เราเป็นใครในครั้งนั้น
ในเส้นทางสู่ปัสกา ชัยชนะเหนือความตายของพระเยซูเจ้านั้น
มีผู้คนมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมอยู่ในเหตุการณ์
ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ หลายคนจงใจทำร้ายทำลายพระองค์ หลายคนมิได้มีเจตนา
บางคนทำไปเพราะหน้าที่ บางคนทำไปเพราะสัญชาตญาณ บางคนแค่เพียงผ่านมาพบเห็น
บางคนมีอารมณ์ร่วมสาธารณะ ในรอบปีหนึ่งๆที่ผ่านมาแล้วผ่านไป
หากมองย้อนกลับไปเราก็คงเหมือนใครหลายๆคนที่ได้ร่วมในเส้นทางแห่งความตาย
แห่งความทุกข์ของบุคคลอื่น
ปิลาโต : ผู้ตัดสินประหารชีวิตพระเยซูเจ้า โดยมอบให้พวกชาวยิวไปจัดการตรึงกางเขนกันเอง
หลังจากตัดสินแล้ว เป็นความเชี่ยวทางการเมืองอีกชนิดหนึ่ง
ที่เอาใจฝูงชนผู้กำลังบ้าคลั่งทำตามคำยุยง
แล้วหาทางออกพ้นผิดด้วยการโยนภาระมัดมือคนอื่นแทนตนเอง ใช่หรือไม่
บ่อยครั้งเราก็มักเป็นเช่นปิลาโตที่ตัดสินผู้อื่นด้วยความรู้สึก เพื่อปกป้องตัวเอง
ตัดสินแล้วก็ไม่สนใจถึงความถูก - ผิด ไม่รับผิดชอบในคำตัดสิน
และโยนให้คนอื่นรับผิดชอบต่อแบบหน้าตาเฉย
คนเราทุกคนมีสัญชาตญาณในการป้องกันตัวเองอยู่แล้ว
จึงมักไม่ยอมให้ตัวเองต้องเป็นคนผิดหรือเมื่อทำผิดก็พยายามหาเหตุหาผลมาลบล้าง
และทางที่ดีที่สุดนั่นคือ การชิงความได้เปรียบด้วยการรีบตัดสินคนอื่นก่อนที่จะถูกคนอื่นตัดสิน
บรรดาสมณะ : ผู้อิจฉาพระเยซูเจ้า
จึงจ้องจับผิด จ้องที่จะทำร้ายชื่อเสียงพระองค์ในทุกรูปแบบ
จนกระทั่งทำให้ตายไปข้างหนึ่ง ความเจ็บปวดของโลกมนุษย์เรานั้น
ส่วนหนึ่งเกิดมาจากความอิจฉาตาร้อน เห็นคนอื่นดีกว่าตนไม่ได้
เมื่ออิจฉาแล้วไฟที่รุ่มร้อนก็จะลุกโชกโชนเผาไหม้กลายเป็นความเกลียดชัง
ใครเล่าเกิดมาไม่เคยอิจฉา แต่มีคนไม่น้อยที่ปล่อยให้ความอิจฉาเป็นเครื่องนำพาไปสู่ความโหดร้าย
หากเราใช้ความใจเย็นราดรดไฟเพลิงแห่งความอิจฉา ความแก่งแย่งแข่งขันก็จะน้อยลง เรายังเป็นเช่นพวกสมณะในครั้งนั้นในวันนี้อยู่หรือเปล่า
ฝูงชน : ผู้ไหลตามกระแส
กลุ่มคนที่ตะโกนให้ตรึงกางเขนพระเยซูเจ้า คงมีไม่น้อย
คือคนที่ไปแห่แหนต้อนรับพระองค์ในวันที่พระองค์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม
คนเราถ้าได้รวมกลุ่มกัน มีความเชื่อความศรัทธาคล้ายๆกัน ย่อมง่ายมากที่จะถูกโน้มนำให้ทำตามๆกันไป
พอได้ยินใครพูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็พลอยคล้อยเชื่อตามไป
และก็กลายเป็นหนึ่งที่ถูกนำไปแอบอ้างเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายผู้นำเสมอๆ
ในยุคที่เรามีโลกกว้าง กระแสธารแห่งข่าวสารที่ใหญ่โต
มีเครื่องมือชั้นเลิศที่จะเข้าถึงข้อมูล แต่เรามักจะถูกกระแสแรกรับจู่โจมโหมให้เชื่อและทำตามก่อนเสมอๆ
เมื่อเชื่อและก็พร้อมทำตามใครว่าอะไรก็ว่าด้วย
มีไม่น้อยที่เราเป็นเหยื่อแห่งการตัดสินลงโทษคนอื่นโดยมิได้รับข้อมูลตามความจริงมาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
เพราะอารมณ์ในกระแสแรงกว่าเหตุผลทางคุณธรรม
คนใจงามหลายคน : ในระหว่างทางกางเขนที่ต้องทนแบกรับ
พระเยซูเจ้าได้พบเจอหลายคนที่แทบไม่ได้มักคุ้นกันมาก่อน แต่มีน้ำใจ มีความสงสาร ให้ความบรรเทา
ช่วยแบกกางเขน และร่วมเดินเคียงข้างเป็นกำลังใจอย่างเงียบๆ
