ทำด้วยตัวเองหรือทำเพื่อตัวเอง
D.I.Y. Do It
Yourself
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศสหรัฐอเมริกา
เกิดภาวะชะงักงันเพราะหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯบางส่วนต้องปิดทำการในวันอังคารที่ 1 ต.ค.
นับเป็นครั้งแรกในรอบระยะเวลา 17 ปี
หลังจากรัฐสภาสหรัฐฯไม่สามารถประนีประนอมยุติศึกงบประมาณประจำปีได้
ประธานาธิบดีโอบามา แถลงจากทำเนียบขาวและถ่ายทอดทางทีวีทั่วประเทศเตือนว่า
การปิดหน่วยงานรัฐอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เข้าที่เข้าทาง ภายหลังจากการถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
การปิดหน่วยงานรัฐเพียงไม่กี่วัน
ไม่น่าจะสร้างปัญหาใหญ่โตอะไรให้แก่เศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จำนวนมาก
ประเมินว่า หากสถานการณ์นี้ยืดเยื้อนาน 2 สัปดาห์ จะทำให้อัตราการเติบโตของสหรัฐฯ หายไป 0.3% การปิดหน่วยงานรัฐยังส่งผลร้ายแรงต่อลูกจ้างที่ถูกพักงาน
ซึ่งอาจต้องนำเงินออมมาใช้ ระงับการจ่ายหนี้บ้าน การผ่อนรถ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อโลกนี้เป็นอย่างมาก
ทำให้หลายคนเริ่มวิตกว่าระบบเศรษฐกิจของโลกจะตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ลงหรือเปล่า อดคิดไม่ได้ว่า
ที่สุดแล้วมนุษย์เราก็ต้องกลับมาสู่จุดเดิม นั่นคือ การทำอะไรด้วยตัวเอง
ปลูกพืชผักกินเอง ประดิษฐ์เครื่องใช้ไม้สอยเอง
สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อหลายปีก่อน จนกระทั่งกลายเป็นกระแสที่เรียกว่า D.I.Y. = Do it yourself แปลว่า “ทำมันด้วยตัวคุณเอง” อะไรที่พอจะทำได้ก็ทำด้วยตัวเอง
ประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
D.I.Y. เป็นที่นิยมนั้นเริ่มมาจากในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
ผู้คนเริ่มที่จะทำอะไรด้วยตนเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายลง เช่น ปลูกผักกินเอง
นำสิ่งของเครื่องใช้เก่าๆมาซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
ประดิษฐ์สิ่งต่างๆขึ้นใช้เอง
กระแสของ
D.I.Y. ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก
เมื่อระบบเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติ ผู้คนตกอยู่ในทุนนิยมและบริโภคนิยม
กระแสการทำสินค้าขึ้นเองหรือทำจากมือ ก็กลายเป็นทางเลือกในการผลิตสินค้าเพื่อการค้าขาย
และพัฒนารูปแบบขึ้นมาเรื่อยๆจนกลายเป็นค่านิยม “เราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง” ในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ถูกปลูกฝังมาให้เป็นคนมั่นใจในตัวเอง
และต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง อย่าพึ่งพาคนอื่น และเมื่อทำอะไรต่อมิอะไรได้ด้วยการลองผิดลองถูกได้แล้ว
มันก็ก่อให้เกิด “จินตนาการ” ที่นำไปสู่สิ่งประดิษฐ์และการพัฒนาสิ่งใหม่ๆในโลกตามมา
อย่างที่เราเห็นๆอยู่ว่ามีสิ่งเกิดใหม่เกิดขึ้นแทบทุกวินาที
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การที่เราไม่ต้องพึ่งพาใคร ทำอะไรก็ได้ไม่ง้อใคร หาข้อมูลเอง คิดเองเออเอง
