คนไร้หลักยึดเหนี่ยว ยึดแต่สิ่งภายนอก ยึดตำแหน่ง ยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่หาได้เข้าใจในภารกิจของตำแหน่งนั้นไม่ เหมือนกับเรื่องเล่าของแพทย์สงครามคนนี้...
       ยังมีแพทย์สงครามผู้หนึ่ง ทำหน้าที่รักษาเหล่าทหารที่บาดเจ็บในสมรภูมิรบมานับไม่ถ้วน ทหารหลายรายได้รับการรักษาจากแพทย์สงครามจนหายดี แต่กลับไปเสียชีวิตกลางสนามรบก็มีไม่น้อย
เหตุการณ์เหล่านี้วนเวียนไป จนกระทั่งนานวันเข้าแพทย์สงครามค่อยๆ สั่งสมความทุกข์ขึ้นในจิตใจจนถึงที่สุด เขาเอาแต่ครุ่นคิดว่า
“หากทหารที่ตายในสนามรบเหล่านั้นชะตาขาดอยู่แล้ว เหตุใดต้องมาให้ข้ารักษาจนหายก่อนค่อยไปตายอีก และหากข้ารักษาคนเจ็บจนหายดีแต่สุดท้ายเขาต้องกลับไปตายในสงคราม เช่นนั้นวิชาแพทย์ของข้าจะมีความหมายอันใด”
เมื่อคิดถึงตอนนี้ เขาจึงรู้สึกว่าการเป็นแพทย์สงครามนั้นช่างไร้ค่าสิ้นดี
แพทย์สงครามไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ จึงตัดสินใจออกเดินทางขึ้นเขาไปพบอาจารย์เซน และบอกเล่าถึงความทุกข์ใจของตนเอง ทั้งยังถามอาจารย์เซนว่า หากเหตุการณ์ยังวนเวียนอยู่เช่นนี้ต่อไปเขายังจะดำรงอาชีพเป็นแพทย์สงครามไปทำไม?
เขารั้งอยู่บนยอดเขากับอาจารย์เซน ผ่านวันเวลาเนิ่นนานในการหาคำตอบ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาจึงได้กลับลงเขามาเป็นแพทย์สงครามเช่นเดิม เนื่องจากเขาค้นพบคำตอบของคำถามนี้แล้ว
แพทย์สงครามกล่าวกับตนเองว่า
“ที่ข้าต้องทำหน้าที่ต่อไป เนื่องเพราะข้าคือแพทย์ผู้หนึ่งอย่างไรเล่า” (จากนิทานเซนคติสอนใจของจีน)
หากเราเข้าใจในภารกิจที่เรามี เราเป็น เราย่อมไม่มีความสงสัย และหากวันใดที่เราเกิดความสงสัย ตั้งคำถามแล้ว ต้องพยายามพบกับคำตอบให้ได้ อย่าปล่อยให้ชีวิตมีแต่คำถามอยู่ร่ำไปโดยมิเคยแสวงหาคำตอบ
ในวันนี้ที่สังคมมักยึดโยงวัตถุเป็นสรณะในชีวิต ความเป็นหนึ่งในชีวิตผู้คนขาดหาย เพราะวันๆ ล้วนแต่มีชีวิตอยู่บนความอยากได้ใคร่มีอย่างมิมีที่สิ้นสุด แล้วยังเที่ยวละลานใช้ความอยากไปบังคับให้คนอื่นต้องเป็นเหมือนดั่งเราด้วย และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ เรากำลังสร้างค่านิยม ขอบ่นไปทุกเรื่อง ติไปทุกด้าน เห็นอะไรนิดที่ผิดจริตตนก็ติ ก็ว่า มีแต่ติไม่เคยมีทางออกให้ใคร อยากได้นั่นได้นี่อยากให้สังคมเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ไม่เคยคิดสร้างสรรค์ หรือทำตัวเองเป็นอย่างที่ใจต้องการ การกระทำลักษณะนี้รังแต่นำความแตกแยก ขัดแย้ง มาสู่ตนเองและสังคมโดยรวม

ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความสามัคคีของคนในสังคมจะมีได้ ต้องเป็นสังคมที่มีคำตอบบ้าง อย่าได้แต่เฝ้าถามอย่างเดียว น้ำแต่ละหยดต่างที่ต่างถิ่นเมื่อไหลมารวมกัน ย่อมเป็นลำธาร สายน้ำใหญ่ เป็นต้นธารสู่มหาสมุทรสุดไพศาลฉันใด ความเป็นหนึ่งในตัวตนคนดีของเรา เมื่อหลอมรวมกัน ย่อมนำไปสู่สังคมที่เข้มแข็งฉันนั้น ใช่หรือไม่ ในวันที่ประเทศชาติเราต้องการความเป็นหนึ่งเดียว ต้องการความสามัคคี ต้องการเริ่มต้นเดินออกจากความขัดแย้ง สลายสีสลายขั้ว ไม่มัวเมาจมอยู่กับอุดมการณ์ทางการเมืองเพียงอย่างเดียวนี้นั้น เราแต่ละผู้คนต้องเข้าใจในภารกิจหน้าที่ที่เราทำอยู่ แล้วทำมันให้สุดกำลังความสามารถ เอาเวลาที่เฝ้าถามคำถามต่อคนนั้นต่อคนนี้ มาทำให้เกิดประโยชน์จะดีกว่า ร่วมกันสร้าง คืนความเป็นหนึ่งเดียวในชาติบ้านเมืองให้ได้ นี่ คือ คำตอบของเราทุกคน ณ เวลานี้...