เราคงเคยได้รับสิ่งเหล่านี้มาบ้าง และในบางครั้งเราก็อาจจะเป็นคนทำอย่างนั้นให้ใครมาบ้างตามเส้นทางการดำเนินชีวิต
มันเป็นความรู้สึกสุขที่เราได้ทำให้ใครบางคนได้บรรเทาทุกข์ลงบ้าง
ไม่จำเป็นต้องมาคุ้นเคย มาสนิทเป็นเพื่อนมิตรสหายกัน การช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆอาจจะสร้างรอยสุขได้มากกว่าคนสนิทที่ทำรอยทุกข์เล็กๆให้เกิดขึ้นเป็นไหนๆ
ในโลกที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว
แต่ในตัวเราแต่ละคนนั้นมีซอกเล็กๆแห่งความเมตตาอยู่เสมอ นำออกมาใช้บ้าง
เพื่อลบรอยความเห็นแก่ตัวให้หดหายไปบ้าง
แทบเชิงกางเขนเหลือเพียงไม่กี่คนที่อยู่กับพระองค์
โยเซฟ ชาวอริมาเทีย : ผู้ที่ชื่นชอบพระองค์แต่แสดงออกมาไม่ได้ อันเนื่องเพราะหน้าที่การงานที่ไม่เอื้ออำนวย
ได้ช่วยเหลือจัดการเรื่องหลุมฝังศพให้พระองค์อย่างเรียบร้อย
ในชีวิตจริงของคนเรามักเจอคนหลากหลายประเภท เพื่อนฝูง เพื่อนกิน
เพื่อนเที่ยวนั้นมีเยอะ พอเอาเข้าจริง เจอทุกข์จริง เจ็บตัวจริง
เพื่อนฝูงก็คงเหลือไม่มาก ในมุมกลับกันเราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กับใครบ้างเล่า
และถึงแม้มิได้สนิทถึงขั้นเป็นเพื่อน เราเคยทำอะไรให้กับคนที่เราชื่นชอบบ้างไหม
เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นก็ได้ ทำอย่างเงียบๆช่วยจัดการความทุกข์ให้กับผู้อื่นโดยมิต้องโอ้อวด
เราผ่านสิ่งเหล่านี้มาบ้างหรือยัง
ในรุ่งเช้า ทหารยาม : ผู้ที่ยืนเฝ้าหน้าอุโมงค์หลุมศพพระเยซูเจ้า
ที่ยืนอยู่ดีๆหลุมศพเปิดออกเอง
แผ่นหินใหญ่ขนาดนั้นจะเคลื่อนได้ง่ายๆคงเป็นไปไม่ได้ เห็นแล้วถึงกับตกใจวิ่งหนี
ในชีวิตจริงเราบางครั้งมีอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมายอย่างที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว
แทนที่จะดีใจ ขอบคุณที่ได้พบเห็น เรากลับหันหลังให้ มีบ้างบางครั้งถึงกับหนีหายไป
เรามักจะสวดอ้อนวอนขออัศจรรย์ ให้เห็นจะๆไป พระเจ้าอาจจะบอกกับเรามาว่า “เราทำให้แล้วไง
ทำไมท่านมองไม่เห็นล่ะ”
อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากคำพูดน่ารักๆของลูกๆหลานๆ
อัศจรรย์ของวันเวลาที่แสงแห่งวันเกิดขึ้นเสมอๆ และอื่นๆอีกมากมายในนามความงดงาม
มารีย์วิ่งนำหน้าเปโตร : มาที่หลุมฝังพระศพ เปโตรผู้ปฏิเสธพระเยซูเจ้า
สำนึกผิดมาเฝ้ารอพระองค์พร้อมกับเหล่าอัครสาวกและคนใกล้ชิดพระเยซูเจ้า
เมื่อรู้ว่าพระองค์กลับคืนชีพจริงเปโตรถึงกับเข่าอ่อน วิ่งแทบไม่ไหว
คนที่เราปฏิเสธ คือ พระเจ้าจริงๆ เราอยู่กับพระองค์ตลอดแต่กลับไม่เชื่อ
ชีวิตเรามักเป็นเช่นนั้น อยู่กับสิ่งที่มีแต่กลับไปหวังสิ่งที่ไม่มี
บางครั้งเราก็ไม่กล้าที่จะขอโทษ เพราะรู้สึกผิดมากเกินกว่าจะให้อภัย
เราจึงไม่กล้าก้าวออกไป เราจึงจมอยู่กับอดีตที่ผิดมหันต์ของเรา แต่พระเจ้าให้อภัยเราเสมอ
เส้นทางชีวิตเรามักเป็นอะไรได้หลากหลาย วันนี้เราอาจจะเป็นคนอย่างนั้น เป็นคนเช่นนี้
สิ่งที่เราต้องก้าวข้ามผ่านให้ได้ คือ การผ่านจากการทำผิดซ้ำๆซากๆ ก้าวผ่านจากความเป็นคนเก่า
เพื่อเราจะได้กลายเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นเสมอๆ สุขสันต์วันปัสกาแด่ทุกๆท่านครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น