ตัดเพื่อต่อ
“ตัดต่อ” เป็นคำที่คนในแวดวงทำงานด้านสื่อบันเทิงมักรู้จักกันเป็นอย่างดี
เป็นขบวนการผลิตขั้นสำคัญก่อนที่จะนำผลงานออกสู่สาธารณชน “การตัดต่อ” ถือเป็นศิลปะการเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูหรือผู้รับสารเข้าใจและมีส่วนร่วมกับงานชิ้นนั้นไปด้วย
ในการประกวดประกาศรางวัลที่เกี่ยวกับรายการบันเทิงทั้งระดับโลก และระดับประเทศ จะต้องมีการให้รางวัลการตัดต่อหรือลำดับภาพยอดเยี่ยมเสมอๆ
และผู้ทำงานด้านนี้มักไม่ค่อยมีใครรู้จัก เพราะจะทำงานอยู่เบื้องหลังมากกว่า ถึงแม้ว่าการแสดง
เนื้อหา แสงสี จะดีสวยงามแค่ไหน หากคนที่นำมาประกอบ มาลำดับเรื่อง ไม่เข้าใจ
ไม่ใส่ใจ ไม่คำนึงถึงความต่อเนื่อง
ภาพยนตร์หรือรายการนั้นก็จะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้คนได้ “การตัดต่อ” ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ใช้เวลานาน บางงานเพียงแค่
30 วินาที ต้องทำงานกันเป็นวันๆหรือหลายๆวันเลยก็มี ฉะนั้นแล้วคนที่ทำงานด้านนี้อย่างจริงจังต้องมีทั้งความรู้
ด้านการผลิตรายการและมีศิลปะ รวมทั้งเรื่องของจรรยาบรรณอยู่ด้วย
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
แต่เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เทคโนโลยีเอื้ออำนวย
ขนาดบนมือถือก็ยังสามารถใช้ตัดต่อได้ ใช้สร้างภาพยนตร์สั้นๆได้อย่างสบายๆ เป็นยุคที่ความรู้สามารถเสาะหาง่าย
แต่เมื่อหาได้มาง่ายๆ ความรู้ที่ใช้กัน จึงเป็นความรู้แบบตื้นเขิน และใช้เป็นเกราะกำบัง
ใช้เพื่อข่มขวัญผู้อื่น ใช้ความรู้พื้นๆนั้นมาเบ่งมาโอ้อวดกัน หาได้รู้แบบลงลึก เจาะลึกลงไปในแขนงนั้นๆไม่
คนยุคนี้มีไม่น้อยที่มีความรู้มากมายแต่ไม่เคยรู้ลึกรู้จริงสักเรื่อง
นี่แหละคนยุคเทคโนโลยีครองเมือง เมื่อผสมผสานกับการตลาดที่เอาใจผู้บริโภค
บริษัทผู้คิดค้นจึงเอาเปลือกของโปรแกรมหรือเรียกว่าเอาขั้นตอน “ผิวๆ” มาใส่ไว้ในสมาร์ทโฟน ในแท็บเล็ต มีแค่เครื่องๆเดียวสามารถผลิตรายการทั้งรายการได้
ซึ่งถ้าเป็นคนที่มีความรู้ทางด้านนี้มาก่อน ก็สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมการทำงาน
ลดขั้นตอน ย่นระยะเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ในยุคที่เราอยู่บนความฉาบฉวย
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจึงถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการประหัตประหารผู้อื่น ผู้ที่คิดต่าง
มีการสร้างเรื่องราว แอบถ่าย แอบหลุดลอด ให้มาอยู่ในสังคมเครือข่าย ยิ่งเป็นด้านมืด
ด้านบกพร่องของคนอื่น ยิ่งเป็นเหมือนการเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นมากไปอีกหลายเท่าตัว
เราจึงเห็นเรื่องราวที่รวมๆเรียกว่า “คลิป clip” (คลิป ตามความหมายแล้ว คือ ช็อตแต่ละช็อต
ที่ถ่ายทำโดยมิได้มีการตัดต่อ) อยู่บนโลกไซเบอร์มากมาย
ซึ่งจริงๆล้วนถูกนำไปตัดต่อ ร้อยเรียงแบบจงใจ แต่พยายามทำให้ดูแบบไม่จงใจ
ฉะนั้นสังคมที่เต็มไปด้วยการตัดต่อลวงโลกไร้ศิลปะไร้จรรยาบรรณ เช่นนี้ จึงเป็นการ “ตัดตาย”มากกว่า “ตัดต่อ”
อีกลักษณะหนึ่งที่เราเห็นเป็นข่าวมากมาย