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เขาหลัก หลักเรา

เขาหลัก หลักเรา
เขาหลัก จ.พังงา คือ จุดหมายปลายทางหลักของอีกหนึ่งภารกิจในการเดินทางลงสู่ภาคใต้ ถือว่าเป็นการมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งหลังจากห่างหายมานาน จำได้ว่าเคยไปแถวๆนั้นหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิผ่านไปได้ไม่นาน การมาเยือนครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสที่จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และชีวิตผู้คน

การขับรถจากเมืองหลวงสู่ถิ่นน้ำเค็มแห่งนี้ต้องใช้เวลาร่วมๆสิบกว่าชั่วโมง แต่ด้วยความที่ไม่ต้องรีบร้อน การเดินทางจึงเป็นแบบไปเรื่อยๆตามสถานการณ์พาไป และดังคาดในบางช่วงเจอสถานการณ์ที่เลวร้าย นั่นคือ ฝนตกลงมาแบบมืดฟ้ามัวดิน จนแทบมองไม่เห็นถนนหนทาง จากความเร็วร้อยกว่านิดๆ ต้องลดลงมาเกินครึ่ง เพราะด้วยความที่ไม่ชินทาง เพราะหนทางมีความคดเคี้ยว เพื่อนร่วมทางจากที่คุยกันอย่างสนุกสนาน ต่างเงียบกริบ ร่วมเป็นตาช่วยมองดูเส้นขอบถนนอย่างตั้งอกตั้งใจ ที่ปัดน้ำฝนเบอร์เร็วสุดก็แทบจะช่วยไม่ได้ บางจังหวะรถตกแอ่งน้ำ กระแทกจนโคลง ทำให้การเดินทางช้าลงไปอีก จึงได้ตัดสินใจแวะพักนอนค้างคืนกันที่ตัวเมืองจังหวัดสุราษฏร์ธานี พอรุ่งเช้าของอีกวัน จึงเริ่มเดินทางต่ออย่างปลอดโปร่งกับท้องฟ้าอันสดใส และทำให้เห็นความสวยงามของเส้นทางสู่เขาหลักสายนี้ ที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขาที่เขียวขจี หากเราเดินทางต่อในยามค่ำคืนโดยไม่แวะพัก เราจะเห็นความงามแบบนี้หรือ เป็นคำรำพึงเพื่อบอกตัวเองว่า ยามใดที่เจอมรสุมชีวิต พบกับความมืดมน ควรจะหยุดพักบ้าง แล้วแสงสว่าง ความงามจะบังเกิดขึ้นกับชีวิตอย่างแน่นอน
ในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนย่อมมีเป้าหมายหลักในชีวิตด้วยกันทุกคน บางคนเรียกมันว่าความสำเร็จ อาจจะเป็นความสำเร็จด้านการศึกษา ในหน้าที่การงาน  มีไม่น้อยคล้อยตามมาตรฐานของยุควัตถุนิยม ความสำเร็จสูงสุดของชีวิตจึงอยู่ที่การได้ครอบครองเงินทองให้เยอะๆเข้าไว้ เพื่อจะได้มีเงินไปซื้อบ้านหลังใหญ่ รถหรูๆ เหมือนอย่างกับที่พบเห็นบ่อยๆในโลกไซเบอร์ที่มีการส่งต่อๆกัน มีการเชิญชวนให้ร่วมทำธุรกิจ โดยที่ใครได้ร่วมงานจะได้รับเงินจำนวนมาก จะได้มีรถหรู (ลัมโบกินี) ไปเที่ยวรอบโลก แล้วก็จะนำรูปใครก็ไม่รู้ ยืนเท่ๆข้างๆรถยี่ห้อนี้ นี่เป็นการกระตุ้นความโลภในการตั้งเป้าหมายของคนยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี แล้วเพื่อไปให้ถึงยอดขายหลายคนเลยต้องเร่งรีบ รีบร้อน มุ่งมั่นมุ่งหน้าโดยมิแยแสถึงสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ดึงพี่ดึงน้องดึงเพื่อนๆนำเงินไปลงทุนธุรกิจดังว่า ไม่ช้าไม่นานเสียทั้งเงิน เสียทั้งเพื่อน ใช่หรือไม่ นี่มันก็เป็นความเห็นแก่ตัวร้ายแรงชนิดหนึ่ง และเป้าหมายสู่ความสำเร็จในลักษณะนี้ แม้จะทำยอดได้ (น้อยคนที่ทำได้) ก็ไม่เคยเพียงพอ ได้เท่านี้ก็จะต้องได้เพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จะมีสักกี่คนที่ทำได้ถ้าไม่ใช้หัวใจของความมุ่งมั่น ที่เห็นๆส่วนใหญ่ใช้หัวใจแห่งความโลภและก็ต้องตกข้างทาง ไปไม่ถึงยังเป้าหมาย
เป้าหมายชีวิตในแง่งามในนามของคนที่มีธรรมะ มีคุณธรรมในหัวใจ มักจะต้องเดินทางสู่ความดี ความจริง ความงามของชีวิต จะติดจะขัดอย่างไร ต้องใช้ความนิ่ง ความสงบสยบความวุ่นวายภายในให้เป็น แต่ก็ต้องไม่มุ่งมั่นเกินไป มิเช่นนั้นจะเกิดกิเลส เกิดโลภในความดี นี่ก็เป็นความเห็นแก่ตัวอีกชนิดหนึ่งเหมือนกัน บนหนทางนี้เราต้องเรียนรู้อยู่กับความพอดี ไม่รีบเร่ง ไม่กระเสือกกระสน ในทางตรงกันข้ามต้องไม่นิ่งเฉย เฉื่อยชาเกินไปด้วย การมุ่งสู่เป้าหมายชีวิตแบบนี้สิ่งหนึ่ง คือ เราต้องไม่ทำเพื่อตัวเองฝ่ายเดียว ต้องมองเห็นเพื่อนร่วมทางด้วย จะแซงจะผ่านใครไป ต้องดูด้วยว่าเขามีอะไรให้เราช่วยเหลือบ้างไหม ความสมบูรณ์ของชีวิตเรา คือ ความสมบูรณ์ของสังคมโดยรวมด้วย
ระหว่างคนสองกลุ่มนี้มีเป้าหมายในชีวิตแตกต่างกัน ในระหว่างทางหากพบเจอกับปัญหา ความทุกข์ยากขวากหนามขวางกั้น ใครเล่า ? ที่จะสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ….
คนกลุ่มแรกต้องยอมแลกด้วยเงินทองที่สะสมมา และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะเอาชนะ และที่สุดสิ่งที่ได้มาอาจจะไม่ได้ดั่งหวัง จึงท้อแท้ สิ้นหวัง เที่ยวโทษนั่นโทษนี่อยู่ร่ำไป จนกระทั่งไม่พบกับความสุขที่แท้จริง แม้ชีวิตจะเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เพราะยิ่งมีมากย่อมต้องคืนกลับสู่โลกมากด้วยเช่นกัน นี่เป็นวิถีทางการจัดสมดุลของพระผู้สร้างที่มอบให้แก่โลกใบนี้ คนกลุ่มนี้ในบางครั้งก็จะขับเคลื่อนชีวิตอย่างเร่งรีบ จะฝ่าฝน ฝ่ามรสุมอย่างบ้าคลั่งและคิดว่าเป็นผู้ชำนาญทาง แต่ครั้นเมื่อต้องเจอกับอะไรที่มาตัดหน้า มาบีบบังคับ เป็นไปได้สูงมาก ที่จะพลัดตกทาง ลงเหว
ต่างกันกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มุ่งชีวิตอยู่กับเรื่องความดีและความงาม คนกลุ่มนี้พร้อมเข้าสู่ปัญหาที่เข้ามาในชีวิต แล้วใช้สติ ความรอบคอบ รอบรู้ เรียนรู้ แล้วควบคุมพวงมาลัยชีวิตอย่างมั่นคง ให้มุ่งสู่เป้าหมาย ดูแลเพื่อนร่วมทางอย่างระแวดระวัง หยุดพักบ้าง แวะชมดอกไม้  ลำธาร ขุนเขา ร้านรวงริมสองข้างทางบ้าง ความสดชื่นรื่นรมย์ย่อมมีมาให้ประสบในชีวิตเสมอๆ


