ชีวิตจริงไม่มีอะไรแน่นอน
ในโลกวันนี้ เราล้วนแล้วแต่จมปลักอยู่กับความเห็นแก่ตัว
และชอบที่จะเข้าครอบครองพื้นที่ของคนอื่นอยู่ร่ำไป ในยุคข้อมูลข่าวสารที่เต็มไปด้วยการเบียดบัง
เต็มไปด้วยข้ออ้าง อวดอ้าง แอบอ้าง และข่มขู่ผู้ด้อยกว่า มีการรับรู้เหตุการณ์ทั่วโลกได้อย่างทันใจเพียงลมหายใจเข้าออก
เราก็ยิ่งถูกโถมทับด้วยอำนาจอยากได้ใคร่มี ทั้งๆที่ในบางเหตุการณ์นั้นได้เป็นการย้ำเตือนเราว่า
แท้จริงแล้วชีวิตเราไม่มีอะไรแน่นอน มีแต่ต้องนอนถาวรแน่ๆไม่วันใดก็วันหนึ่ง
วันนั้นต่างหากที่จะบอกว่าชีวิตเรา มีความจริง ความงาม ให้ปรากฏเห็นกับใคร มากน้อยแค่ไหน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ความไม่แน่นอนในวิถีการดำเนินชีวิตนั้นเกิดได้เพียงชั่วพริบตา
หากใครได้ติดตามข่าวของนักขับรถแข่ง F1 ผู้ครองแชมป์มาไม่รู้กี่สมัยต่อกี่สมัย จนชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
“มิชาเอล ชูมัคเกอร์” หลังจากที่เริ่มอิ่มตัวกับความเร็วในสนามแข่งรถ
และการครองความเป็นหนึ่งมาหลายสมัย เขาจึงใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น กำลังเริ่มต้นวิถีชีวิตแบบใหม่อย่างมีความสุข
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
อดีตยอดนักซิ่งวัย
45 ปี มีอาการโคม่า และนอนรับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองเกรอน็อบล์ ตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา
หลังประสบอุบัติเหตุตอนเล่นสกีในรีสอร์ต เมอริเบล บนเทือกเขาแอลป์ส
ทางฝั่งประเทศฝรั่งเศส จนศีรษะกระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างจัง ซึ่งก่อนหน้านี้เแพทย์เคยมีแผนจะปลุกเขาจากอาการโคม่า
แต่ก็ต้องยกเลิกไป หลังอาการของเขาทรุดลง ครอบครัวของตำนานแห่งศึกฟอร์มูลาวัน
( F1 ) เชื่อว่า ชูมัคเกอร์ จะต้องกลับมาลืมตาดูโลกอีกครั้ง หลังเริ่มแสดงสัญญาณตอบสนองบ้างเล็กน้อย
ระหว่างนอนรักษาตัว จากอุบัติเหตุขณะเล่นสกี
ทั้งนี้
มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ยังได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์ หลังผ่านการผ่าตัด 2 ครั้ง
เพื่อนำเลือดที่คั่งในสมองออก และกำลังอยู่ในกระบวนการให้ฟื้นขึ้น
ซึ่งจะต้องใช้เวลานานพอสมควร ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า มิชาเอล ชูมัคเกอร์
จะเป็นเจ้าชายนิทรา หรือ หากลืมตาขึ้นก็จะอยู่ในภาวะทุพพลภาพ
อย่างไรก็ตาม
ล่าสุดมีการเปิดเผยว่า เจ้าของแชมป์โลก เอฟ วัน 7 สมัย กำลังดูมีอาการดีขึ้นเล็กๆ
แล้ว ซึ่งนั่นส่งผลให้ครอบครัวของเขามั่นใจว่า ชูมัคเกอร์
จะเอาชนะความยากลำบากครั้งนี้ และลืมตาขึ้นมาดูโลกได้อีกครั้งอย่างแน่นอน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ครอบครัว
ชูมัคเกอร์ กล่าวว่า “เป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะยอมทำความเข้าใจได้ว่า มิชาเอล
ซึ่งเคยเอาชนะสถานการณ์ที่อันตรายมาได้หลายครั้ง
กลับได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากเหตุการณ์ธรรมดาๆ มันเห็นได้ชัดตั้งแต่แรกแล้วว่า