คือ การตัดต่อภาพถ่าย จริงๆควรใช้คำว่า “ตัดแต่ง” จึงจะเข้ากับความหมายมากกว่า
เป็นการนำหลายๆภาพมาตัดแต่งเอาส่วนนี้ของภาพนี้ เอาส่วนนั้นของภาพนั้นมาใส่เพื่อให้เกิดภาพใหม่ที่สื่อความหมายต่างไปจากเดิม
สิ่งนี้กลายเป็นเครื่องมือที่นำมาทำร้ายคนอย่างมากในสังคมอุดมความขัดแย้ง
คนเห็นก็เชื่อไว้ก่อน เพราะคนเราใช้สายตาตัดสินมากกว่าการใช้หัวใจอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
ย้อนกลับสักเมื่อราว 20 กว่าปีก่อน คอมพิวเตอร์เพิ่งจะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกด้านรวมทั้งงานกราฟฟิคทางงานสื่อด้วย
การตัดแต่งภาพในแต่ละภาพผู้สร้างสรรค์งานจะใช้เวลานานมาก นาน...เพราะความเร็วของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ไม่ได้รวดเร็วเหมือนปัจจุบัน
นาน...เพราะพยายามทำให้ภาพออกมาเสมือนจริงมากที่สุด ให้ใช้แสงเงา ความสมดุลของภาพ
ขนาดและองค์ประกอบ ต้องถูกสัดถูกส่วน เพื่อให้เกิดภาพที่สมเหตุสมผล เกิดมิติมากที่สุด
ด้วยความนานนี้เองทำให้มีเวลาพินิจพิจารณาได้อย่างถี่ถ้วน มีส่วนเกินเพียงแค่ขีดเล็กๆ
ก็ต้องกำจัดให้ออกไป ยิ่งใช้เวลายิ่งเพิ่มความสุขุมรอบคอบ การคัดเลือกคัดสรรภาพมาประกอบ
ก็ต้องไม่ละเลยความสมจริง ไม่ต้องแต่งเติมอะไรให้มากเกินไปนักเดี๋ยวจะสูญเสียความเป็นจริง
และภาพที่ทำนั้น ต้องไม่เป็นภาพที่ใช้เพื่อการกลั่นแกล้งใคร
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน ความรวดเร็วมีมากขึ้น
ความละเลยต่อความจริงยิ่งมากกว่าหลายเท่าตัว เราจึงเห็นภาพต่างๆที่สวยงามเกินจริง
สร้างเทียมขึ้นมาใหม่ เรียกว่านำไปตัดต่อใหม่จนแทบจำของเดิมไม่ได้ อยากจะเพิ่มจำนวนผู้คนในท้องถนนให้มากแค่ไหนก็ทำได้
อยากจะให้ภาพที่ปรากฏออกไปว่ามีผู้คนให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์ ในบริการของเรามากแค่ไหนก็ทำได้
อยากจะทำร้ายทำลายชื่อเสียงใคร แค่ตัดต่อภาพเชื่อได้เลยอย่าง 50% ของคนที่ได้เห็นภาพจะเชื่อในทันที นี่เป็นพิษสงของการตัดต่อภาพในยุคใหม่
ยุคที่มีเครื่องมือที่มั่นคงแข็งแรงแต่จิตใจอ่อนไหวอ่อนแอเหลือเกิน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
เมื่อเห็นภาพที่นำมาตัดแต่งให้มีคนจำนวนมากมายบนท้องถนนแล้ว ก็อดนึกถึงวันเวลาที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มไม่ได้
ที่มีผู้คนมากมายออกมาแห่แหนมาต้อนรับพระองค์ ถ้าเป็นสมัยเราคงมีคนนำภาพมาโพสต์ขึ้นเฟสบุ๊คแน่นอน
หรือไม่อาจจะมีคนที่หวังดีนำไปตัดแต่งให้เห็นฝูงชนสุดลูกหูลูกตาที่มาต้อนรับพระองค์
เป็นการช่วยให้พระองค์เป็น “แกนนำ” ประชานชนอย่างสมบูรณ์แบบ แต่พระเยซูเจ้าคงไม่ต้องการคนจำนวนมากมายเช่นนั้น
เพราะทรงทราบว่าอีกไม่กี่วัน ก็จะไม่มีใครอยู่เคียงข้างกับพระองค์แล้ว บนกางเขนนั้นพระองค์ต้องการจะสอนเราให้รู้จักตัดต่อทางด้านจิตวิญญาณเพื่อเพิ่มคุณค่าให้ตัวเรา
ให้กับสังคม ให้กับโลกนี้ เราต้องเรียนรู้การ “ตัด” ตัวเอง เพื่อ “ต่อ” ยอดให้เกิดสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่มีคุณค่า
นี่จึงเป็นการตัดต่อที่เราควรจะศึกษา เป็นศิลปะการดำเนินชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น