ใช้เพียงเครื่องมือล้ำสมัยเป็นผู้ช่วย แล้วก็คิดเลยไปว่า “คงไม่มีใครเก่งกว่า เหนือกว่าเราอีกแล้ว”
ค่อยๆกลายเป็นความยโส และความเห็นแก่ตัวก็ครอบงำ นี่จึงเป็นที่มาของสังคมสมัยใหม่ที่เป็นสังคมตัวใครตัวมัน
ไม่สนใจคนอื่น ไม่ใส่ใจคนรอบๆข้าง
ยิ่งในยุคที่มีเวทีที่จะให้แสดงตัวตนอย่างเต็มที่ด้วยการอ้างถึงสิทธิ
อ้างถึงความเป็นประชาธิปไตย ในสังคมเครือข่าย สังคมเสมือนจริงจึงเต็มไปด้วยคนอวดรู้
อวดเก่ง วิพากษ์วิจารณ์ แสดงอารมณ์อย่างไร้กรอบ อยากโชว์อะไรที่ตัวเองทำได้
ก็แค่โพสต์ ผู้คนที่เต็มไปด้วยการอยากแสดงออกก็จัดให้เต็มที่ มีบ้างถึงขั้นตั้งตนเป็นคนตัดสิน
เป็นผู้พิพากษา แถมเมื่อมีบางสิ่งที่อ่านที่เห็นแล้วไม่ตรงกับจริตตัวเองก็ใส่ไม่ยั้ง
ถึงขั้นหยาบคายก็เยอะ สภาพสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลงแบบที่เราไม่รู้ตัว
แล้วเราเองก็อาจจะกลายเป็นหนึ่งในนั้นที่แสดงอะไรออกไป ใช่...สิ่งนั้นมันแสดงความเป็นตัวเราแต่มันกลับไปทำร้ายคนอื่น
ในสภาพแบบนี้เราเสมือนหนึ่งปล่อยให้มารร้ายครอบครองเราโดยไม่รู้ตัว
D.I.Y. มีข้อดีมากมาย เป็นการทำให้เราเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้น มีความเป็นตัวตนอย่างสมบูรณ์
ไม่เป็นลูกแหง่ที่ทำอะไรก็ไม่เป็น ปล่อยให้ถูกคนอื่นชักจูงได้ง่าย ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
เดินตามความฝันความถนัดของตัวเอง ไม่เป็นภาระกับใคร นำไปสู่การพัฒนาต่อยอด
การทำอะไรด้วยตัวเองนั้นเป็นต้นธารของการเติบโตขึ้น การพัฒนาความเป็นคน แต่การที่จะไปสู่ความเป็นคนครบบริบูรณ์นั้น
เราต้องนำต้นธารมาทำให้ กลางธาร ปลายธารนั้นได้รับประโยชน์ด้วย นั่นคือ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
การเติบโตขึ้นของแต่ละคนย่อมมีเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ที่แตกต่างกันไป
แต่มันคือความสวยงาม หากว่าเรานำมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว และนี่เองเป็นการฝึกฝนการควบคุมอารมณ์
การยอมรับในผู้อื่น พระเจ้าทรงสร้างเรามาให้มีความสมดุลเสมอ
เพื่อไม่ให้เราหยิ่งผยองเกินไป พระองค์ก็ใส่มโนสำนึก
เพื่อให้เป็นเครื่องย้ำเตือนตน เท่านั้นยังไม่พอยังทรงให้เรามีคนรอบข้างที่คอยกระตุ้นเตือน
คอยฉุดรั้ง ไม่ให้เราหลงระเริง แน่นอน ในคำวิพากษ์วิจารณ์นั้น มีบ้างที่อาจจะแรงด้วยอคติของคนคนนั้น
เราต้องรู้รับฟัง และคัดกรอง อย่างมีสติ อาศัยพระจิตนำทาง
เรียนรู้เลือกรับฟังรับติรับชม นำมาปรับปรุงตัวเอง
แล้วเลือกเดินทางธรรมอย่างมั่นใจ
สำหรับเรา
ผู้ที่มีความเชื่อ เราก็ต้องปลูกฝังความเชื่อให้อยู่กับตัวตลอดไป
และสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงเสมอๆคือ เป็นการดีไม่น้อยที่เราจะทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเอง
แต่เราต้องทำสิ่งเหล่าเหล่านั้นเพื่อพระเจ้า โดยผ่านทางผู้คนรอบข้างด้วย เราทำด้วยตัวเองแต่หาใช่เพื่อตัวเอง
นี่คือคุณค่าที่แท้จริงของการเป็นบุตรพระเจ้า และการมีชีวิตที่งดงามบนโลกใบนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น