นี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน และยากลำบากสำหรับ มิชาเอล และเราจะร่วมต่อสู้ในครั้งนี้ไปพร้อมๆ
กับทีมแพทย์ที่เราเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม”
ชูมัคเกอร์
ได้เข้าร่วมการแข่งขันรถสูตรหนึ่งครั้งแรกในรายการเบลเยี่ยมกรังปรีซ์ ในปีค.ศ. 1991 ในฐานะนักแข่งตัวสำรองให้กับแบร์ทรอง
กาโชต์ที่ถูกจำคุก ซึ่งชูมัคเกอร์ก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยการเข้ารอบคัดเลือกได้เป็นอันดับเจ็ด
ต่อมาเขาก็ได้เข้าร่วมทีมเบเนตอง-ฟอร์ดในการแข่งขันครั้งต่อมา
และได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันมากล้นในทันที ในปีถัดมา (ค.ศ. 1992) เขาก็ชนะการแข่งขันรถสูตรหนึ่งรายการแรกที่เบลเยี่ยมกรังปรีซ์
และได้อันดับที่สามในการจัดอันดับนักแข่งของรายการ
เขาสามารถเอาชนะการแข่งขันในสี่สนามแรกของฤดูกาลได้
และชนะการแข่งขันรวมทุกครั้งในเจ็ดครั้งแรก ในสองฤดูกาลแรกที่ชูมัคเกอร์ เข้าแข่ง
เขาชนะการแข่งขัน 17 สนาม ได้ขึ้นโพเดี่ยม 21 ครั้ง ได้ตำแหน่งโพล 10
ครั้ง และในการแข่งขันทั้งหมด 31 ครั้ง
มีเพียงครั้งเดียวที่เขาได้รับการคัดเลือกเพื่อออกสตาร์ทได้ต่ำกว่าอันดับที่ 4
นี่เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง
ในสนามประลองความเร็วที่ต้องอาศัยสายตาให้ยอดเยี่ยม แต่ในวันนี้ในสนามชีวิตจริง
เขากับต้องต่อสู้เพื่อให้สามารถลืมตามองดูโลกอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อได้อ่านข่าวนี้เมื่อปลายๆปีที่แล้ว
และได้ติดตามข่าวอาการของเขามาอย่างต่อเนื่อง
เพราะชื่นชอบในการขับรถแข่งของเขาเป็นการส่วนตัวมาอย่างยาวนานและด้วยความปรารถนาให้
“ชูมัคเกอร์” ฟื้นกลับมาเป็นปกติ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
มีสิ่งหนึ่งที่สะท้อนสะเทือนเป็นอย่างมากจากเรื่องของชูมัคเกอร์
นั่นคือ ความไม่แน่นอนของชีวิต ชีวิตนักเร่งความเร็วที่สามารถควบคุมเครื่องยนต์
บังคับพวงมาลัยอย่างยอดเยี่ยม มองเห็นเส้นทางและตัดสินใจในสนามได้อย่างเยือกเย็น กลับต้องมาล้มลง
หัวกระแทกพื้นบนลานหิมะ โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เอาเข้าจริงคนเราที่มักคิดว่าเราควบคุมบังคับโน่นนี่นั่นได้
แต่เราก็มิอาจจะควบคุมชีวิตให้อยู่ตลอดรอดฝั่งได้ สำหาอะไรกับการที่เรา
เที่ยวไปควบคุมกำกับ บังคับ ผู้อื่นให้เป็นอย่างที่เราคิด
แล้วคิดว่าเราสายตากว้างไกล เห็นโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง มองขาดในทุกกรณี จึงยึดมั่น
ในความเป็นตัวเองที่คิดว่าเก่งฉลาดเลิศล้ำอย่างสุดโต่ง แต่เอาเข้าจริงมีเพียงความไว้วางใจในพระเจ้า
แล้วประพฤติปฏิบัติตนตามหนทางธรรมเท่านั้น
ที่จะทำชีวิตของเราให้อยู่ในโลกอย่างมีความสุข เพราะแท้จริงแล้วชีวิตนี้ไม่ใช่ของเราเลย
พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกเพื่อพยายามเปิดตาเรา
ให้มองเห็นความจริงในโลกนี้ วันนี้เราอย่าปล่อยให้โลกปิดตาเราให้มืดมัวด้วยความอยากได้ทุกสรรพสิ่งมาครอบครอง
ใช่หรือไม่ ....บางครั้งที่เราก้าวย่างเดินไป เรามองไม่เห็นพระเจ้าเลย เพราะมัวเห็นแต่ตัวเราเท่านั้น...