แล้วอะไรเล่าที่จะเป็นเครื่องชี้นำทางเราสู่หลักชัยที่แท้จริงได้ เสียงมโนธรรม การมีสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี สิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้มโนสำนึก คือ การสวดวอนขอให้พระจิตนำทาง การให้พระจิตเป็นเข็มทิศในชีวิต ย่อมนำมาซึ่งการตัดสินใจที่ถูกต้องเสมอ ใช่หรือไม่ บ่อยครั้งเรามักตัดสินใจมุ่งหน้าเดินทางด้วยอารมณ์พาไป ทั้งๆที่ภายในเตือนว่า “หยุดพักเถอะ ข้างหน้ามันอันตราย” แต่ด้วยทิฐิเราไม่สนใจ เพื่อหวังให้ถึงเส้นชัยเป้าหมายโดยพลัน...สุดท้ายแล้วเราก็จะพบกับความสูญเสีย การหยุดพักบ้าง ไม่นานก็จะพบกับผลของการรอคอยนั่นคือ ความสมหวัง

การเดินทางเรายังต้องพึ่ง GPS Google Map นำทาง แล้วในชีวิตจริงเราได้ให้พระจิตเจ้านำทางเรามากน้อยเพียงใด ถ้ายังไม่รู้ ลองนั่งนิ่งๆเงียบๆ แล้วฟังเสียงที่จะบอกว่าเราควรเดินทางต่อไปอย่างไร...